ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง - ตอนที่ 538 เกิดอะไรขึ้นกับเขา
หลังจากถ่ายทำมาทั้งวัน ถังซีรู้สึกเหนื่อยเหลือเกินจนไม่อยากขยับแม้แต่นิ้วเท้า แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เธอก็ก้มมองนาฬิกา และไปที่ระเบียงเพื่อโทรหาเฉียวเหลียง
ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เธอส่งข้อความคุยกับเฉียวเหลียงผ่านวีแชตทุกวัน เขาตอบเธอ แต่แทบไม่ได้โทรหาเธอเลย
ถังซีมองดูหมายเลขโทรศัพท์เขา เม้มริมฝีปาก แล้วกดโทรออก ไม่นานเฉียวเหลียงก็รับสาย “นี่ที่จีนตีสองแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณยังไม่นอน”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันอ่อนโยนของเขา ถังซีก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าบรรเทาลง เธอยิ้ม พิงราวระเบียง และกล่าวว่า “วันนี้ฉันเพิ่งทำงานเสร็จ คิดถึงคุณขึ้นมากะทันหัน ฉันเลยโทรหาคุณ คุณยังไม่นอนเหรอ”
เฉียวเหลียงสูดลมหายใจ “ยังหรอก ผมต้องจัดการธุระบางอย่าง แล้วจะไปเยี่ยมลู่หลีที่โรงพยาบาล”
“เขายังไม่ฟื้นเหรอคะ” ถังซีขมวดคิ้ว อันที่จริงสิ่งที่เธออยากถามก็คือ เขาจะไม่กลับมาใช่ไหมถ้าลู่หลียังไม่ฟื้น แต่เธอรู้ว่าไม่ควรถามแบบนี้ พี่ชายที่แสนดีของเขานอนป่วยเจียนตายอยู่บนเตียง เธอไม่ควรหวงเขาไว้คนเดียว เธอจึงไม่ถามคำถามนั้น
เฉียวเหลียงตอบว่า “ยังเลย แต่ลั่วเฟิงบอกว่าร่างกายเขากำลังฟื้นตัว ผมจะกลับไปประเทศจีนเมื่อเขาอาการดีขึ้นแล้ว”
ถังซีกล่าวว่า “ตกลงค่ะ แล้วคุณได้ข่าวพี่เหยาบ้างไหมคะ พี่หว่านอีติดต่อเขาไม่ได้เลย ฉันเป็นห่วงเขามาก”
เฉียวเหลียงอ่านอีเมล์จากแท็บเล็ตขณะตอบคำถามเธอ “พวกเขาอยู่ในแอฟริกาใต้ กลางทะเลทราย ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ต้องห่วงนะ ตอนที่ผมโทรหาหลินหย่วนคราวหน้า ผมจะให้เขาบอกเซียวเหยาให้ติดต่อเฮ่อหว่านอี”
ถังซีทำเสียงตอบรับในลำคอ เมื่อรู้สึกว่าวันนี้น้ำเสียงเธอฟังดูแปลกไป เฉียวเหลียงจึงถามว่า “คุณมีอะไรจะบอกผมหรือเปล่า”
ถังซีหน้ามุ่ย ถามว่า “คุณอยากแต่งงานไหม”
เฉียวเหลียงชะงัก วางแท็บเล็ตลง นั่งลงบนโต๊ะแล้วถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “ทำไมจู่ๆ ถึงถามผมแบบนี้ คุณอยากแต่งงานเหรอ”
“ฉันแค่อยากขอความเห็นจากคุณ ว่าคุณอยากแต่งงานไหม” ถังซีเล่นถ้วยแก้วในมือ รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย เฉียวเหลียงเคยขอเธอแต่งงานแล้ว และทั้งคู่ก็คบหากันมานาน ตามที่ควรจะเป็นนั้นเธอไม่ควรเขินอาย แต่น่าแปลก เธอรู้สึกอายจริงๆ
“วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
ถังซีถอนหายใจ เล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ เฉียวเหลียงฟังแล้วครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมา “คุณขายเซียวเหยาอย่างนั้น ถ้าเขารู้เรื่องนี้เขาไม่ปล่อยคุณแน่”
ถังซีคำรามเบาๆ “ไม่มีทาง พี่เหยาใจดีกับฉันมาก และเขาก็จะแต่งงานกับพี่หว่านอีเร็วๆ นี้อยู่แล้วด้วย”
“เอาเถอะ ผมจะกลับเมืองจีนเมื่ออาการลู่หลีดีขึ้น” เฉียวเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดความสัมพันธ์ของเราก็เปิดเผยสู่สาธารณะแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องกลับไปประจบประแจงแม่ยายในอนาคตแล้วล่ะ”
“ชิ ทำไมไม่คิดได้ก่อนหน้านี้ล่ะ” ถังซียิ้มหวาน
“เอาล่ะ ได้เวลานอนแล้ว เข้านอนได้แล้วนะ นี่เที่ยงคืนตั้งนานแล้ว พรุ่งนี้คุณยังต้องเริ่มงานแต่เช้า ตีห้าหรือหกโมงอยู่หรือเปล่า” เฉียวเหลียงไม่อยากเห็นเธอเหนื่อยมากเกินไป ถ้าเขารู้ว่างานนี้เหนื่อยมากอย่างนี้… เขาจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ
แม้เขาจะไม่สามารถห้ามเธอไม่ให้ทำงานหนักได้ แต่เขาจะได้อยู่เคียงข้างเธอและดูแลเธอเป็นอย่างดีได้
“ตกลงค่ะ แต่คุณรู้ไหมว่าตอนนี้คะแนนประสบการณ์ของฉันพุ่งพรวดเลยล่ะ แม้แต่คะแนนกายภาพก็ใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว ฉันคิดว่าคะแนนประสบการณ์จะยังคงเพิ่มขึ้นอีก หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย แล้วหลังจากนั้นฉันก็จะบรรลุเป้าหมายในการเป็น ‘เทพธิดาแห่งชาติ’“ ถังซีกล่าวอย่างตื่นเต้น ถ้าเธอรู้ว่าการถ่ายภาพยนตร์สามารถเสริมสร้างร่างกายเธอได้ และทำให้คะแนนประสบการณ์พุ่งสูงขึ้นอย่างนี้ เธอคงเลือกเป็นนักแสดงแทนที่จะเปิดบริษัทแล้วล่ะ!
…
เช้าวันรุ่งขึ้นเฉียวเหลียงถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์ เขามองดูหมายเลขผู้โทรและลุกขึ้นนั่ง เมื่อค่อยๆ ตั้งสติได้ เขาก็รับสาย “ว่าไง”
“ลู่หลีฟื้นแล้ว แต่อาการเขาไม่ค่อยดี มาดูสิ” น้ำเสียงเรียบเย็นของลั่วเฟิงดังขึ้น
เฉียวเหลียงวางสาย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และออกไปข้างนอก
ที่โรงพยาบาล ลั่วเฟิงรออยู่แล้ว เฉียวเหลียงรีบเดินเข้าไปหาเขาและถามว่า “เป็นยังไงบ้าง”
“ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาช้ามาก ดูเหมือนว่าระบบประสาทเขาจะเสียหาย แม้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาได้หลังจากอยู่ในอาการโคม่ามานาน แต่อาการเขาค่อนข้างผิดปกติ เขาจำเราไม่ได้ด้วยซ้ำ” ลั่วเฟิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “โดยทั่วไปแล้วคนที่อยู่ในอาการโคม่ามานานกว่าสองสามเดือน จะเคลื่อนไหวและคิดช้ามากเมื่อฟื้นขึ้นมา แต่ก็ยังคิดได้ อย่างไรก็ตามลู่หลีดูเหมือนจะไร้ความสามารถในการคิด และนัยน์ตาเขาไร้ชีวิตชีวา”
เฉียวเหลียงชะงัก มองหน้าลั่วเฟิงอย่างครุ่นคิด “คุณตรวจร่างกายเขาดีแล้วเหรอ”
“แน่นอน” ลั่วเฟิงถอนหายใจ “ผมคิดว่าคุณควรเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่แย่กว่านี้ นั่นคือเขาอาจจะอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต”
“ผมเข้าใจแล้ว ผมเชื่อว่าลู่หลีจะหายเป็นปกติ นี่เป็นเพียงอาการชั่วคราว” เฉียวเหลียงกล่าวแล้วเดินไป แต่หลังจากเดินไปสองก้าวเขาก็หยุด เขามองไปที่เหวินนิ่งซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน เขาขมวดคิ้ว เดินเข้าไปหาเธอ ถามอย่างเย็นชาว่า “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่”
“ฉันลาออกจากงานแล้ว” เหวินนิ่งมองหน้าเฉียวเหลียง “ฉันรู้ว่าคุณกังวลเรื่องอะไร ฉันลาออกจากงาน และไม่มีใครรู้ว่าฉันมาที่นี่ หลินหย่วนช่วยให้ฉันมาที่นี่ ได้โปรดให้ฉันได้พบลู่หลีด้วยเถอะ”
เฉียวเหลียงมองหน้าเหวินนิ่ง เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นเบาๆ “คุณจะต้องเสียใจ เมื่อเห็นเขาอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เพราะฉะนั้นคุณไม่ควรเห็นเขาจะดีกว่า”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นอะไร ให้ฉันเจอเขาเถอะ ฉันอยากเจอเขาจริงๆ ถึงเขาจะยังอยู่ในอาการโคม่าก็ตาม ขอให้ฉันได้เห็นเขาแม้จะเพียงแค่แวบเดียว”
เฉียวเหลียงมองหน้าเธออย่างครุ่นคิด “เหวินนิ่ง คุณกล้าพอที่จะพบเขาอย่างที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้จริงๆ เหรอ”
เหวินนิ่งพยักหน้า เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว “ผมต้องบอกความจริงกับคุณว่า ถึงแม้ผมจะไม่กลัวที่จะเห็นลู่หลีอย่างที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ แต่ผมไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับเขา คุณแน่ใจหรือว่าคุณกล้า”
หัวใจเหวินนิ่งวูบลงทันที “เกิดอะไรขึ้นกับเขา”