ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 274-1 ไพร่ซูหย่วนจือ
มหาเสนาบดีฉินมองซากกำแพงและเสาไม้ที่ไหม้จนดำปิ๊ดปี๋ บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าหลังค่อมที่เฝ้าศาลบรรพชนถูกคนพยุงมาว่า “ท่านมหาเสนาบดี ข้าละอายใจยิ่งนัก” ไม่เพียงแต่ให้ผู้ลี้ภัยบุกเข้าเรือนด้านหลัง ยังถูกพวกเขาเผาศาลบรรพชน แม้ถูกเผาเพียงเล็กน้อย ทว่าสำหรับเขาแล้วเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง
“ท่านมหาเสนาบดี คนพวกนั้นเมื่อคืนน่าสงสัยเหลือเกิน ไม่เหมือนผู้ลี้ภัยเลยขอรับ” ผู้เฒ่าหลังค่อมพูดความคิดเห็นของตนออกมา การเฝ้าระวังของจวนมหาเสนาเข้มงวดเพียงใดเขารู้ดี ต่อให้ผู้ลี้ภัยร้ายกาจขนาดไหนก็เป็นเพียงชาวนาไร้ระเบียบที่มารวมตัวกัน ฆ่าชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธไม่กี่คนยังพอไหว บุกเข้าจวนมหาเสนา? พวกเขายังไม่สามารถปานนั้น
ท่านมหาเสนาบดีฉินย่อมรู้อยู่แก่ใจ เดิมเขาคิดจะจับปลาในน้ำขุ่น ไม่คิดว่ากลับถูกคนอื่นจับเป็นปลาเสียนี่ เพียงแต่สามารถบุกเข้าจวนมหาเสนาได้ย่อมไม่ใช่คนไร้ความสามารถ เขานึกไม่ออกว่าในเมืองหลวงยังมีฝ่ายใดที่มีความสามารถเช่นนี้ เมื่อคืนประตูจวนหย่งกั๋วกงปิดสนิท ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ผิงจวิ้นอ๋องนำคนของกองกำลังห้าทิศยุ่งอยู่กับการดับเพลิงต้านผู้ลี้ภัยตลอด ส่วนท่านหญิงเจียฮุ่ยผู้นั้นก็ถูกกักอยู่ในวังตลอด คนที่เขายำเกรงไม่กี่คนล้วนแยกร่างไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพวกเขา
หรือว่าจะเป็นรัชทายาท? ทว่าตระกูลชีไม่มีกำลังทหารโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่เขาดูถูกตระกูลชี หากแต่เพราะหลายปีมานี้ตระกูลชีอยู่ในสายตาเขามาตลอด มิเช่นนั้นเขาก็ไม่อาจปล่อยให้องค์ชายสี่เป็นรัชทายาทนานปานนั้น ตระกูลชีโง่เกินไป เขาไม่เคยเอามาใส่ใจเลย
เมื่อคืนองครักษ์ของจวนผิงจวิ้นอ๋องช่วยจวนอื่นๆ ต่อต้านผู้ลี้ภัย ขณะเดียวกับที่ทำให้เขาตื่นตัวก็หัวเราะเยาะเย้ยด้วย ผิงจวิ้นอ๋องจะทำอะไร? ซื้อใจคน? ฝ่าบาทยังดูอยู่เบื้องบนเลย ระวังขนก้อนหินทับเท้าตนเสียล่ะ
ดูพวกที่ไม่มีความรู้พูดสิ อะไรสง่าดุจเซียน อะไรงามสง่าไม่เหมือนใคร ก็แค่บุตรชายที่ถูกไล่ออกจากบ้านของอำมาตย์ฝางผู้นั้นมิใช่หรือ? ชื่ออะไรนะ? ฝางจิ่นสินะ?
เขานึกถึงจวนของอำมาตย์ฝางเสียหายยิ่งร้ายแรง ลึกเข้าไปในตาฉายแววเย้ยหยัน อำมาตย์ฝางแสวงหาผลประโยชน์และหลีกเลี่ยงความเสียหายมาตลอดชีวิต สุดท้ายเป็นเช่นไรอีกล่ะ? ทั้งหมดก็มีบุตรชายที่เอาถ่านอยู่คนเดียว ยังถูกไล่ออกจากตระกูลอีก สามคนที่เขาปกป้องปกป้องไม่อยู่ไม่ใช่หรืออย่างไร? ได้ยินว่าเฉพาะเมื่อคืนก็บาดเจ็บไปสองคนแล้ว ก็ไม่รู้ว่าอำมาตย์ฝางเสียใจภายหลังหรือไม่?
เสิ่นเวยได้ข่าวที่เซี่ยเฟยส่งมา นั่นช่างน่าเสียดายจริงๆ ถูกต้อง เมื่อคืนคนที่ปลอมตัวเป็นผู้ลี้ภัยที่บุกเข้าจวนมหาเสนาบดีฉินก็คือนักฆ่าของหอนักฆ่า เสิ่นเวยนางไม่สามารถนำคนลงมือเองได้ ทว่านางยังมีเซี่ยเฟยพันธมิตรที่ผูกสัญญาขึ้นมาใหม่ผู้นี้มิใช่หรือ? เมื่อคืนยามที่นางนึกถึงว่าจะมีการจับปลาในน้ำขุ่นก็คิดจะอาศัยความโกลาหลลักตัวผู้เฒ่าในห้องลับของศาลบรรพชนจวนมหาเสนาบดีฉิน ดังนั้นจึงฉวยโอกาสที่ไปเปลี่ยนชุดส่งข่าวให้เซี่ยเฟย
ที่เสียดายก็คือยามที่เซี่ยเฟยนำคนบุกเข้าห้องลับใต้ศาลบรรพชน กลับพบว่าคนหายไปแล้ว ผู้เฒ่าคนนั้นถูกย้ายออกไปนานแล้ว
มหาเสนบดีฉินจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ เสิ่นเวยแอบแค้น
ในตำหนักจินหลวน ท่านซูคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างนอบน้อม เอ่ยเสียงกังวานว่า “ไพร่ซูหย่วนจือถวายบังคมฝ่าบาท”
“ตามสบาย” ฮ่องเต้ยงเซวียนสีหน้าชื่นมื่นอย่าบอกใคร แม้เมื่อคืนในเมืองหลวงถูกผู้ลี้ภัยโจมตี ทว่าดีที่รับมือทันเวลา เสียหายไม่มาก เพียงสองชั่วยามก็สงบโดยสิ้นเชิง “เจ้าชื่อซูหย่วนจือสินะ? ได้ยินผิงจวิ้นอ๋องและเหล่าขุนนางบอกว่าเมื่อคืนเจ้านำพาองครักษ์ของจวนผิงจวิ้นอ๋องช่วยต่อต้านผู้ลี้ภัย?”
สำหรับพื้นเพของซูหย่วนจือ ฮ่องเต้ยงเซวียนตรวจสอบอย่างชัดเจนตั้งนานแล้ว รู้ว่าเขาก็คือบุตรชายคนโตที่ถูกอำมาตย์ฝางไล่ออกจากตระกูลคนนั้นฝางจิ่น จอหงวนที่ความรู้น่าทึ่งเมื่อยี่สิบปีก่อนคนนั้น ไม่เพียงแต่งบทความความหมายลึกซึ้ง บทความมที่ล้ำเลิศต่อให้เสด็จพ่อเขาก็ชื่นชมไม่หยุดปาก บอกว่านี่จะเป็นเสนาบดีกันอีกคนหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าต่อมาก็เกิดเรื่องนั้นขึ้น ฝางจิ่นก็หายไปจากสายตาผู้คนในเมืองหลวง เสด็จพ่อของเขายังเสียดายอยู่นานเลย ใครจะคิดว่ายี่สิบปีให้หลังเขาจะกลายเป็นท่านครูของเสิ่นสี่ ออกมายืนต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยอีกครั้ง
ฮ่องเต้ยงเซวียนชื่นชมซูหย่วนจือมาก ไม่พูดถึงว่าเขาไม่เคยเชื่อเรื่องเหลวไหลเรื่องนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อนเลย อาศัยเฉพาะผลงานเมื่อคืน ฮ่องเต้ยงเซวียนก็อยากเก็บเขาไว้ใต้อาณัตินัก อย่าเห็นทั่วตำหนักยืนเต็มไปด้วยขุนนาง ทว่าที่มีความสามารถจริงๆ กลับไม่มากนะ
ซูหย่วนจือลุกขึ้นตอบว่า “ทูลฝ่าบาท ไพร่ก็คือซูหย่วนจือ ชาวอำเภอเสอผิงแห่งเจียงหนาน บิดามารดาเสียชีวิตทั้งคู่ อยู่ตัวคนเดียว ได้รับความกรุณาจากท่านหญิงเจียฮุ่ยที่ไม่ทอดทิ้งกัน ให้ที่พักพิงอยู่ข้างกายเป็นครูอบรมความรู้ บัดนี้ทำมาหากินอยู่ในจวนผิงจวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เสียงชัดเจนกังวาน ท่าทีเหมาะสม
นี่ทำให้ฮ่องเต้ยงเซวียนยิ่งพอใจขึ้นอีก กวาดมองอำมาตย์ฝางปราดหนึ่งอย่างไม่ให้เห็นร่องรอย แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นครูของท่านหญิงเจียฮุ่ย ความรู้ย่อมไม่ธรรมดา อีกทั้งเมื่อคืนปราบจลาจลสร้างผลงานไว้ใหญ่หลวง ข้าปลาบปลื้มยิ่งนัก ก็ไปรับตำแหน่งจี่ซื่อจงที่กรมกลาโหมเถอะ” ฮ่องเต้ยงเซวียนใจกว้างมาก เมื่อลงมือก็แต่งตั้งตำแหน่งอย่างเป็นทางการขั้นหกให้
ขุนนางในท้องพระโรงต่างอิจฉายิ่งนัก สามารถยืนอยู่ในท้องพระโรงได้ ย่อมไม่เห็นตำแหน่งขุนนางขั้นหกเล็กๆ ในสายตา ทว่าพวกเขาคนไหนไม่ได้อดทนมาจากขั้นต่ำล่ะ? ส่วนคนธรรมดาซูหย่วนจือผู้นี้สบายๆ ก็ได้ขั้นหกมาครองแล้ว อีกทั้งยังเป็นจี่ซื่อจงที่มีอำนาจจริง จะไม่ให้พวกเขาตาร้อนได้อย่างไรกัน?
กลับได้ยินซูหย่วนจือว่า “ไพร่ขอขอบพระทัยในความกรุณาของฝ่าบท การพิทักษ์ความปลอดภัยของเมืองหลวงเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำของประชาชนชาวต้ายงทุกคน ไพร่ก็เพียงแต่ทำเรื่องที่ตนควรทำเท่านั้น พูดไม่ได้ว่าสร้างผลงานใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ไพร่ใช้ชีวิตอิสระจนชินแล้ว ชีวิตนี้ประสงค์เพียงเป็นครูที่จวนผิงจวิ้นอ๋อง ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นขุนนางจริงๆ ได้แต่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธการแต่งตั้งของฮ่องเต้ยงเซวียน สายตาที่เหล่าขุนนางมองเขาก็เหมือนกับมองตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น ‘คนผู้นี้สมองมีปัญหากระมัง? จี่ซื่อจงขั้นหกนะ คนตั้งเท่าไรแย่งกันจนหัวรั้งข้างแตกยังไม่ได้มา หรือว่ายังสู้ครูสอนหนังสือกระจอกคนหนึ่งไม่ได้?’
“ดี ดี พูดได้ดี” ฮ่องเต้ยงเซวียนกลับตบมือชมใหญ่ “หากขุนนางแห่งต้ายงข้าล้วนเป็นดังเช่นท่านครูนี้ ต้ายงข้าจะไม่เจริญรุ่งเรืองได้เช่นไร? ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่อยากรับราชการ ข้าก็ไม่บังคับเจ้า เอาเช่นนี้เถอะ ข้าขอมอบเกียรติแก่เจ้า เจ้าไปที่ใดๆ ในใต้หล้าได้ตามใจ ไม่จำเป็นต้องกราบไหว้ขุนนางต่ำกว่าขั้นสอง”
นี่เป็นเกรียรติยศที่หาใดเปรียบไม่ได้แล้ว หากซูหย่วนจือเป็นเพียงท่านครูของท่านหญิงเจียฮุ่ย ต่อให้เขามีความชอบใหญ่เพียงใด ฮ่องเต้ยงเซวียนก็ไม่มีทางมอบความกรุณาเช่นนี้แก่เขา ทว่าเขาไม่เพียงแต่เป็นซูหย่วนจือ เขายังเป็นฝางจิ่น ฝางจิ่นคนที่ทำให้ฮ่องเต้สองรุ่นล้วนชื่นชมทอดถอนใจน่ะสิ หากไม่มีเรื่องเหลวไหลเรื่องนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน วันนี้เขาน่าจะเป็นเจ้าเมืองแล้วกระมัง
“เป็นพระกรุณาอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ” ซูหย่วนจือพูดเสียงเข้ม ตาที่สำรวมมีแต่ความสงบ เพียงแต่หมัดที่กำอยู่ข้างตัวสั่นแผ่วเบา เมืองหลวง ข้าซูหย่วนจือกลับมาอีกแล้ว ตำหนักจินหลวน ข้าซูหย่วนจือมายืนอยู่ที่นี่อีกแล้ว ยืนอยู่ที่นี่อย่างองอาจ สง่าผ่าเผย เพียงแต่ใจของข้าเอยไยไม่กระเพื่อมแม้แต่น้อยนิดราวกับบ่อที่แห้งผากนะ? ข้าควรตื่นเต้น ลิงโลด ซาบซึ้งมิใช่หรือ?
สายตาของเหล่าขุนนางที่มองมาที่ซูหย่วนจือซับซ้อนเหลือคณา นี่ไม่ใช่จะแสดงออกได้ด้วยความอิจฉาริษยาแล้ว ส่วนเหล่าขุนนางเก่าแก่ที่รู้ตื้นลึกหนาบางนั้นมองไปที่อำมาตย์ฝางอย่างครุ่นคิด
อำมาตย์ฝางมองดูเงาร่างที่ยืนอย่างทระนงนั้น ในใจเศร้าสลดอย่างหาใดเปรียบมิได้
นี่คือบุตรชายคนโตของเขา บุตรชายคนโตที่ถูกเขาไล่ออกจากตระกูลกับมือ และบุตรชายคนโตของเขาเกลียดเขา เกลียดทั้งตระกูลฝาง
เมื่อคืน จวนอำมาตย์จางที่อยู่ด้านซ้ายของตระกูลฝางไม่เสียหายแม้แต่น้อย จวนนักปราชญ์หลี่ที่อยู่ด้านขวาก็ไม่ได้รับความเสียหายเช่นกัน มีเพียงตระกูลฝางที่ประสบกับผู้ลี้ภัย บุตรชายคนรองและสามของเขาล้วนบาดเจ็บ คนหนึ่งขาหัก คนหนึ่งถูกฟันที่เอวดาบหนึ่ง บุตรชายคนโตสายรองของบุตรชายคนรองก็ประสบภัย ดาบยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุหน้าอก
เมื่อคืนบุตรชายคนโตนำคนเกื้อหนุนจวนขุนนางส่วนใหญ่ในเมือง เฉพาะเจาะจงเว้นตระกูลฝางไป บุตรชายคนโตนี่คือเกลียดเขาน่ะสิ
ออกจากตำหนักจินหลวน เหล่าขุนนางสามคนบ้างสองคนบ้างแยกย้ายกันไปแล้ว ซูหย่วนจือก็ตามขันทีน้อยเดินออกข้างนอก
“อาจิ่น” ซูหย่วนจือใจเต้นตึกตัก กลับไม่ได้ชะลอฝีเท้าลง
“อาจิ่น” อำมาตย์ฝางเรียกอีกทีหนึ่ง น่าเสียดายเงาหลังอันทระนงข้างหน้ากลับเหมือนไม่ได้ยิน
อำมาตย์ฝางจำใจ ได้แต่เรียกว่า “หย่วนจือ ซูหย่วนจือ” คำว่าซูนี้ทำให้เขานึกถึงภรรยาหลวงเดิมของเขานางซู สตรีอ่อนโยนเจียมตัวคนนั้น
ซูหย่วนจือถึงหยุดฝีเท้า ค่อยๆ หันกลับมา ขันทีน้อยที่ตามอยู่ข้างกายเขาเตือนเสียงเบาว่า “ท่านนี้คือท่านอำมาตย์ฝางแห่งเน่ย์เก๋อ”
ซูหย่วนจือพูดเนิบๆ ว่า “อำมาตย์ฝางเรียกไพรไว้ด้วยเหตุอันใด?” แววตาของเขากระจ่าง ไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย ก็เหมือนกำลังมองคนแปลกหน้าอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ทำให้คำพูดหมื่นพันคำที่อยู่ในใจอำมาตย์ฝางจุกอยู่ที่คอหอยในทันใด ใบหน้าของภรรหลวงเดิมนางซูลอยขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง เขานึกว่าลืมโฉมหน้าของนางไปนานแล้ว ทว่ายามนี้ยามที่เผชิญหน้ากับบุตรชายคนโต เขาถึงพบว่านางซูอยู่ที่นี่ตลอดเวลา พร้อมด้วยรอยยิ้มละมุน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนโยน บุตรชายคนโตคนนี้ของเขาไม่เพียงแต่เหมือนเขา ยังเหมือนนางด้วยนี่นา
“อำมาตย์หากไม่มีธุระ ไพร่ก็ขอตัวก่อน” ท่าทีของซูหย่วนจือนอบน้อมและห่างเหิน
นี่ทำให้อำมาตย์ฝางเสียใจมาก เอ่ยด้วยความร้าวรานว่า “อาจิ่น เจ้าเกลียดพ่อถึงปานนี้จริงหรือ? มาเมืองหลวงแล้วแท้ๆ กลับแม้แต่ประตูบ้านก็ไม่ยอมย่างกราย”
ซูหย่วนจือเย้ยอยู่ในใจ สมแล้วที่เป็นนักการเมืองแต่กำเนิด ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนลบเขาออกจากตระกูลตะเพิดออกจากบ้าน จึงมองอำมาตย์ฝางอย่างสงบว่า “อำมาตย์ฝางจำคนผิดแล้วกระมัง? ข้าน้อยแซ่ซู ชื่อหย่วนจือ เป็นคนเจียงหนาน บิดามารดาเสียชีวิตนานแล้ว” เขาพูดซ้ำอีกครั้ง
แน่นอนเขาก็ไม่นับว่าพูดปด มารดาของเขาก็คือคนอำเภอเสอผิงเจียงหนาน นางเป็นบุตรสาวของบัณฑิตจนๆ คนหนึ่ง ตอนนั้นหลังจากที่เขาถูกไล่ออกจากตระกูลก็ไปอำเภอเสอผิงแล้ว ไปดูสถานที่ที่มารดาของเขาเคยใช้ชีวิต เพียงแต่น่าเสียดายที่บ้านฝ่ายมารดาไม่มีคนแล้ว หากมีคน ต่อให้เหลือบุตรชายเพียงคนเดียว อำมาตย์ฝางก็ไม่ถึงกับลดขั้นจากภรรยาเป็นอนุกระมัง?
“อาจิ่น” สีหน้าของอำมาตย์ฝางยิ่งทุกข์ทนขึ้น เสียงราวกับแฝงความไม่พอใจสามส่วน “ต่อให้ในใจเจ้าแค้นปานใด ก็ไม่ควรพาลโกรธไปถึงตัวพี่น้องเจ้านี่นา ถึงที่สุดพวกเจ้าก็เป็นพี่น้องแท้ๆ กันนะ อาจิ่น กลับบ้านเถอะ ตามพ่อกลับบ้านเถอะ” ต่อให้ขับออกจากตระกูลอย่างไร เขาก็ยังเป็นบุตรชายของเขา สายเลือดความสัมพันธ์นั้นตัดไม่ขาดหรอก
ซูหย่วนจือกระดกมุมปากขึ้นแผ่วเบา จ้องขุนนางเรืองอำนาจตรงหน้าที่เขาเคยเลื่อมใสอย่างหาใดเปรียบมิได้คนนี้ ในใจกลับไม่มีคลื่นลมใดๆ อีกแล้ว “ดูท่าอำมาตย์จะจำคนผิดจริงๆ ขอเรียนให้อำมาตย์ฝางรู้ไว้ มารดาของไพร่ให้กำเนิดไพร่เพียงคนเดียว ไพร่ไม่มีพี่น้อง แม้แต่พี่น้องผู้หญิงก็ไม่มี” พูดจบเขาก็หันหลังเดินหน้าต่อไป
เกลียด นั่นเป็นความรู้สึกที่หรูหราปานใด เขาเลยอายุที่จะเกลียดไปนานแล้ว ท่านหญิงพูดได้ถูกต้อง ไม่มีรักความเกลียดจะมาจากไหน? การแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือเมินเฉย ทุกอย่างของท่านไม่เกี่ยวกับข้าอีกแล้ว และเมื่อรู้ว่าท่านอยู่อย่างไม่มีความสุข เช่นนั้นข้าก็ยิ่งวางใจ
ข้าเดินผ่านป่าเขาลำเนาไพร ดูวิวทิวทัศน์งดงามมานับไม่ถ้วน บัดนี้ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะอยู่เมืองหลวงนี่แหละ ดูอำมาตย์ฝางท่านพยายามค้ำจุน ดูฝางหมิงฝางจวินฝางเหยาเป็นบัวใต้ตมเพียงใด ดูทั้งตระกูลฝางเดินเข้าสู่ความตกต่ำทีล่ะก้าวๆ อย่างไร
ข้าก็เสมือนหนามเล่มหนึ่ง แทงลงในใจของพวกท่านทุกคนอย่างแรง
พวกท่านอยู่อย่างไม่มีความสุข ข้าก็สบายใจ