ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 271-2 อาการบาดเจ็บของราชครูเสิ่น
เหอหลินหลินจู๋ปาก ไม่ได้พูดอะไร ที่จริงปกตินางสุขุมทีเดียว เพียงแต่ไม่ได้เจอญาติผู้พี่สี่นานมากแล้วนางถึงลืมตัวไปชั่วขณะ เสิ่นเวยมาบ่อยๆ ก็จริง ทว่าก็เพียงแต่มาแล้วก็ตรงไปเรือนของท่านปู่นางเลย มาเรือนด้านหลังกลับไม่มาก
เสิ่นเวยเห็นแม่นางน้อยสองคนล้วนอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงยิ้มพูดว่า “ท่านอา ท่านก็อย่าห้ามญาติผู้น้องนักเลย เด็กผู้หญิงนี่นา ชอบหัวเราะชอบเล่นถึงจะน่ารัก” และพูดกับเหอหลินหลินและหยวนเหมียนเหมียนอีกว่า “รอหิมะหยุดแล้ว พี่สาวพาพวกเจ้าไปเล่นที่จวนผิงจวิ้นอ๋องสักสองสามวัน ถึงเวลาอยากปั้นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่เพียงใดก็ได้”
“จริงหรือ? เช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน” แม่นางน้อยสองคนตบมือโห่ร้องอย่างประหลาดใจ
ดูจนเสิ่นหย่าอดถลึงตาใส่บุตรสาวปราดหนึ่งไม่ได้ ส่วนนางสวี่น้อยนั้นนั่งอยู่ข้างๆ เม้มปากยิ้มเบาๆ สายตาที่มองไปที่น้องสามีอ่อนโยนเหลือเกิน นางซาบซึ้งในบุณคุณยิ่งนัก เดิมทีนางยอมรับชะตาแล้ว ไม่คิดว่ายังสามารถได้บุพเพที่ดีเช่นนี้มา สามีหนุ่มแน่นมีอนาคต ปฏิบัติต่อนางทั้งละเอียดอ่อนและให้เกียรติ ผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวท่านปู่ก็เป็นคนเมตตา เริ่มตั้งแต่ที่นางเข้าบ้านก็มอบสิทธิ์การดูแลบ้านให้นาง น้องสามีไร้เดียงสาร่าเริง เคารพนางเหมือนพี่สาวแท้ๆ เป็นคนต้องรู้จักพอสำนึกบุญคุณ ต่อให้ยากเพียงใดเหนื่อยเพียงไหน นางล้วนมีความกล้าแบกไว้ เปิดฉากใหม่เพื่อจวนแม่ทัพใหญ่หยวน
“เจ้าสาวเข้าบ้านแล้ว” ไม่รู้ใครตะโกนขึ้นประโยคหนึ่ง
หยวนเหมียนเหมียนและเหอหลินหลินลุกขึ้นยืนทันที “ถึงไหนแล้ว? ถึงไหนแล้ว? ท่านพี่ พวกเราไปดูเจ้าสาวเถอะ” ท่าทางเหมือนรีบร้อนทนไม่ไหว
เสิ่นเวยส่ายหน้าว่า “พวกเจ้าสองคนไปเถอะ ข้านั่งเป็นเพื่อนท่านอาหน่อย” เจ้าสาวช้าเร็วก็ต้องได้เจอ ข้างนอกคนเยอะปานนั้น ทั้งลมทั้งหิมะอีก นางเป็นบุตรสาวที่แต่งออก อีกทั้งยังเป็นถึงท่านหญิง อย่างไรก็อย่าเบียดดีกว่า
“เช่นนั้นเอาเถอะ พวกเราไปก่อนแล้ว เดี๋ยวกลับมาบอกท่านว่าเจ้าสาวสวยหรือไม่” หยวนเหมียนเหมียนและเหอหลินหลินต่างเป็นเด็กสาวที่นิสัยดีมาก เวลาครู่เดียวแค่นี้ก็สนิทกันแล้ว สองคนจูงมือกันพาสาวใช้วิ่งออกไปแล้ว
“ยัยเด็กกะเปิ๊บกะป๊าบคนนี้นี่” เสิ่นหย่าหัวเราะด่าไปประโยคหนึ่ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความจำใจ นางเป็นหญิงหย่าร้าง ชื่อเสียงไม่สู้ดี เรื่องมงคลเช่นนี้นางย่อมไม่ดาหน้าเข้าไปอยู่แล้ว จะได้ไม่แหย่ให้คนรังเกียจ เดิมทีนางไม่อยากแม้แต่จะออกจากเรือน บุตรสาวและหลานสาวลากนางออกมาจนได้
รอคนในห้องหอแยกกันไปจนพอประมาณแล้ว เสิ่นเวยและพี่สามของนางเสิ่นอิงข้ามไปด้วยกัน เจ้าสาวนางฉางหน้าตาย่อมไม่เลวอยู่แล้ว แววตากระจ่างใส ดูก็รู้ว่าเป็นคนสุขุมมีความคิด เสิ่นเวยแอบพยักหน้าอยู่ในใจ รู้สึกว่าภรรยาของลูกผู้พี่ใหญ่คนนี้นับว่าแต่งถูกแล้ว
หลานคนโตสายตรงแต่งงาน ราชครูเสิ่นในฐานะท่านปู่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา นี่ทำให้แขกเหรื่อสงสัยยิ่งนัก และก็คาดเดากันไปต่างๆ นานาเป็นการส่วนตัวขึ้นมา ยิ่งแน่นใจว่าราชครูเสิ่นอาการบาดเจ็บสาหัส มิเช่นนั้นไม่มีทางแม้แต่งานแต่งงานของหลานคนโตสายตรงก็ไม่โผล่มา
มหาเสนาบดีฉินกลับถึงจวนก็รีบให้คนไปเชิญที่ปรึกษามา “ท่านมหาเสนาบดี ได้พบหน้าท่านราชครูเสิ่นหรือไม่?” เยิ่นหงซูมาอย่างรีบร้อน
มหาเสนาบดีส่ายศีรษะ พร้อมพูดด้วยความเสียดายว่า “ไม่ได้พบ ราชครูเสิ่นไม่ได้โผล่มาเลย”
“ไม่โผล่มา?” เยิ่นหงซูประหลาดใจเล็กน้อย แม้แต่พิธีแต่งงานของหลานคนโตสายตรงก็ไม่ปรากฏตัว นี่ก็น่าคิดแล้ว “ดูแล้วราชครูเสิ่นบาดเจ็บไม่เบาเลยนะ” เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด “ราชครูเสิ่นบาดเจ็บครั้งนี้ก็พักฟื้นมาสองเดือนแล้วสินะ” เขาเงยหน้ามองไปที่มหาเสนาบดีฉิน สายตาสุกใส
มหาเสนาบดีฉินพยักหน้า ว่า “ข้าลองหยั่งเชิงเสิ่นหงเหวินทีหนึ่ง สีหน้าเขาแม้ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ กลับก็ไม่มีความกังวล เยี่ยนซานฉวยโอกาสออกไปเดินเล่น กลับพบว่าเรือนของราชครูเสิ่นถูกล้อมอย่างแน่นหนา เข้าใกล้เพียงเล็กน้อยก็จะมีคนเข้ามาไล่ บอกว่าห้ามรบกวนความสงบของราชครูเสิ่น”
ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของมหาเสนาบดีฉินมาตลอดพูดว่า “ใช่ ข้าน้อยสังเกตเห็นว่ารอบๆ เรือนนั่นซ่อนยอดฝีมือไว้ไม่ต่ำกว่าสิบกว่าคน”
“เทียบกับเจ้าแล้วเป็นเช่นไร?” มหาเสนาบดีฉินและเยิ่นหงซูมองไปที่เยี่ยนซานพร้อมกัน
เยี่ยนซานครุ่นคิดครู่หนึ่งถึงพูด “ไม่ด้อยกว่า ข้าน้อยไม่มั่นใจว่าจะเอาตัวรอดโดยไม่บาดเจ็บได้”
นี่ช่างยุ่งยากจริงๆ เลย เยี่ยนซานเป็นคนข้างกายเขาที่นับว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว เฉพาะในเรือนของราชครูเสิ่นอย่างน้อยก็มียอดฝีมือสิบกว่าคนที่ไม่ด้อยกว่าเขา กองกำลังของจวนหย่งกั๋วกงแข็งแกร่งเช่นนี้แล้วหรือ? หรือว่ายอดฝีมือพวกนี้ฝ่าบาทเป็นคนส่งไป? เช่นนั้นเจตนาของฝ่าบาทคืออะไรกันนะ?
ชั่วขณะหนึ่ง มหาเสนาบดีฉินเข้าสู่การครุ่นคิด
ในยามที่มหาเสนาบดีฉินคิดไม่ตกนั่นเอง มีบ่าวคนหนึ่งหน้าตาลนลานเข้ามาว่า “ทะ ท่านมหาเสนาบดี” เขาอ้าปากแล้วอ้าปากอีก กลับไม่ได้หลุดออกมาสักประโยค
ท่านมหาเสนาบดีฉินดูปุ๊บ ที่แท้บ่าวคนนี้คือพ่อบ้านในเรือนของบุตรชายคนเล็ก ทันใดนั้นก็ปวดศีรษะขึ้นมาว่า “ว่ามาเถอะ เจ้าลูกทรพีนั่นทำเรื่องดีๆ อะไรไว้อีก”
“คุณชายเล็กทะ ทำสาวใช้ตายอีกแล้วขอรับ” พ่อบ้านหน้าเสียริมฝีปากสั่นว่า
“อีกแล้ว?” ท่านมหาเสนาบดีฉินจับคำได้อย่างเฉียบขาดทันที สองตาเหมือนไฟลุก จ้องไปที่พ่อบ้าน
พ่อบ้านนั่นสั่นหนักกว่าเดิมว่า “ระ เรียนท่านมหาเสนาบดี นะ นี่เป็นคนที่เจ็ดในเดือนนี้แล้วขอรับ” เขาอกสั่นขวัญแขวน เมื่อนึกถึงสาวใช้ที่ถูกหามออกไปทั้งตัวไม่มีเนื้อดีสักที่ เขาก็เสียวสันหลัง คุณชายเล็กลงมือโหดจริงๆ เลย
“คนที่เจ็ด? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? พูดมาเร็ว” ท่านมหาเสนาบดีฉินเบิกตาโตโดยพลัน เอ่ยด้วยความโกรธว่า “พวกเจ้าก็ปล่อยให้เขาทำเช่นนี้หรือ? เช่นนั้นเอาบ่าวอย่างพวกเจ้าไว้มีประโยชน์อะไร?”
พ่อบ้านตกใจคุกเข่าตึ้งลงบนพื้นว่า “ท่านมหาเสนาบดี ปรักปรำบ่าวแล้ว บ่าวก็ห้ามแล้ว ก็ขวางแล้ว ทว่าคุณชายเล็กไม่ฟังนี่ขอรับ” เขาเป็นบ่าวยังตัดสินใจแทนเจ้านายได้ด้วยหรือ? เขาเล่าความเป็นมาของเรื่องอย่างติดอ่าง
ที่แท้หลังจากฉินมู่หรานกลับถึงจวนมหาเสนาบดีแล้วเพราะมีหมอดียาดีคอยเลี้ยง ขาที่หักก็ต่อติดแล้ว นอกจากนอนอัมพาตอยู่บนเตียงลุกไม่ขึ้น อย่างอื่นก็กลับไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป
ทว่าฉินมู่หรานเสเพลจนชิน ให้เขานอนอยู่บนเตียงไม่ขยับเช่นนี้ แทบจะบีบเขาจนเป็นบ้า ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าชาตินี้ยืนไม่ได้แล้ว นิสัยของเขาก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น สาวใช้เด็กรับใช้ที่ปรนนิบัติไม่ระวังเพียงเล็กน้อยถ้าไม่ถูกตีก็ถูกด่า เอาปิ่นปักผมแหลมๆ จิ้มตัว ยังไม่อนุญาตให้หลบอีก
เด็กรับใช้ยังดีหน่อย อย่างมากก็แค่เจ็บตัว เอายาทาพักฟื้นสักระยะก็หาย
ที่น่าสงสารคือสาวใช้พวกนั้น โดยเฉพาะสาวใช้ที่หน้าตาสะสวย ฉินมู่หรานเป็นคนมักมากในกาม อายุสิบสองก็เปิบบริสุทธิ์แล้ว ผู้หญิงที่เคยนอนด้วยนับก็นับไม่หมด บัดนี้เขานอนอัมพาตอยู่บนเตียงขยับไม่ได้ จึงทรมานสาวใช้หาความสุข จิตใจเขาบิดเบี้ยววิปริต ชอบดูความเจ็บปวดที่แสดงออกบนใบหน้าของสาวใช้ที่สุด ชอบฟังเสียงร้องอย่างอนาถของสาวใช้ที่สุด สาวใช้ร้องได้ยิ่งโศกเศร้าเขาก็ยิ่งตื่นเต้น
แต่ก่อน สาวใช้ในเรือนของฉินมู่หรานแย่งกันเข้าหาเขา เพื่อแย่งความโปรดปรานแล้วต่างคนต่างวางอุบายใส่ร้ายกัน บัดนี้แต่ละคนล้วนอยากไปให้ห่างๆ ฉินมู่หรานแทบไม่ทัน คนที่ถูกระบุชื่อกลัวจนตัวสั่นงันงก
ต้องรู้ว่า ปรนนิบัติคุณชายเล็กครั้งหนึ่งก็หายไปครึ่งชีวิต พวกที่ร่างกายอ่อนแอหน่อย ทนไม่ไหวก็ขาดใจแล้ว ยามที่หามออกมาพวกนางล้วนเห็นกับตา ไม่มีเนื้อหนังดีๆ สักชิ้น ตรงนั้นที่ช่วงตัวล่างยิ่งเละไม่เป็นชิ้นดี
“ท่านมหาเสนาบดี บ่าวไม่ได้ความ บ่าวห้ามคุณชายเล็กไม่อยู่ขอรับ” พ่อบ้านร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เขาไม่อยากอยู่ในเรือนคุณชายเล็กแม้แต่ชั่วขณะ ต่อให้เป็นบ่าวธรรมดาก็ได้ ทว่าคำพูดนี้เขากล้วพูดกับเจ้านายหรือไม่ล่ะ?”
มหาเสนาบดีฉินโกรธจนหน้าเขียว “ลูกเวร เจ้าลูกเวรคนนี้” ทำสาวใช้ตายไม่กี่คน มหาเสนาบดีฉินไม่ใส่ใจหรอก ทว่าหนึ่งเดือนก็ทำตายไปเจ็ดคน เวลานานเข้าจะไม่ถูกคนอื่นสังเกตเห็นหรือ? หากถูกผู้ตรวจการจับจุดอ่อนได้ แม้เขาไม่กลัว แต่ก็ยุ่งยากนี่นา นี่เวลาอะไรแล้ว เจ้าลูกเวรยังเอาแต่สร้างปัญหา? รู้แต่แรกตอนนั้นก็ไม่ควรพาเขากลับมา
“ไปบอกฮูหยิน ให้นางดูเจ้าลูกเวรนี่ไว้ให้ดี” มหาเสนาบดีฉินโกรธว่า ในใจไม่พอใจนางต่งขึ้นมา วันๆ ก็มีแต่เรื่องเล็กๆ ไม่เป็นเรื่อง เรื่องเป็นการเป็นงานที่ควรดูแลกลับดูแลไม่ดีสักเรื่อง
ส่วนนางต่งที่ถูกมหาเสนาบดีฉินรังเกียจยามนี้กำลังอยู่ในห้องของฉินมู่หราน นางมองของที่ถูกบุตรชายโยนเต็มพื้นปราดหนึ่ง แล้วโกรธด่าว่า “ตายหมดแล้วหรืออย่างไร? ไม่รู้จักเก็บกวาดหรือไร?”
สายใช้ที่เงียบกริบถึงตัวสั่นเทาเข้ามาเก็บกวาด
นางต่งนั่งอยู่ข้างเตียงบุตรชาย พูดเสียงอ่อนโยนว่า “หรานเกอเอ๋อร์ เจ้าโกรธอะไรอีก? เจ้าสุขภาพไม่ดี ต้องฟังคำพูดของหมอหลวง พักฟื้นเงียบๆ”
ฉินมู่หรานกลับไม่รับน้ำใจ สองมือทบเตียงอย่างแรงว่า “ตายเสียได้ก็ดี ตายเสียได้ก็ดี” สีหน้าอึมครึม
นางต่งตกใจสะดุ้ง รีบกอดบุตรชายไว้ว่า “หนานเกอเอ๋อร์นี่เจ้าจะทำอะไร? เจ้าอย่าทำแม่ตกใจนะ”
ฉินมู่หรานตะคอกเสียงดังว่า “อยู่ไปทำอะไร? บัดนี้ข้าก็คือของไร้ประโยชน์ แม้แต่บ่าวไพร่ก็ดูถูกข้า ข้าอยู่ไปยังมีความหมายอะไรอีก? ยังไม่สู้ตายให้หมดเรื่อง”
เดิมทีนางต่งที่คิดจะต่อว่าบุตรชายสักสองสามประโยคเพราะเรื่องที่บุตรชายทำสาวใช้ตายลืมจุดประสงค์ที่มาไว้ที่เก้าชั้นฟ้า กอดตัวบุตรชายไว้แน่นแล้วน้ำตาดั่งสายฝน “ลูกเอ๊ย ลูกเอ๊ย เจ้าใจเย็นหน่อย นี่เจ้ากำลังเฉือนใจแม่อยู่นะ”
ใช้แรงวัวเก้าตัวรวมกับเสืออีกสองตัว ทั้งปลอมประโลมทั้งให้สัญญา ในที่สุดก็ง้อบุตรชายเสร็จ ด้วยเหตุนี้ ยังรับปากจะส่งสาวใช้หน้าตาดีให้บุตรชายอีกสี่คน
นางต่งคิดว่า ‘หรานเกอเอ๋อร์ก็เป็นเช่นนี้แล้ว เล่นสาวใช้ไม่กี่คนก็ให้เล่นไปเถอะ อย่างไรก็ตามใจเขาเถอะ ก็เป็นเพียงพวกของเล่นชั้นต่ำเท่านั้น’