ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 277 จุดจบ
จิ้นหวังเฟยถูกเปิดโปงโฉมหน้าต่อหน้าผู้คน โดยเฉพาะบุตรชายบังเกิดเกล้า ความกระอักกระอ่วนนั้นไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยายได้เลย สายตาที่เย็นเยียบบึ้งตึงยามที่ท่านจิ้นอ๋องไปก็ทำให้นางกระวนกระวายใจไม่เป็นสุข เป็นไปตามคาด ถึงช่วงบ่ายนางก็ออกจากเรือนไม่ได้แล้ว
อาจเพราะเห็นแก่หน้าของบุตรชายในสายโลหิตสามคน ท่านจิ้นอ๋องไม่ได้ให้จิ้นหวังเฟยย้ายออกจากเรือนหลัก หากแต่ผนึกเรือนหลักโดยตรง ข้างกายนางเหลือแม่นมซือคนเดียวคอยปรนนิบัติ แม้แต่หวาเยียนที่ใช้ถนัดมือที่สุดก็ถูกย้ายไปที่อื่นแล้ว
จิ้นหวังเฟยทั้งตกใจทั้งกลัวทั้งโกรธ ขว้างของในห้องแตกหมด แม่นมซือซึ่งมองหวังเฟยที่เหมือนคลุ้มคลั่งก็ไม่ปานกล้าห้ามที่ไหน หดอยู่ที่มุมอับเอาแต่ถอนใจว่า ‘หวังเฟยเอ๋ย บัดนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว ท่านก็เพลาๆ หน่อยเถอะ! ท่านอ๋องไม่ได้ประหารท่านทันทีก็เป็นความกรุณาในความกรุณาแล้ว’
แม่นมซือเป็นแม่นมคนสนิทข้างกายจิ้นหวังเฟย ทว่านางเพียงแต่รู้รางๆ ว่าหวังเฟยเข้าจวนอ๋องมาได้เพราะใช้วิธีการบางอย่าง ยามที่ยายหรูเปิดโปงเรื่องนั้นออกมานางก็ตกใจแทบสะดุ้งเช่นกัน นึกขึ้นได้ทันทีว่ายามที่หวังเฟยถูกส่งเข้าอารามเคยใกล้ชิดกับแม่ชีคนหนึ่งมาก ยามนั้นนางยังห่วงว่านางจะหมดอาลัยตายอยากคิดจะเข้าประตูธรรม
จิ้นหวังเฟยขว้างปาของเหนื่อยแล้วก็นั่งอยู่บนเก้าอี้สงบสติอารมณ์ แม่นมซือจึงลุกขึ้นเก็บกวาดความเละเทะเต็มพื้น บัดนี้ข้างกายหวังเฟยเหลือนางเพียงคนเดียว งานพวกนี้ย่อมตกเป็นหน้าที่นางเป็นธรรมดา มิใช่นางโอดครวญ ตรงกันข้ามนางกลับเข้าใจอย่างยิ่ง ‘นางคือแม่นมของหวังเฟย ไม่ว่าใครก็สามารถไปจากหวังเฟยได้ มีเพียงนางที่ไม่สามารถ ช่างเถอะ นางมีอายุแล้ว ยังจะอยู่ได้อีกกี่ปีกัน ทนอยู่ในเรือนนี้เป็นเพื่อนหวังเฟยเถอะ’
“ซื่อจื่อล่ะ ฮูหยินซื่อจื่อล่ะ คุณชายสามคุณชายสี่ล่ะ เหตุใดพวกเขายังไม่มา” จิ้นหวังเฟยถามเสียงดัง ท่านอ๋องพึ่งไม่ได้แล้ว ไม่เป็นไร นางยังมีบุตรชาย นางยังมีบุตรชายในสายโลหิตสามคน นางกลับลืมไปสิ้นเชิง
เพราะนาง เหล่าบุตรชายของนางจึงไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้ว ไม่พูดไม่ได้ว่าจิ้นหวังเฟยเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบคนที่นางรักที่สุดมีแต่ตนเองเท่านั้น
แม่นมซือที่นั่งยองๆ เก็บกวาดอยู่บนพื้นหยุดชะงัก นางบอกได้หรือว่าพวกคุณชายไม่มาแล้ว อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ไม่มีทางมาหรอก
แม่นมซือไม่ส่งเสียง จิ้นหวังเฟยกลับไม่ยอมรามือ แผดเสียงตะโกนใส่ข้างนอกว่า “ไป รีบไปเรียกพวกซื่อจื่อมา ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเขา”
ครึ่งค่อนวันถึงมีเสียงงึมงำๆ ของหญิงชรารับใช้ใช้แรงงานลอยมาว่า “หวังเฟยอภัยด้วย ไม่มีคำสั่งของท่านอ๋องบ่าวไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการเจ้าค่ะ” ท่านอ๋องเพียงแต่ให้พวกนางเฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่ได้บอกให้พวกนางทำงานอื่น หากพวกนางจากไปโดยพลการ ท่านอ๋องย้อนกลับมาสืบสาวราวเรื่อง… นึกถึงศพที่หามออกไปทีละศพๆ จากเรือนนี้ในช่วงเช้า บัดนี้พวกหญิงชรายังกลัวไม่หายเลย ท่านอ๋องเมตตา อุตส่าห์ไว้ชีวิตพวกนางไว้เฝ้าหวังเฟยที่นี่ พวกนางจะกล้าประมาทได้อย่างไร
จิ้นหวังเฟยโกรธโมโหใหญ่โตทันทีว่า “เจ้าพวกยกตนข่มท่าน ข้ายังไม่หมดอำนาจก็รีบซ้ำเติมเสียแล้ว พวกเจ้าคอยดูเถิด”
แม่นมซือจนด้วยเกล้า ได้แต่เข้าไปกล่อมว่า “หวังเฟย ท่านโกรธบ่าวไพร่ไปไย อย่าโกรธเลย อย่าโกรธจนเสียสุขภาพ ประเดี๋ยวท่านซื่อจื่อและคุณชายสามคุณชายสี่จะปวดใจอีก ท่านพักผ่อนสักครู่เถอะ นี่วุ่นวายมาครึ่งวันแล้ว ท่านซื่อจื่อพวกเขาก็เหนื่อยไม่เบา รอพักผ่อนเสร็จแล้วต้องมาเยี่ยมท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
นางชักแม่น้ำทั้งห้าในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมจิ้นหวังเฟยไว้ได้ พยุงหวังเฟยเข้าไปห้องด้านใน พอหันหลังออกมาก็ถอนใจเป็นการใหญ่ ดูท่าทางเช่นนี้ ท่านอ๋องโกรธหวังเฟยถึงที่สุดแล้ว พวกซื่อจื่อก็ไม่ใช่ไม่โกรธเคืองหวังเฟย หวังเฟยดันไม่รู้ตัวอีก กลุ้มใจเสียจริง!
เป็นดังที่แม่นมซือคิด สวีเยี่ยและสวีเหยียนแม้ปากไม่พูด ในใจกลับแค้นเคืองเสด็จแม่ของพวกเขายิ่งนัก นับตั้งแต่ที่พวกเขาจำความได้ เสด็จแม่ก็ภูมิฐานมีคุณธรรม สง่างามมีคุณค่า ยิ่งกว่านั้นความสัมพันธ์กับเสด็จพ่อก็ดีเป็นพิเศษ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น แม้พวกเขารู้ว่าเสด็จแม่เป็นคนมีแผนการ กลับไม่ได้ใส่ใจ มีนายหญิงบ้านไหนบ้างที่ไม่มีแผนการ
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าเสด็จแม่จะเป็นคนไม่เลือกวิธีการเช่นนี้ ซ้ำยังเพิ่งรู้ว่าที่แท้การตายของมารดาพี่ใหญ่และสุขภาพของพี่ใหญ่ล้วนเกิดจากเสด็จแม่ นี่จะให้พวกเขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! มิหนำซ้ำด้วยความอำมหิตของเสด็จแม่ทำให้พวกเขาเดือดร้อนจนไม่สามารถมีบุตรได้อีก ต่อให้พวกเขากตัญญูเพียงใดก็ไม่อาจไม่โอดครวญ!
อู๋ซื่อซื่อจื่อฮูหยินร้องไห้จนตาบวม สะอึกสะอื้นว่า “ท่านซื่อจื่อ!” ที่แท้ไม่ใช่นางให้กำเนิดไม่ได้ หากแต่เป็นท่านซื่อจื่อต่างหากที่ไม่สามารถให้กำเนิดได้!
สวีเยี่ยใบหน้าบึ้งตึง เมื่อนึกว่าตนไม่อาจมีบุตรของตัวเองได้อีกในใจก็เจ็บเหมือนถูกมีดเฉือน เขามองดูดวงตาบวมแดงของภรรยา ในใจอดรู้สึกผิดไม่ได้ “ช่างเถอะ นี่ล้วนเป็นชะตา ดีที่เรายังมีบุตรสาวสองคน เลี้ยงพวกนางให้เติบใหญ่อย่างดี หากไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เอ้อร์เอ๋อร์รับเขยเข้าบ้านเถอะ” เขารู้สึกโชคดีมากที่ยายหรูคนนั้นลงมือช้า มิเช่นนั้นเขาก็ต้องเหมือนน้องสามที่แม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขสักคนก็มีไม่ได้แล้ว
อู๋ซื่อสะอึกสะอื้นแนบหน้าไว้ที่หน้าอกเขา แล้วพยักหน้าเบาๆ ว่า “ข้า ข้าก็แค่คิดว่าหากต้าเอ๋อร์ หรือเอ้อร์เอ๋อร์มีคนหนึ่งเป็นบุตรชายก็ดี”
สวีเยี่ยก็อยากเช่นกัน ทว่านี่เป็นสิ่งที่เขาอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้หรือ เขาถอนใจยาวทีหนึ่ง ลึกเข้าไปในตามีแต่ความเศร้าสลด
ที่จริงอู๋ซื่อไม่ได้เสียใจเท่าที่นางแสดงออกมา กระทั่งลึกลงไปในใจนางยังแอบโล่งอก นางแม้เสียดายที่ไม่มีบุตรชาย ทว่าอย่างน้อยนางก็มีบุตรสาวแท้ๆ ถึงสองคน! บัดนี้ท่านซื่อจื่อให้กำเนิดไม่ได้แล้ว เช่นนั้นต่อไปก็ไม่มีบุตรชายบุตรสาวอนุแล้ว ทั้งจวนจิ้นอ๋องก็เป็นของบุตรสาวสองคนของนางแล้ว ยิ่งกว่านั้นเพราะเรื่องนี้ซื่อจื่อรู้สึกผิดต่อนาง ต่อไปเรือนหลังนี่ก็ไม่มีคนกล้าดิ้นรนมาสร้างความรำคาญให้นางแล้ว พอนึกถึงเรื่องนี้นางก็ไม่เสียใจปานนั้นแล้ว
ทางด้านสวีเหยียนกลับเป็นอีกสภาพหนึ่ง หูซื่อกอดบุตรชายที่เพิ่งคลอดร้องจนแทบขาดใจ “ลูกข้า ลูกข้า! ยายแก่ที่สมควรตายนั่น กรรมใดใครก่อ เรื่องอะไรมาหาลูกที่ไร้ความผิดของข้า! ลูกเอ๋ย ลูกที่น่าสงสารของข้า!”
กว่านางจะให้กำเนิดหลานชายคนโตในสายโลหิตของจวนอ๋องได้ไม่ใช่ง่ายๆ แม้เด็กเกิดมาจะไม่ค่อยสมบูรณ์ ทว่ามีหมอหลวงคอยดูนางจึงไม่ได้ห่วงถึงปานนั้น ทว่าบัดนี้นางกลับรู้ว่าเด็กถูกพิษตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ครบเดือน ยิ่งกว่านั้นสามียังถูกวางยาสิ้นทายาทอีก นางสิ้นหวังหมดแล้ว รู้สึกว่าฟ้าจะถล่มลงมา ชีวิตต่อจากนี้ยังมีความหวังอะไรอีก
“เรื่องอะไร เรื่องอะไรกัน! นางทำบาปเรื่องอะไรกรรมถึงมาตกลงที่บุตรชายข้า ท่านพี่ ข้าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว นี่ไม่เท่ากับควักหัวใจข้าไปทั้งเป็นหรือ ให้ข้าตามไปให้รู้แล้วรู้รอดเถอะ!” นางก้มหน้าดูบุตรชายในอก ร้องไห้จนใจขาดดิ้น
สวีเหยียนสองมือกุมศีรษะ งงไปหมดแล้ว เขาไม่สามารถมีบุตรได้อีกแล้ว ทรัพย์สมบัติที่เขาชิงมาได้จะให้ใคร ให้ใคร ให้ใครเล่า พี่รองอย่างน้อยยังมีบุตรสาวสองคน เขามีอะไร บุตรชายเพียงคนเดียวยังรักษาไว้ไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเขายังต้องมองดูบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของเขาตายไปต่อหน้าต่อตา พอนึกถึงเรื่องนี้เขาก็เหมือนถูกลูกศรหมื่นดอกทะลวงใจ
“ร้อง ร้อง ร้องมีประโยชน์อะไร” สวีเหยียนลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดวงตาแดงก่ำ ราวกับสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ “อุ้มเด็กลงไป เจ้าทำให้เขาตกใจแล้ว” สายตาของเขาตกลงบนใบหน้าที่อ่อนแอของเด็ก หน้าผากเล็กๆ จมูและปาก โดยเฉพาะปากและจมูกนั่น เหมือนปั้นออกมาจากพิมพ์เดียวกับเขาไม่มีผิด เขาอดขอบตาร้อนไม่ได้ น้ำตาเกือบไหลออกมา นี่คือบุตรชายของเขา บุตรชายของเขา!
แม่นมเข้ามาจะรับเด็กไป หูซื่อกลับกอดไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ลึกเข้าไปในดวงตามีแต่ความระแวง “นี่คือบุตรชายของข้า ข้าไม่ให้ใครทั้งนั้น”
แม่นมยืนอยู่ที่เดิมอย่างกระอักกระอ่วน มองไปที่สวีเหยียนอยางลำบากใจ
สวีเหยียนมองเด็กที่แบะปากร้องไห้อย่างหนัก ใจอ่อนขึ้นมาทันที “ให้แม่นมอุ้มลงไปเถอะ ให้หมอหลวงดูหน่อย ควรให้ยาแล้วใช่หรือไม่”
หูซื่อฟังแล้วตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีว่า “ใช่ หมอหลวง ท่านพี่ พิษที่เกอเอ๋อร์ของเราถูกเหมือนพี่ใหญ่มิใช่หรือ พี่ใหญ่ยังไม่เป็นไร เช่นนั้นเกอเอ๋อร์ของเราก็ต้องมีทางช่วยแน่นอน ท่านพี่ ท่านไปขอร้องฝ่าบาท เราก็ส่งเกอเอ๋อร์ขึ้นเขาไป ข้าไปโขกศีรษะให้หมอเทวดาเฒ่า ต่อให้เอาชีวิตข้าเข้าแลกก็ได้ ขอเพียงเขาสามารถช่วยชีวิตเกอเอ๋อร์เราได้” น้ำตาในตาของหูซื่อไหลไม่หยุด
สวีเหยียนกลับเบือนสายตาออก ทนดูดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังของหูซื่อไม่ได้ “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังขอร้องฝ่าบาท” ในใจเขากลับเข้าใจว่าต่อให้ขอร้องฝ่าบาทก็ไม่มีประโยชน์ เกอเอ๋อร์ถูกพิษลึกเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นเทวดาจำแลงก็ช่วยไม่ได้แล้ว
ด้านฉินอิงอิงนั้นกำลังเถียงกันอย่างดุเดือด ยามเกิดเรื่องแม้นางไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุกลับได้ยินแล้ว เมื่อนึกถึงว่าสวีฉั่งด้วยลุ่มหลงในกิเลสตัณหาทำร่างกายพังไม่สามารถมีบุตรได้อีก นางก็แค้นจนสั่นไปทั้งตัว
นางเพิ่งแต่งเข้ามาเท่าไรเอง ยังไม่ถึงครึ่งปีเลย เพียงหนึ่งเดือนที่แต่งงานใหม่สวีฉั่งยังนับว่าว่าง่าย หลังจากนั้นร่างเดิมกลับปรากฏแล้ว ไม่เพียงไม่กลับจวนเป็นประจำ ต่อให้อยู่ในจวนสายตานั่นก็จ้องอยู่แต่ร่างสาวใช้สะสวย นางพาสาวใช้บ้านมารดามาสี่คน ถูกเขาเอาไปแล้วสามคน
นางโวยวายก็โวยวายแล้ว อาละวาดก็อาละวาดแล้ว สวีฉั่งภายนอกรับปากอย่างดี พอลับหลังก็ทำอะไรไม่สนใจใครอีกแ
ฉินอิงอิงกลับบ้านร้องไห้โอดครวญ มารดานางกลับกล่อมนางว่า “ผู้หญิงคนใดบ้างไม่เคยผ่านชีวิตเช่นนี้ แม้แต่บิดาเจ้าลุงใหญ่เจ้าก็มีอนุหลายคนมิใช่หรือ หน้าที่เร่งด่วนของเจ้าในยามนี้คือรีบให้กำเนิดบุตรชายในสายโลหิตสร้างจุดยืนให้มั่นคง ขอเพียงเจ้ามีบุตรชายเคียงกาย อนุคนไหนจะสามารถข้ามศีรษะเจ้าไปได้”
ออกเรือนก็ออกเรือนแล้ว ไม่ยอมรับชะตาแล้วจะทำอย่างไรได้ เพียงครึ่งปี หัวใจดวงนั้นของฉินอิงอิงก็เ**่ยวเฉาแล้ว นางตัดสินใจฟังคำพูดของมารดานาง รีบให้กำเนิดบุตรชายในสายโลหิตสักคน ทว่าไม่คิดว่าจะฟ้าผ่ากลางวัน สวีฉั่งถึงกับเสเพลจนร่างกายพัง ไม่สามารถมีบุตรได้อีกแล้ว! เช่นนั้นนางจะทำเช่นไรดี
นางโกรธจนทะเลาะกับสวีฉั่งยกใหญ่ สวีฉั่งท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย เหล่ตาเบ้ปาก “ไม่มีบุตรก็ไม่มีบุตร รับมาเลี้ยงก็ได้แล้วมิใช่หรือ เรื่องใหญ่เพียงใดกันเชียว” เขายังท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ
รับมาเลี้ยง รับมาเลี้ยงจะเทียบกับคลอดเองได้หรือ นางไม่ใช่ให้กำเนิดไม่ได้เสียหน่อย เรื่องอะไรต้องเลี้ยงลูกให้คนอื่นด้วย ฉินอิงอิงโกรธจนแทบบ้าแล้ว ร้องไห้โวยวายขึ้นมาทันที ร้องที่ตนชีวิตรันทด ไยต้องมาเจอเจ้าคนไม่เคยสนใจอะไรใดๆ ด้วยนะ สวีฉั่งถูกนางร้องจนรำคาญ สะบัดมือจากไปให้รู้แล้วรู้รอด
ฉินอิงอิงเห็นดังนั้นยิ่งเศร้าใจ นึกถึงว่าต่อไปจะไร้ที่พึ่งพิง รู้สึกว่าไม่มีทางรอดเลยแม้แต่น้อย
จู่ๆ นางก็ลุกขึ้นยืนโดยพลัน สั่งเสียงดังว่า “เก็บข้าวของ กลับจวนเสนาบดี!” หย่า นางจะหย่าแน่นอน! ชีวิตเช่นนี้อยู่ไม่ไหวแล้ว
ข่าวของบุตรชายในสายโลหิตสามคนที่เกิดจากจิ้นหวังเฟยยังคงลือออกไปแล้ว แม้ท่านจิ้นอ๋องโบยบ่าวที่อยู่ในที่เกิดเหตุกลุ่มหนึ่งจนตายในคราแรกและออกคำสั่งปิดปากด้วยตัวเองอีก แต่เรื่องนี้ยังคงลือออกไปจนได้
ข่าวที่น่าตื่นตะลึงนี่ทำให้ผู้คนตกใจจนตาค้าง สวรรค์ สิ้นทายาท นี่เป็นเรื่องทำร้ายคนเพียงใด! เมื่อรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวแล้ว ผู้คนก็หุบปากไปตามๆ กัน
แม้ผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ทว่าตอนนั้นแต่ละเรื่องที่ออกจากจวนจิ้นอ๋องทุกคนยังจำได้ไม่ลืม ท่านจิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับทิ้งอนาคต บีบจนภรรยาตัวตาย ตอนนั้นคนตั้งเท่าไรต่างดูถูก ตอนนั้นยามที่ต้วนซื่อจิ้นหวังเฟยคนก่อนเสีย เหล่าฮูหยินของจวนต่างๆ ก็แอบบ่นอยู่ในใจแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องดิ้นไม่หลุดจากซ่งซื่อแน่นอน ไม่คิดว่ายังคงเป็นฝีมือของท่านนั้นจริงๆ ด้วย
ไอหยา วางยาพิษไว้บนเสื้อผ้าของท่านจิ้นอ๋อง ซ่งซื่อคนนี้ช่างจิตใจอำมหิตเหลือเกิน! เมื่อทุกคนคิดเช่นนี้แล้ว ต่างรู้สึกขนลุกซู่
ผู้ปกครองของตระกูลใหญ่ที่มีความคิดทะลุปรุโปร่งพวกนั้นต่างเรียกลูกหลานในตระกูลเข้ามาตักเตือนว่า ‘เห็นหรือยัง หลังบ้านไม่สงบก็คือรากเหง้าของความโกลาหล ต้นห้องนอนได้ อนุก็มีได้ ทว่าจะหลงอนุจนดับภรรยาไม่ได้เด็ดขาด ต้องดูเรื่องในจวนจิ้นอ๋องเป็นบทเรียน บ่มเพาะศีลธรรมของตนดูแลบ้านช่องเรือนชานถึงปกครองใต้หล้าได้’ เหล่าลูกหลานล้วนแสดงว่าได้รับการสั่งสอนแล้ว
เหล่านายหญิงฉวยโอกาสจัดการอนุที่อยู่ไม่สุขไม่สงบเสงี่ยมพวกนั้น อนุพวกนั้นทุกข์จนพูดไม่ออกกลับไม่มีที่ให้ร้องทุกข์ นายไม่หนุนหลังแล้ว!
จิ้นหวังเฟยรออยู่หลายวันยังคงไม่เห็นเหล่าบุตรชายของนาง ก็ไม่รู้ว่านางคิดเช่นไร อารมณ์ร้อนขึ้นทุกวัน ไม่ขว้างของก็ด่าคน ทำจนแม่นมซือต้องปวดเศียรเวียนเกล้าตาม
“หวังเฟย ท่านระงับโทสะเถิด ท่านอ๋องกำลังโกรธอยู่ ท่านซื่อจื่อและคุณชายสามคุณชายสี่จะกล้ามาหรือเจ้าคะ” แม่นมซือเกลี้ยกล่อมอย่างอดทน
ทว่าคืนนั้นจิ้นหวังเฟยเกิดเรื่องแล้ว ระหว่างที่แม่นมซือหลับอย่างสะลึมสะลือก็ได้ยินหวังเฟยเหมือนร้องเสียงหนึ่งว่า “ผีหลอก!” เสียงโหยหวนผิดปกติ รอถึงยามที่นางลงจากเตียงเข้ามาใกล้ ก็เห็นหวังเฟยนอนอยู่บนพื้น ไม่ได้สติแล้ว บนใบหน้าเขียวซีดยังเห็นความหวาดหวั่นหลงเหลืออยู่
แม่นมซือตกตะลึงพรึงเพริด รีบร้อนเรียกคน เรียกอยู่ครึ่งค่อนวันถึงมีหญิงชรารับใช้ใช้แรงงานสองคนเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อย เมื่อเห็นเหตุการณ์ ก็ลนลานทันทีเช่นกัน ท่านอ๋องบอกเพียงว่าเฝ้าเรือนไว้ให้ดี ไม่ได้บอกว่าให้เชิญหมอได้หรือไม่! นี่กลางค่ำกลางคืนดึกดื่น ประตูบานที่สองคล้องกุญแจตั้งนานแล้ว ท่านอ๋องก็พักผ่อนแต่หัวค่ำแล้วเช่นกัน ทำเช่นไรดี ทำเช่นไรดี
สุดท้ายพวกนางยังคงกลัวหวังเฟยเกิดเรื่อง ยังคงไปเรือนของคุณชายสามเชิญหมอหลวงมา หมอหลวงพอเห็นสภาพเช่นนั้นของจิ้นหวังเฟย ในใจก็เต้นแรงทีหนึ่ง เป็นไปตามคาด เมื่อได้ตรวจ จิ้นหวังเฟยนี่คือเป็นจ้งเฟิงแล้ว* ยิ่งกว่านั้นเพราะเสียเวลาไปจึงค่อนข้างสาหัสแล้ว สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว คิดจะฟื้นตัวกลับมาพูดจาฉะฉานนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว
หลังจากข่าวจิ้นหวังเฟยจ้งเฟิงปากพูดไม่ได้ขาเดินไม่ได้ลือออกมาแล้ว มือที่ใส่เสื้อของซื่อจื่อสวีเยี่ยก็หยุดชะงัก พูดเสียงเรียบคำหนึ่งว่า “รู้แล้ว” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ส่วนสวีเหยียนนั้นนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา สวีฉั่งสำมะเลเทเมาอยู่ในหอคณิกา ยังไม่รู้ว่ามารดาจ้งเฟิงเลย
ท่านจิ้นอ๋องได้ข่าวแล้วโบกมือด้วยสีหน้ารำคาญ ท่าทางเช่นนี้ดูเหมือนไม่อยากรับรู้เรื่องราวใดๆ ของจิ้นหวังเฟยทั้งสิ้น
*จ้งเฟิง ศาสตร์การแพทย์แผนจีน เรียกโรคหลอดเลือดสมองว่า “จ้ง” หมายถึง โรคที่มีอาการหน้ามืด ล้มลงหมดสติฉับพลัน ร่างกายครึ่งซีกอ่อนแรง ปากเบี้ยว เห็นภาพซ้อน พูดติดขัด หรืออาจไม่มีอาการล้มลงหมดสติ แต่มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีก จนถึงอาการ ปากเบี้ยว เห็นภาพซ้อน