ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง - ตอนที่ 200 เจ้าเล่ห์
เมื่อจิตใจสงบลงแล้วฉินซินหยิ่งก็ไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป เธอนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ และสั่งให้ผู้ช่วยไปชงกาแฟมาให้ถ้วยหนึ่ง เธอรอโทรศัพท์จากผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าผู้อำนวยการได้เห็นภาพสเก็ตช์แล้ว
เป็นดังที่เธอคาดไว้ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบมาเคาะประตูห้องทำงานเธอ ก่อนที่ผู้ช่วยเธอจะนำกาแฟมาให้ ฉินซินหยิ่งเอ่ยเบาๆ ว่า “เชิญค่ะ” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบผลักประตูเปิดเข้ามา หลังจากทักทายฉินซินหยิ่งเธอก็กล่าวว่า “ดีไซเนอร์ฉิน ผู้อำนวยการขอเชิญคุณไปที่ห้องทำงานของเธอ บางทีเธออาจต้องการพูดคุยเกี่ยวกับแฟชั่นโชว์ฤดูหนาวกับคุณ”
ฉินซินหยิ่งคิดในใจว่า ‘ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น’ จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น พยักหน้าให้ผู้ช่วยผู้อำนวยการอย่างใจเย็น “ได้ค่ะ รับทราบ กรุณาบอกผู้อำนวยการว่าฉันจะไปพบเดี๋ยวนี้”
ฉินซินหยิ่งลุกขึ้นหลังจากผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบออกไปแล้ว เธอมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ยิ้มเยาะอยู่ในใจ แล้วเอื้อมมือไปปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “ถังซี จริงๆ แล้วเธอค่อนข้างมีประโยชน์นะ ในเวลาแบบนี้”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ภาพสเก็ตช์ที่เธอออกแบบไว้ ทำให้ฉันชนะทุกการแข่งขันที่ผ่านมา และได้รับเกียรติอย่างสูง
ฉินซินหยิ่งไปที่ห้องทำงานของวิเวียน และเคาะประตู วิเวียนกำลังมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นฉินซินหยิ่งเดินเข้ามาเธอก็ยิ้ม ลุกขึ้นยืน แล้วบอกให้ฉินซินหยิ่งนั่งลง เธอรินกาแฟให้ฉินซินหยิ่งถ้วยหนึ่ง และรินให้ตัวเอง
“ดีไซเนอร์ฉิน คุณทำได้ดีมาก! คุณสร้างความแปลกใจให้ฉันอีกแล้ว ฉันเห็นภาพสเก็ตช์งานออกแบบที่คุณส่งมาแล้ว เทียบได้กับโอร์ กูตูร์ ของชาแนลเลยทีเดียว ฉันคิดว่าด้วยความช่วยเหลือของคุณ บริษัทเราจะสามารถสร้างยอดขายใหม่ และขึ้นสู่ระดับสูงมากในวงการแฟชั่น
เมื่อฉินซินหยิ่งได้ฟังคำเยินยอของวิเวียน ประกายความพึงพอใจก็ฉายผ่านดวงตาเธอ และรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เธอดื่มกาแฟอึกหนึ่ง มองตาวิเวียนและยิ้ม “วิเวียน ฉันภูมิใจมากค่ะ ฉันเลือกร่วมงานกับเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เพราะฉันชอบการออกแบบแฟชั่น ช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุดคือเมื่อได้เห็นนางแบบสวมใส่เสื้อผ้าที่ฉันออกแบบ”
เมื่อได้ยินฉินซินหยิ่งกล่าวด้วยความถ่อมตัวอย่างมาก วิเวียนก็ยิ่งเชื่อมั่นในความสามารถของฉินซินหยิ่ง “มีนักออกแบบน้อยคนที่ไม่ให้คุณค่ากับชื่อเสียงและโชคอย่างคุณ โดยปกติแล้วทุกวันนี้นักออกแบบที่มีความสามารถระดับคุณจะพยายามก้าวสู่สากล หรืออย่างน้อยก็ยอมรับคำเชิญของแบรนด์ดังระดับโลก แต่ฉันได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้คุณปฏิเสธคำเชิญของ FD ใช่ไหม”
คิ้วฉินซินหยิ่งเลิกขึ้นพร้อมรอยยิ้มเรียบเฉยบนใบหน้า “จริงๆ แล้ว FD ไม่ใช่เส้นทางที่ฉันแสวงหา สิ่งที่ฉันแสวงหาคือออกแบบเสื้อผ้าเท่านั้นค่ะ FD ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ”
วิเวียนพยักหน้า ยิ้มแล้วหยิบจดหมายออกมาส่งให้ฉินซินหยิ่ง “นี่เป็นบัตรเชิญปารีสแฟชั่นวีค ที่จะจัดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน เขาเชิญให้เราไปปรากฏตัวบนเวทีอินเตอร์แนชันนัลแฟชั่นวีค ไม่ทราบว่าดีไซเนอร์ฉินจะสามารถออกแบบชุดเพิ่มเติมได้ไหมในช่วงเวลานี้ เพื่อที่เราจะได้ไปเฉิดฉายบนเวทีอินเตอร์แนชันนัลแฟชั่นวีค”
ปารีสแฟชั่นวีค!
ดวงตาฉินซินหยิ่งส่องประกายเจิดจ้า หากการออกแบบแฟชั่นของเธอได้รับการบันทึกภาพไปเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จัก จากบนเวทีระดับนานาชาติในงานอินเตอร์แนชันนัลแฟชั่นวีค ก็หมายความว่าเธอก้าวล้ำหน้าถังซี และไม่ได้เป็นเพียงแค่เงาของผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป นอกจากนี้เธอยังจะได้รับโอกาสรู้จักต้นแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับสากลเหล่านั้น!
อย่างไรก็ตาม… ฉินซินหยิ่งยิ้มให้วิเวียนและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นี่เป็นโอกาสสำหรับเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป นักออกแบบทุกคนของบริษัทเราควรคว้าโอกาสนี้ไว้ ถ้าเป็นไปได้ฉันจะร่วมสนับสนุนเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปอย่างแน่นอนค่ะ”
ด้วยความดีใจที่ได้ยินฉินซินหยิ่งพูดเช่นนั้น วิเวียนยิ้มกว้างจากใจจริง “ถ้าอย่างนั้นฉันจะรายงานเรื่องนี้ต่อท่านประธานเซียว แจ้งให้พนักงานของเราเริ่มเตรียมตัวสำหรับงานแฟชั่นวีคที่กำลังจะมาถึง ฉันขอให้ดีไซเนอร์ฉินช่วยเตรียมออกแบบแฟชั่นโอร์ กูตูร์ให้เราห้าเซ็ท ภายในหนึ่งสัปดาห์นี้ จะได้ไหมคะ”
มุมปากฉินซินหยิ่งแข็งทื่อทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘โอร์ กูตูร์ห้าเซ็ท’ หากเป็นก่อนหน้านี้เธอสามารถหยิบเอาโอร์ กูตูร์ห้าเซ็ทออกมานำเสนอได้อย่างง่าย แต่ตอนนี้เมื่อแฟล็ชไดร์ฟหายไป เธอก็ไม่มีภาพสเก็ตช์งานออกแบบเหลืออยู่เลย เธอจะหาโอร์ กูตูร์ห้าเซ็ทจากที่ไหนมาให้พวกเขา… อย่างไรก็ตามเธอจะไม่บอกเรื่องนี้กับวิเวียน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พยักหน้า “ตกลงค่ะ ตอนนี้ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอกลับไปที่ห้องก่อนนะคะ”
วิเวียนลุกขึ้นส่งฉินซินหยิ่งออกไป หลังจากฉินซินหยิ่งออกไปแล้ว วิเวียนก็ยิ้มกว้างและไปที่ห้องทำงานเซียวจิ่งพร้อมกับจดหมายเชิญ แต่เมื่อเธอเห็นห้องทำงานอันว่างเปล่าของแผนกเลขานุการ ดวงตาเธอก็ฉายแววประหลาดใจขึ้นมาทันที
เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีใครอยู่เลย
เธอเดินเข้าไปที่ห้องทำงานเลขานุการ มีเพียงอันเฮาอยู่ในห้อง เธอเคาะเบาๆ บนโต๊ะอันเฮา และถามอย่างนุ่มนวลว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมถึงมีเธออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น”
อันเฮาเงยหน้าขึ้นมองวิเวียน มีประกายไหวระริกอย่างผิดปกติในดวงตา เธอเม้มริมฝีปากและเรียกวิเวียนอย่างอ่อนโยน “พี่คะ… วันนี้ท่านประธานเซียวน่ากลัวเหลือเกิน เลขานุการคนอื่นๆ ถูกไล่ออกหมดแล้วค่ะ”
วิเวียนจ้องหน้าเธอและถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น เขาไล่ทุกคนออกหมดได้ยังไง แล้วเธอล่ะ ทุกคนถูกไล่ออกหมด แล้วทำไมเธอถึงยังอยู่!”
อันเฮามองหน้าพี่สาว กะพริบตาปริบๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกไป “พี่คะ พี่อยากให้ฉันถูกไล่ออกด้วยหรือ”
“เด็กโง่ ทำงานต่อไป อย่าขี้เกียจ ไม่อย่างนั้นเธอจะถูกไล่ออก” วิเวียนตบศีรษะอันเฮาเบาๆ แล้วหันกลับเดินไปที่ห้องทำงานเซียวจิ่ง
อันเฮาพึมพำคนเดียวว่า ที่เธอไม่ถูกไล่ออกก็เพราะเธอทำงานหนักนี่แหละ
วิเวียนเคาะประตูห้องทำงานเซียวจิ่ง และเซียวจิ่งร้องบอกว่า “เข้ามา” วิเวียนเดินเข้าไป เห็นเซียวจิ่งถูกกลืนอยู่ท่ามกลางกองเอกสาร เธอพยายามก้าวเท้าอย่างเบาที่สุด นำจดหมายไปวางบนโต๊ะเซียวจิ่ง และเอ่ยขึ้นเบาๆ “ท่านประธานเซียวคะ นี่เป็นบัตรเชิญงานปารีสแฟชั่นวีค ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน เขาเชิญบริษัทเราให้ไปจัดแสดงผลงานบนเวทีอินเตอร์แนชันนัลแฟชั่นวีคค่ะ”
เซียวจิ่งไม่ได้เงยหน้ามองเธอ จนกระทั่งถึงตอนนี้ “ปารีสแฟชั่นวีคหรือ”
วิเวียนยิ้มและพยักหน้า “ใช่ค่ะ หลังจากสี่ปีแห่งการทำงานหนัก ในที่สุดเราก็ทำได้”
เมื่อได้ยินอย่างนี้เซียวจิ่งก็ยิ้ม กล่าวว่า “ใช่ เป็นข่าวดีจริงๆ คุณเริ่มเตรียมตัวได้เลย จะมีคนใหม่เข้ามาทำงานวันพรุ่งนี้ บอกแผนกบุคคลเตรียมทำทะเบียนประวัติพวกเขาด้วยเช้าวันพรุ่งนี้”
มีร่องรอยความประหลาดใจกะพริบอยู่ในดวงตาวิเวียน เซียวจิ่งเลิกคิ้วขึ้นมอง “สามีคุณไม่ได้ทำงานที่แผนกบุคคลหรือ ให้สามีคุณรับผิดชอบ เลขานุการพวกนั้นคัดเลือกมาโดยสามีคุณนี่ ด้วยความพยายามอย่างมากด้วย เข้าใจใช่ไหม”
วิเวียนประหลาดใจ แต่เธอทำได้แค่พยักหน้า เซียวจิ่งส่งเสียงคำรามออกทางจมูกและทำงานต่อไป พร้อมกับสาปแช่งเฉียวเหลียงว่าจะไม่มีวันหาภรรยาได้
เฉียวเหลียงอยู่ห่างไกลถึงสวีเดน ในเวลาเดียวกันนั้นเขากำลังนั่งอยู่ในห้องมืดทึบ เขาจามอออกมาด้วยท่าทางสง่างาม และเงยหน้าขึ้นมองชายผิวขาวที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ยิ้มให้ชายผู้นั้นอย่างเยือกเย็น เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ และกล่าวอย่างไม่แยแส “เพิ่มอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ หรือมิฉะนั้นเราจะไม่เจรจาต่อรองกับคุณอีกต่อไป”