ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 280-2 สหายร่วมกลุ่มเยี่ยงหมู
เสิ่นเวยรู้ว่าพวกที่ถูกนางซ้อมจนเป็นหัวหมูฟ้องไม่สำเร็จกลับถูกเฉดออกจากเมืองหลวงไปเป็นผู้ตรวจการตรวจตรา ตาหงส์ที่สวยงามคู่นั้นกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยวทันที เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าฝ่าบาทมีเหตุผลทีเดียว นางเกาะไหล่ของสวีโย่วทวงผลงานว่า “เห็นหรือไม่ ข้าออกโรงคนหนึ่งก็แทนได้สองคน คนถ่อยพวกนั้นห่างหายการสั่งสอนไปนาน อัดพวกเขาสักยกก็ว่าง่ายขึ้นแล้ว”
สวีโย่วกระตุกมุมปากทีหนึ่ง เพียงแค่หนึ่งต่อสองที่ไหน ตีพ่ายไปทั้งกลุ่มเลยต่างหาก เวยเวยของเขาห้าวหาญไม่เปลี่ยนเลย! ดังนั้นสวีโย่วจึงกล่าว “ข้าต้องขอบคุณเวยเวยแล้ว” ยังคารวะนางอย่างทีเล่นทีจริงอีก
เสิ่นเวยแค่นเสียงอย่างปากไม่ตรงกับใจ ท่าทางนั่นน่ารักอย่าบอกใครเชียว
“เอ๊ะ ท่านว่าใครกันที่เห็นท่านไม่เข้าตา” แทนที่จะบอกว่าร้องเรียน ไม่สู้บอกว่าเป็นการหยั่งเชิง หยั่งเชิงท่าทีของฝ่าบาท หยั่งเชิงปฏิกิริยาของสวีโย่ว
“จะเป็นใครไปได้” สวีโย่วพูดนิ่งเรียบ รัชทายาทไม่มีแล้ว องค์ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็มีเพียงองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองสองคนแล้ว เขาและองค์ชายใหญ่ความสัมพันธ์ค่อนข้างดี เช่นนั้นที่เหลือก็มีแต่องค์ชายรองแล้ว
“เขาโง่ปานนั้นเลยหรือ” เสิ่นเวยรู้สึกว่านี่ไม่เหมือนฝีมือขององค์ชายรอง ไม่นับเสนาบดีฉินและซู่เฟย นางยังค่อนข้างยอมรับความสามารถในตัวขององค์ชายรอง องค์ชายรองที่สายตาค่อนข้างกว้างไกลจะใช้วิธีเลอะเลือนเช่นนี้หรือ
แม้จะพูดว่าบัดนี้คนที่มีคุณสมบัติชิงตำแหน่งนั้นคือองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง ทว่าคนตาดีใครบ้างดูไม่ออกว่าองค์ชายใหญ่แทบจะไม่มีกำลังในการชิงเลย แม้แต่เสิ่นเวยก็ไม่ตั้งความหวังที่เขา
องค์ชายรองอยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบทุกด้านเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น ขอเพียงตั้งใจทำงานให้ดีก็พอ ตำแหน่งรัชทายาทก็จะตกลงบนศีรษะเขาเอง ด้วยความฉลาดของเขา ไม่มีทางไม่เข้าใจถึงจุดนี้
สวีโย่วว่า “เขาไม่โง่ ทว่าขวางคนอื่นโง่ไม่ได้” คนขี้ประจบที่อวดดีพวกนั้นก็โง่มิใช่หรือ
เสิ่นเวยยิ้มอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง เข้าใจความหมายของสวีโย่ว ทอดถอนใจประโยคหนึ่งว่า “ไม่กลัวคู่ต่อสู้เยี่ยงเทพ กลัวแต่สหายร่วมกลุ่มเยี่ยงหมู” ช่างน่าเห็นใจองค์ชายรองจริงๆ
องค์ชายรองที่ถูกเสิ่นเวยเห็นใจกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในจวน “มิใช่ให้พวกเขาสงบเสงี่ยมหน่อยหรือ ตอแยผิงจวิ้นอ๋องทำอะไร”
ระยะนี้เขาอยู่ข้างกายเสด็จพ่อนานเข้า พอดูออกว่าผิงจวิ้นอ๋องเป็นคนของเสด็จพ่อ ไม่ว่าเขาทำอะไรล้วนเป็นความคิดของเสด็จพ่อ หาเรื่องผิงจวิ้นอ๋องก็เท่ากับปะทะเสด็จพ่อเขามิใช่หรือ อย่าว่าแต่บัดนี้เขายังไม่ใช่รัชทายาท ต่อให้เป็นรัชทายาทเขาก็ไม่กล้า!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาไม่เพียงตอแยผิงจวิ้นอ๋อง ยังตอแยจยาฮุ่ยเจ้าคนก๋ากั่นนั่น ถูกอัดจนเป็นเช่นนั้นแล้ว ยังมีหน้าไปฟ้องต่อหน้าเสด็จพ่ออีก ยังเพ้อฝันคิดจะให้จยาฮุ่ยขอขมาพวกเขา อย่าว่าแต่เสด็จพ่อทรงพิโรธ แม้แต่เขาก็ไม่พอใจ! ต่อให้จยาฮุ่ยจะไม่ถูกต้องเพียงใด นางก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ให้ขอขมาขุนนางราชสำนักถือเป็นการโยนเกียรติของเชื้อพระวงศ์ลงไปเหยียบที่พื้น
จ่างสื่อก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ทำได้ไม่หมาะสม จึงรีบพูดว่า “องค์ชายโปรดระงับโทสะ พวกเขาทำไปเพราะหวังดี…”
ยังพูดไม่จบก็ถูกแววตาเย็นชาขององค์ชายรองหยุดไว้แล้ว “เจ้าพวกหวังดีประสงค์ร้าย มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ รีบให้พวกเขาไปให้ไกลๆ เลย ทางที่ดีชาตินี้อย่างกลับเมืองหลวงอีก”
เพียงเห็นพวกเขาก็โมโหแล้ว วันนี้สายตาเย็นชาที่เสด็จพ่อมองมาที่เขาก่อนไปอันตรายเหลือเกิน ทำเขาตกใจเกือบตาย อย่าว่าแต่เสด็จพ่อคิดว่าเรื่องนี้เขาเป็นตัวการ แม้แต่เป็นขุนนางในราชสำนักมีคนไหนบ้างไม่คิดเช่นนี้ อย่างไรเสียก็มีเพียงเขาที่มีแรงจูงใจในการทำเรื่องนี้
ทว่าเขาถูกปรักปรำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ทำ! ในมือพี่ใหญ่ไม่มีอำนาจแม้แต่น้อย ต่อให้กำเนิดหลานในสายโลหิตคนแรกแก่เสด็จพ่อแล้วอย่างไร คนที่หัวเราะถึงสุดท้ายจึงจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง สำหรับเขาแล้วพี่ใหญ่ไม่มีอำนาจคุกคามเลยสักนิดเดียว เขาไม่โง่เสียหน่อย จะแตะต้องเขาทำไม ตรงกันข้าม เขายังต้องทำดีต่อพี่ใหญ่ด้วย มิเช่นนั้นจะเห็นความใจกว้างและเป็นมิตรของเขาได้จากไหน
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย ข้าน้อยทราบแล้ว” จางจี้พูดอย่างนอบน้อม ในใจเกรงว่าชาตินี้พวกนั้นอย่าได้คิดจะเข้าเมืองหลวงอีกเลย
องค์ชายรองแค่นเสียงหนึ่งครา กล่าวด้วยความโกรธ “คุมคนข้างล่างให้ดี ไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ หากเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้อีก ก็อย่าโทษข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน”
วันฟ้าสดใส ดอกซิ่งปลิวว่อน
ราชครูเสิ่นที่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้ปรากฏตัวในท้องพระโรงอีก นี่ก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ได้ยินว่าอาการบาดเจ็บของราชครูเสิ่นทุเลาลงมาก ทว่าไม่สามารถลงจากเตียงได้อีก อย่างมากก็นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น ถูกบ่าวไพร่เข็นไปอาบแดดข้างนอกบ้าง
แน่นอนนี่เป็นเพียงคำเล่าลือ ไม่มีใครเห็นกับตา ทว่าทุกคนสันนิษฐานว่าเรื่องนี้เป็นจริงแปดเก้าส่วน หากราชครูเสิ่นหายดีแล้ว จะไม่รีบกลับเข้าราชสำนักได้หรือ มีเขายืนอยู่ในท้องพระโรง ฝ่าบาทเห็นแก่ความดีความชอบในการอารักขาของเขา ปฏิบัติกับตระกูลเสิ่นย่อมไม่ด้อยอยู่แล้ว ทว่าหากเขาไม่โผล่หน้าเป็นเวลานาน ต่อให้ไมตรีจิตมากมายเพียงใดก็มีวันจืดจาง นานวันเข้า ฝ่าบาทยังนึกออกหรือไม่ว่าเขาเป็นใคร
ราชครูเสิ่นฉลาดปานนั้น ย่อมรู้ว่าทำเช่นไรถึงเอื้อประโยชน์ต่อตระกูลที่สุดได้ ถึงบัดนี้เขายังไม่มาประชุม ดูท่าร่างกายจะไม่ไหวจริงๆ
เหมือนพิสูจน์การคาดเดาของทุกคนอย่างไรอย่างนั้น ผ่านไปไม่กี่วันราชครูเสิ่นก็ยื่นฎีกา ขอลาออกจากตำแหน่งราชครู
ทั่วท้องพระโรงโกลาหล นั่นคือตำแหน่งท่านราชครู! ผู้นำขุนนางฝ่ายบุ๋น ใครบ้างจะยอมลาออก ต่อให้คลานก็ต้องแก่ตายอยู่ในตำแหน่งนี้
ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่ได้อนุญาต เพียงแต่บอกให้ราชครูเสิ่นรักษาตัวอย่างสบายใจ แล้วโบกพระหัตถ์ ระบุหมอหลวงอีกสองท่านไปอีก ไอหยา ครานี้ทำให้เหล่าขุนนางในราชสำนักอิจฉาอย่าบอกใคร ทว่าจะทำเช่นไรได้เล่า ความโปรดปรานนี้ราชครูเสิ่นแลกมาด้วยชีวิต
วันนี้ เสิ่นเวยเคลิ้มอกเคลิ้มใจนำสาวใช้ในจวนทำสีชาด มือเปื้อนน้ำดอกไม้แดงไปหมด พลันเห็นพลเงาเสี่ยวตี๋รีบเร่งรุดมา
พอเสิ่นเวยเห็นสีหน้านางก็รู้ว่าเกิดเรื่อง หลีฮวาและเถาจือสบตากันปราดหนึ่ง นำสาวใช้ถอยไปทันที
เสิ่นเวยล้างมือแล้วจึงเอ่ย “ว่ามาเถอะ มีเรื่องอันใด”
เสี่ยวตี๋เดินหน้าก้าวหนึ่ง รายงานเสียงเบา
เพิ่งพูดได้ไม่กี่ประโยค เสิ่นเวยก็เงยหน้าขึ้นโดยพลัน จ้องหน้าเสี่ยวตี๋เขม็งว่า “เจ้าแน่ใจว่าไม่ได้ดูผิด”
เสี่ยวตี๋ส่ายหน้าว่า “ไม่ผิดเจ้าค่ะ จวิ้นจู่ ข้าน้อยวนเวียนอยู่ที่นั่นหลายวัน ในหมู่บ้านนั่นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งจริงๆ หน้าตาเหมือนท่านนั้นทีเดียว” นิ้วมือของนางชี้ไปที่ทิศทางของวังหลวง
เสิ่นเวยพยักหน้า ตื่นเต้นจนมือสั่นหมดแล้ว เดิมทีคิดว่ามีปลาหรือไม่ก็หว่านแหสักครั้ง ไม่คิดว่ายังจับได้ปลาตัวใหญ่จริงๆ สวรรค์ช่างช่วยข้าจริงๆ! ฮ่าๆ ดูแล้วโชคข้าดีจริงๆ แม้แต่สวรรค์ก็ยืนอยู่ข้างข้า
“รีบไป เรียกคุณชายใหญ่กลับจวน บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา” เสิ่นเวยสั่งการเสียงดัง เรื่องนี้หากเป็นจริง เช่นนั้นก็ใหญ่เกินไปแล้ว นางต้องปรึกษากับสวีโย่วให้ดีสักหน่อย
สวีโย่วกลับมาเร็วอย่างยิ่ง ยามเข้าห้องฝีเท้ารีบร้อนทีเดียว “เป็นอะไรหรือ” เห็นเสิ่นเวยสบายดี เขาถึงวางใจ
เสิ่นเวยมองเขาปราดหนึ่ง ไล่เจียงเฮยเจียงไป๋ไปเฝ้าอข้างนอก แล้วจึงพูดว่า “เราพบผู้เฒ่าที่สงสัยว่าคืออ๋องเคียงบ่าในห้องลับจวนเสนาบดีมิใช่หรือ เรื่องนี้ข้าพูดกับอาจารย์ซูครั้งหนึ่ง เขาจึงบอกข้าว่าดูแล้วองค์ชายรองไม่ค่อยเหมือนฝ่าบาท กลับเหมือนท่านพ่อที่ตายไปของเสนาบดีฉิน สงสัยชาติกำเนิดขององค์ชายรอง ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ องค์ชายรองเหมือนซู่เฟยมากทีเดียว จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ หลังเกิดเรื่องแล้วข้าก็มาคิดดูอีกที เพื่อความรอบคอบจึงใช้คนจับตาจวนเสนาบดีฉินไว้ ไม่คิดว่าจะพบอะไรเข้าจริงๆ เสี่ยวตี๋ เจ้าพูดต่อ” เสิ่นเวยสั่งเสี่ยวตี๋
เสี่ยวตี๋พยักหน้า พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าน้อยรับคำสั่งของจวิ้นจู่แล้วจึงวางกำลังคนสามชุดไว้นอกจวนเสนาบดี สอดแนมอยู่ครึ่งค่อนเดือนก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ทว่ามีวันหนึ่ง ข้าน้อยได้รับข่าว บอกว่ามีคนแปลกหน้าท่าทางเหมือนพ่อบ้านออกจากประตูหลังจวนเสนาบดี มุ่งตรงไปห้างรถม้าถนนทิศตะวันออกเช่ารถม้าคันหนึ่งออกนอกเมือง คนที่ตามไปตามอยู่ห่างๆ ตลอดทาง เห็นรถม้าคันนั้นเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกตลอดทาง สุดท้ายหยุดอยู่ที่เชิงเขา พ่อบ้านคนนั้นลงจากรถขึ้นเขาไป คนของเราก็ตามขึ้นไป เดินอยู่ประมาณหนึ่งชั่วยาม ไม่คิดว่าจะเห็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พ่อบ้านคนนั้นเข้าไปในเรือนที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ครึ่งชั่วยามให้หลังก็ออกมาอีก คนของเรารู้สึกแปลกจึงแอบเข้าไป พบว่าในเรือนนี้มีคนเพียงสองคน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่ม อีกคนคือตาแก่ เรียกเด็กหนุ่มคนนั้นว่าคุณชาย คนของเราไม่กล้าทำให้พวกเขาตกใจ จึงรีบกลับมารายงานเจ้าค่ะ”
มองดูเจ้านายที่มีสีหน้าน่าเกรงขามปราดหนึ่ง เสี่ยวตี๋พูดต่อว่า “ข้าน้อยได้รับข่าวแล้วจึงแอบลอบเข้าหมู่บ้านเล็กๆ กลางเขานั่น ข้าน้อยเห็นคุณชายท่านนั้นแล้วตกตะลึงจะพูดไม่ออก หน้าตาของขาเหมือนพวกเรา อืม เหมือนมากเลย ข้าน้อยไม่กล้าเสียเวลาจึงรีบกลับมารายงานเจ้าค่ะ”
“ทำเช่นไรดี หรือเราควรไปลักพาตัวเขาออกมา” เสิ่นเวยมองไปที่สวีโย่ว ลึกเข้าไปในดวงตาเต็มไปด้วยความกระเ**้ยนกระหือรือ
สวีโย่วครุ่นคิดครู่หนึ่ กลับส่ายหน้า กดมือของเสิ่นเวยว่า “อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวโดยพลการ เรื่องนี้ใหญ่เกินไป เรารับมือไม่ไหว ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้ เรื่องนี้จะปิดฝ่าบาทไม่ได้เด็ดขาด”