ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนพิเศษ 1-1 สวีโย่ว (ต้น)
หลังจากที่สวีโย่วรู้จักกับคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวนามว่าแม่นางเสิ่นเวยผู้นั้น จึงรู้สึกว่าชีวิตค่อยสนุกขึ้นบ้าง
นับตั้งแต่จำความได้ เขาก็อาศัยอยู่ในเรือนหลังหนึ่งในจวนจิ้นอ๋อง ไม่มีเสด็จพ่อ ไม่มีเสด็จแม่ และไม่มีพี่น้องคนอื่นๆ เขามีเพียงหญิงรับใช้และแม่นม ยังมียาน้ำขมๆ และความเจ็บปวด
ใช่แล้ว ความเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ติดตามเหมือนเงา เมื่อกำเริบขึ้นมาก็เจ็บปวดเหมือนจะตาย เมื่อนั้นยายหรูจะกอดเขาเอาไว้ในอก บอกกับเขาด้วยน้ำตานอง “คุณชายใหญ่นิ่งไว้! อดทนเข้า อดทนอีกนิดก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นยายหรูเป็นทุกข์ถึงเพียงนั้น เขาอยากจะบอกนางว่า “อย่ากังวลไปเลย ข้าจะอดทน” ทว่าแม้แต่แรงที่จะเปิดปากพูดก็ยังไม่มี ดังนั้นเขาจึงอดทนต่อความเจ็บปวดได้เป็นพิเศษตั้งแต่เด็ก ตอนที่เขารู้ว่าสตรีงดงามที่ต่อหน้าเสด็จพ่อทำทีดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดีแต่เมื่อเสด็จพ่อไม่อยู่กลับจับตามองเขาอย่างเย็นชาไม่ใช่เสด็จแม่ของเขาเอง เขาก็ยิ่งอดทนเก่งมากขึ้น
แม้ความเจ็บปวดจะมากมายเพียงใด แค่เขากัดฟันมันก็จะผ่านพ้นไป เหมือนกับการขึ้นภูเขาไม่มีผิด
ตอนนั้นเขาอายุห้าขวบหรือหกขวบหรือไม่ก็เจ็ดขวบเขาเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เป็นเพราะวันเวลาในตอนนี้เขามีความสุขมากเหลือเกิน เขาจึงได้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตได้น้อยมาก
จำได้เพียงครั้งนั้นเขาป่วยจนเกือบตาย ทว่าแม้บ่าวไพร่สักคนในเรือนก็ไม่อยู่ แม้แต่ยายหรูที่ดีต่อเขามากที่สุดก็ยังไม่อยู่ เขาทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด รู้สึกเหมือนร่างกายมีไฟแผดเผา เขากระหายน้ำอย่างยิ้ม จึงพลิกกายลงจากเตียงอย่างสุดชีวิต เขาล้มลงบนพื้น ทันใดนั้นก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย สัมผัสเย็นๆ ทำให้เขารู้สึกสบายมากขึ้น สบายจนอยากจะนอนหลับไม่ตื่น
จากนั้นเขากลับตื่นขึ้นมา เป็นท่านพี่รัชทายาทแห่งจวนจิ้นอ๋องที่บังเอิญช่วยเขาได้พอดี อ้อ ในตอนนั้นท่านพี่รัชทายาทยังไม่ได้เป็นรัชทายาทเลย เขาเป็นคุณชายใหญ่แห่งจวนฉินอ๋องต่างหาก
ตอนที่เขาตื่นขึ้นมานั้น เขาไม่ได้อยู่ในห้องที่คุ้นเคย แต่เขานอนอยู่ในห้องที่กว้างใหญ่มาก ชายชราที่อยู่ในชุดสีเหลืองสว่างมองเขาด้วยความเมตตา และยังมีชายชราหนวดเครายาวอีกสองสามคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเสด็จปู่ของเขาเอง ชายชราเครายาวคนนั้นเป็นหมอหลวงที่ให้การรักษาเขา
เสด็จปู่มีหน้าตาอย่างไร เขาเองก็จำไม่ได้แล้ว แต่เขายังจำได้ว่าเสด็จปู่พูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนมและยังทำดีกับเขา ไม่เหมือนเสด็จพ่อที่แสนเย็นชาเลยแม้แต่น้อย ใจของเขาทั้งประหม่าทั้งปีติยินดี
จากนั้นเขาก็ถูกส่งขึ้นมาบนภูเขา บนเขามีหมอเทวดาคนหนึ่งอาศัยอยู่ซึ่งสามารถรักษาโรคของเขาให้หายได้ พูดอย่างจริงจังว่าเขาเป็นโรคเรื้อนแต่กำเนิด หมอเทวดามีนิสัยไม่ดีเอาเสียเลย ตอนที่เขาเพิ่งจะขึ้นเขามาได้ หมอเทดามองเห็นว่าสายตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยชา ยังร้องเรียกเขาว่าเจ้าลูกหมาและยังใช้ให้เขาทำงานอีกด้วย
“เจ้าลูกหมา ไปถอนหญ้าที่สวนสมุนไพรหลังเรือนซิ”
“เจ้าลูกหมา ฟืนของวันนี้ยังไม่ได้ผ่าเลยนะ”
“เจ้าลูกหมา น้ำในถังแห้งหมดแล้วไม่เห็นหรือไร ช่างเป็นคุณชายที่มีตาแต่หาแววไม่ยิ่งนัก”
——
เขาอยากจะกระโดดลงเขาเสียทุกครั้ง แต่เมื่อคิดถึงตอนที่ยายหรูกอดเขาเอาไว้แล้วสั่งเสียว่า “คุณชายใหญ่ เมื่อขึ้นเขาไปแล้วต้องเป็นเชื่อฟังและเป็นเด็กดี คนที่อยู่บนภูเขาผู้นั้นเป็นราวกับเทวดา มีเพียงเขาเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาท่านได้ ท่านนักปราชญ์ต้องลงแรงอย่างมากจึงจะวางแผนเพื่อท่านได้นะเจ้าคะ”
หากเขากลับไปเช่นนี้ ยายหรูจะต้องน้ำตาไหลพรากแน่ เสด็จปู่เองก็คงจะทรงผิดหวัง เมื่อนึกถึงเสด็จปู่ที่ลูบศีรษะเขาอย่างสนิทสนม เขาก็กัดฟันทนต่อไป
จากนั้น หมอเทวดาก็กลายเป็นอาจารย์ของเขา
มันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกัน อาจจะเป็นตอนที่เขาเคยชินกับการต้องกัดฟันทน อาจจะเป็นตอนที่เขายอมปล่อยให้เขาแทงเข็มเงินมากมายถึงเพียงนั้นเข้ามาในร่างกายโดยไม่ร้องสักแอะกระมัง! เขาได้ยินหมอเทวดาบ่นพึมพำ “ช่างเป็นเจ้าลูกหมาที่ดื้อรั้นจริงๆ”
บางครั้งเขาก็เห็นแววตาสงสารยามที่หมอเทวดามองมาที่เขา เมื่อเขาตั้งใจมองดีๆ หมอเทวดาก็ลูบเคราตัวเองแรงๆ พลางถลึงตาจ้อง “อืดอาดอยู่ทำไม วันนี้ท่องหนังสือแล้วหรือ คัดตัวอักษรแล้วหรือ ฝึกยืนบนเสาได้กี่ชั่วยาม ฝึกวิชาต่อสู้ได้กี่รอบแล้ว”
ใช่แล้ว หมอเทวดานั้นนอกจากจะรักษาโรคให้เขาแล้ว ยังสอนหนังสือและฝึกวิชายุทธ์ให้เขาอีกด้วย พลางสอนพลางเฉยชา “ดูให้ดีนะ ข้าจะสอนเจ้าเพียงครั้งเดียว ถ้าทำไม่ได้ตอนเที่ยงไม่ต้องกินข้าว”
ปากยังชอบบ่นอีกว่า “เสียเปรียบชัดๆ เพื่อเศษสมุนไพรไม่กี่ต้นต้องลำบากเลี้ยงทารกด้วย”
หมอเทวดายังคงพูดจาเหมือนมะนาวไม่มีน้ำกับเขาเหมือนเดิม ยังใช้เขาทำงานหนัก และยังต่อว่าที่เขาเรียนได้ช้า เพราะโง่เง่า ทำให้เขาเสียหน้า ทว่าสวีโย่วกลับรู้สึกสนิทสนม ทั้งยังบ่มเพาะประสาทสัมผัสตั้งแต่ยังเยาว์ ใครกันแน่ที่ดีต่อเขาอย่างจริงใจ เพียงครู่เดียวเขาก็แยกแยะได้
เหมือนกับหมอเทวดา แม้เขาจะบ่นว่าเขานั้นเลี้ยงเสียข้าวสุก แต่ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายป่าหรือไก่ป่าที่ล่ามาได้ในสามวันห้าวันก็แบ่งให้เขากินด้วย แม้ว่าเขาจะพูดจาไม่น่าฟัง แต่ก็ยังยัดลูกวาดใส่คอเขาทุกครั้งที่ดื่มยาจนหมด
ดังนั้นจึงเริ่มที่จะเรีกเขาว่าอาจารย์ และหมอเทวดาก็เอาแต่อ้าปากค้างและไม่ได้พูดตอบโต้อะไร ทำเพียงถอนหายใจยาวแล้วยอมรับ และในช่วงเวลานั้นเองที่เจียงเฮยและเจียงไป๋ได้มาอยู่ข้างๆ เขา พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าที่อาจารย์เก็บได้ที่ล่างเขา
เสด็จปู่เสด็จมาหาเขาบนภูเขาในปีที่สอง เมื่อมาถึงแล้วก็มีพระราชโองการเรียกให้เขาเข้าไปพบ เขามองไปที่เสด็จปู่ผู้แก่ชรา ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์ เสด็จปู่ยังคงมองเขาอย่างเมตตาเช่นเคย แต่เขากลับรู้สึกว่าเสด็จปู่กำลังมองผ่านเขาไปที่ใครบางคน ความรู้สึกเช่นนั้นช่างแปลกประหลาดนัก
เสด็จปู่มอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้เขาหนึ่งป้าย เป็นป้ายที่สลักรูปกิเลนเอาไว้ ให้เขาเก็บเอาไว้ให้ดี อย่าได้บอกใครเด็ดขาด บอกว่าเป็นของที่เอาไว้ให้เขาตั้งตัว
ตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจ ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่าเสด็จปู่ทิ้งทหารคุ้มมังกรเอาไว้ให้เขา ทหารคุ้มมังกรคือทหารลับที่เก่งกาจที่สุดและลึกลับที่สุดในพระหัตถ์ของเสด็จปู่ แต่เสด็จปู่กลับมอบให้กับเขา และเป็นเพราะเขาต้องพึ่งพาการคุ้มครองจากทหารคุ้มมังกรเองทำให้เขามีโอกาสได้พบกับหญิงสาวคนสำคัญ
ทุกๆ ปีเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนภูเขา มีเพียงช่วงปีใหม่ที่เขาต้องกลับเมืองหลวง กลับไปยังจวนจิ้นอ๋อง
พูดไปแล้วก็น่าขัน จวนจิ้นอ๋องเป็นบ้านของเขาแท้ๆ เขาเป็นทายาทชายเอกของจวนจิ้นอ๋องแท้ๆ เชียว แต่เขากลับยอมที่จะอยู่บนเขามากกว่า ไม่อยากจะกลับมาเลยแม้แต่น้อย
เขาจะกลับมาทำไม สายตาของเสด็จพ่อที่มองมาที่เขาช่างเย็นชานัก แม้ว่าหญิงคนนั้นถามใถ่สารทุกข์สุขดิบด้วยความอบอุ่น แต่ก็เป็นเพียงการใส่หน้ากากเท่านั้น ลับหลังก็ยังคงจัดแจงกลั้นแกล้งไม่หยุด อย่างเช่นการยัดคนเข้ามาในเรือนพักของเขา โดยเฉพาะยัดเยียดสาวใช้หน้าตาสวยๆ เข้ามา
พี่น้องคนอื่นก็ไม่ได้สนิทสนมกับเขา พวกเขาก็มีครอบครัว เขาเป็นเพียงคนนอกที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ บ่าวไพร่ที่เคยอยู่รับใช้เขาสองสามคนนั้น นอกจากยายหรูแล้วก็ไม่รู้ว่าถูกส่งไปที่ใด แม้แต่ยายหรูก็ไม่ได้อยู่ในเรือนพัก กลับไปอยู่ที่ศาลบรรพชนคอยดูแลรักษาป้ายวิญญาณของเสด็จแม่
เมื่อเขาเริ่มมีอายุมากยิ่งขึ้น เขาก็รู้ถึงประวัติความเป็นมาของชีวิตตัวเอง รู้ว่าเสด็จแม่ต้องเสียชีวิตเพราะคลอดเขาออกมา รู้ว่าเสด็จพ่อของเขานั้นไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับเสด็จแม่ของเขา หญิงผู้นั้น ผู้ซึ่งตอนนี้เป็นจิ้นหวังเฟยต่างหากถึงจะเป็นคนที่เสด็จพ่อรักทั้งใจ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากกลับมายังจวนจิ้นอ๋อง
ตอนที่เขาอายุสิบห้าปีอาการป่วยของเขาหายแล้ว โรคที่อยู่ในการก็รักษาหายแล้ว อาจารย์กล่าวไว้ว่าหากเขาไม่รนหาที่ตาย ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงเจ็ดสิบแปดสิบปี ส่วนเรื่องทายาทก็คงจะมีอุปสรรคบ้างเล็กน้อย แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านอาจารย์ผู้ชราได้คิดค้นหาวิธีให้เขาอย่างยากลำบากแล้ว
เรื่องนี้ สวีโย่วไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย หลายปีมานี้เขาได้บ่มเพาะนิสัยเย็นชาไม่ยินดียินร้าย หากต้องใช้ชีวิตอย่างเป็นทุกข์ขนาดนี้ จะมีอะไรดีเล่า ตายแล้วก็จะได้หลุดพ้น ไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่ดีตรงไหน
ดังนั้นเขาจึงยอมรับเสด็จลุง จักรพรรดิยงเสวียนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระราชทานฐานะและตำแหน่งแก่เขา ต่อหน้าเขาคือองค์ชายใหญ่ขี้โรคแห่งจวนจิ้นอ๋องลับหลังเขาเป็นหัวหน้าทหารเงา อยู่นอกสายตาโดยสิ้นเชิง เรื่องต่างๆ ที่ยากจะแก้ไขในราชสำนักเขาล้วนแล้วแต่รับมาจัดการทั้งสิ้น
เป็นเพราะเขากลัวและไม่เสียดายชีวิต ใช่แล้ว เขาไม่เอาเรื่องความเป็นความตายของตัวเองมาใส่ใจ ขอแค่เข่นฆ่าศัตรูได้ เขาก็ไม่สนใจว่าตัวเองจะบาดเจ็บ ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากเพียงใดก็สามารถจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงค่อยๆ ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากฝ่าบาท ในสายตาของคนทั้งหลายเขาเป็นเพียงคุณชายใหญ่ผู้ไร้อำนาจแห่งจวนจิ้นอ๋องผู้เป็นพระภาติยะที่ฝ่าบาทรักใคร่เอ็นดูมากที่สุด