ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง - ตอนที่ 539 เป็นไปได้ยังไง
เฉียวเหลียงมองหน้าลั่วเฟิง ลั่วเฟิงเม้มริมฝีปาก ก่อนจะกล่าวกับเหวินนิ่ง “เขาอยู่ในอาการโคม่าตลอดช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ผมจะผ่าตัดเชื่อมต่อเส้นเอ็นและกระดูกที่หักให้เขาแล้ว แต่สมองเขาได้รับความเสียหาย เพราะเขาแช่อยู่ในของเหลวนานเกินไป ถึงแม้จะฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่ใช่ลู่หลีที่เรารู้จักอีกต่อไป คุณเข้าใจความหมายที่ผมพูดไหม”
ดวงตาเหวินนิ่งเริ่มแดงเรื่อ เธอมองเฉียวเหลียงอย่างไม่อยากเชื่อ ขยับริมฝีปาก แต่เปล่งเสียงอะไรออกมาไม่ได้เลย เธอปาดน้ำตาทิ้งไปสักพัก กว่าจะพูดออกมาได้ เธอถามเฉียวเหลียง “ที่ลั่วเฟิงพูดเป็นความจริงเหรอ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากใช่ไหม”
เฉียวเหลียงพยักหน้า น้ำเสียงเขาเย็นชาตามปกติ “ใช่ สาหัสมาก เขาเพิ่งฟื้นขึ้นมาวันนี้ แต่เขากลับเหมือนคนปัญญาอ่อน จำอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เหวินนิ่ง ตอนนี้คุณเลือกได้นะ ถ้าอยากจะจากไป ผมจะแสร้งทำเป็นว่าคุณไม่เคยมาปรากฏตัวที่นี่ และเราไม่เคยรู้จักคุณ”
“ฮ่า ฮ่า…” เหวินนิ่งหัวเราะเยาะ ถามเขาด้วยสำเนียงเย้ยหยัน “คุณคิดว่าฉันเป็นคนแบบไหน นี่คุณกำลังขอให้ฉันทิ้งเขาไปจริงๆ เหรอ! เฉียวเหลียงคุณคิดว่าฉันเป็นคนเลือดเย็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
“คุณไม่ได้เป็นคนแบบนั้น” เฉียวเหลียงมองหน้าเหวินนิ่ง โดยไม่สนใจคำพูดแดกดันของเธอ เขากล่าวว่า “เพราะผมรู้ว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น ถึงได้ขอให้คุณไปเสียตอนนี้ ผมให้อิสระแก่คุณในการเลือก ทันทีที่คุณเลือกที่จะอยู่กับลู่หลี คุณจะไม่สามารถทิ้งเขาไปได้ ไม่ว่าเขาจะฟื้นตัว หรืออยู่แบบนี้ตลอดไป เข้าใจไหม”
เหวินนิ่งมองหน้าเฉียวเหลียง เป็นเวลานานพอสมควรก่อนที่เธอจะขยับยิ้มมุมปาก “ฉันไม่เคยคิดจะทิ้งเขา แต่ฉันอยากให้คุณสัญญากับฉันอย่างหนึ่ง”
เฉียวเหลียงมองหน้าเหวินนิ่ง เธอกล่าวว่า “ขอให้ฉันเข้าร่วมในปฏิบัติการล่าคนทรยศด้วย ฉันต้องฆ่าคนพวกนั้นด้วยมือของฉันเอง คนที่ทำให้ลู่หลีกลายเป็นแบบนี้”
“ไม่ได้!” เฉียวเหลียงหน้าบึ้งขึ้นมาทันที จ้องมองเหวินนิ่งเขม็ง “ผมยกไอ้คนทรยศให้คุณจัดการได้ หลังจากที่เราจับพวกมันได้แล้ว แต่คุณจะเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้”
“คุณไม่ไว้ใจฉันเหรอ” เหวินนิ่งกำมือแน่น
เฉียวเหลียงหันกลับมา เดินไปที่ลิฟต์พร้อมกับกล่าวว่า “ลู่หลีกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ผมให้คุณไปเสี่ยงอีกคนไม่ได้หรอก”
“ฉันต้องล้างแค้นให้เขาด้วยตัวเอง” เหวินนิ่งคว้าแขนเขา แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น
“ลู่หลีเป็นพี่ชายผม เป็นเพื่อนรักของผมมาตั้งแต่เด็กๆ” เฉียวเหลียงหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปมองเหวินนิ่ง “ผมอยากแก้แค้นให้เขาด้วยมือผมเอง แต่ก็ทำไม่ได้ ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะผมต้องปกป้องหลงเซี่ยวที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยผมกับพี่น้องของผม และคุณ คุณก็ต้องปลอดภัยเช่นกัน”
น้ำตาร่วงรินจากดวงตาเหวินนิ่ง เฉียวเหลียงหายใจเข้าลึกๆ หันหลังเดินเข้าไปในลิฟต์ และกล่าวว่า “คนที่ลู่หลีให้ความสำคัญมากที่สุดคือคุณ เพราะฉะนั้นคุณต้องปลอดภัย ไม่ต้องห่วง เราต้องจับคนทรยศได้อย่างแน่นอน”
เหวินนิ่งหยุดนิ่ง มองหน้าเฉียวเหลียงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า เดินเข้าไปในลิฟต์ “ตกลงค่ะ ฉันจะดูแลลู่หลีอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะฟื้นตัวกลับมาหายดี”
ขณะประตูลิฟต์ปิดลง เฉียวเหลียงมองดูเหวินนิ่งในกระจกเงาบนผนังลิฟต์ ค่อนข้างนานกว่าเขาจะละสายตาจากไป
ในเวลานั้นนั่นเองโทรศัพท์ของเหวินนิ่งก็ดังขึ้น เฉียวเหลียงเลิกคิ้วมองหน้าเธอ เหวินนิ่งมองดูหมายเลขผู้โทรแล้วลังเล จากนั้นเธอก็ตัดสาย เฉียวเหลียงมองเหวินนิ่งด้วยสายตาเป็นคำถาม เหวินนิ่งบอกว่า “พ่อฉันค่ะ เขาคงรู้ว่าฉันลาออกจากงานวันนี้ ฉันไม่รู้จะอธิบายให้เขาฟังยังไง”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหวินนิ่ง เราไม่ใช่เด็กๆ อีกต่อไปแล้ว ผมหวังว่าคุณจะสงบสติอารมณ์ได้ ผมไม่ต้องการให้คุณเสียสมาธิเมื่ออยู่กับลู่หลี เราต้องการมั่นใจว่าลู่หลีอยู่ภายใต้การคุ้มครองตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากเห็นคือ ลู่หลีได้รับบาดเจ็บเพราะครอบครัวคุณ เข้าใจไหม”
ลิฟต์มาถึงชั้นห้องผู้ป่วยของลู่หลีพอดีเมื่อเฉียวเหลียงกล่าวจบ เฉียวเหลียงกับลั่วเฟิงออกจากลิฟต์ เหวินนิ่งอยู่ในลิฟต์สองนาทีก่อนจะเดินออกมา และเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเขาทั้งสอง
ลั่วเฟิงมองตามเหวินนิ่งซึ่งเดินไปโทรศัพท์ แล้วหันกลับไปมองเฉียวเหลียง “คุณไม่รุนแรงกับเธอไปหน่อยเหรอ ถึงยังไงเธอก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์เลวร้ายนั้น”
เฉียวเหลียงชะงัก มองหน้าลั่วเฟิงอย่างครุ่นคิด “คุณคิดว่าผมทำไปโดยไม่มีเหตุผลเหรอ”
ลั่วเฟิงยักไหล่ “แล้วไม่ใช่เหรอ”
เฉียวเหลียงคำรามในลำคอ แล้วขมวดคิ้วมองดูเหวินนิ่งที่กำลังพูดโทรศัพท์ จากนั้นก็กล่าวว่า “ถ้าผมไม่พูดแบบนั้นกับเธอ จะเป็นการโหดร้ายสำหรับเหวินนิ่งและครอบครัวเธออย่างแท้จริง และอาจส่งผลกระทบถึงความรักของเหวินนิ่งกับลู่หลีได้”
ลั่วเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกนิ้วให้เฉียวเหลียง “เป็นความคิดที่รอบคอบมาก”
เฉียวเหลียงมองหน้าลั่วเฟิง “อย่าลืมสิ ใช่ว่าทุกความสัมพันธ์จะถาวร” เฉียวเหลียงกล่าว หันหลังเดินไปยังห้องคนไข้ของลู่หลี “ผมจะไม่ทำอะไรเหวินนิ่งเลย แม้ว่าเธอจะจากลู่หลีไปก็ตาม”
ถ้าเธอต้องการจากไปจริงๆ เขาก็ไม่อาจหักแขนหักขาเธอ และมัดเธอไว้กับลู่หลีได้
เขาจะไม่ทำอย่างนั้น และเชื่อว่าลู่หลีก็ไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้นเหมือนกัน
ลั่วเฟิงขมวดคิ้ว สงสัยว่าคำพูดของเฉียวเหลียงหมายความว่าอย่างไร ขณะเดินตามเฉียวเหลียงเข้าไปในห้องคนไข้
ในห้องคนไข้ ลู่หลีตื่นแล้ว แต่นัยน์ตาเขายังคงไร้ความรู้สึก เขาจ้องมองไปที่ฝาผนังด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่กลอกตา แม้แต่เมื่อพวกเขาเดินเข้ามา เฉียวเหลียงเข้าไปยืนตรงหน้าเขา ลู่หลีกะพริบตา ละสายตาจากที่เดิม เฉียวเหลียงมองตามสายตาเขา คราวนี้เขาไม่ได้มองไปที่ไหน แต่จับจ้องอยู่ที่เฉียวเหลียงด้วยสายตาว่างเปล่า
ลู่หลีไม่ใช่ลู่หลีคนเดิมอีกต่อไป เขาซีดเซียว ซูบผอม คางเต็มไปด้วยหนวดเคราครึ้ม
เฉียวเหลียงมองหน้าเขา ขมวดคิ้ว พยายามระงับความเศร้าเสียใจ ถามเขาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ “คุณรู้ไหมว่าผมคือใคร”
ลู่หลีขยับศีรษะเล็กน้อย และมองออกไปทางอื่นอีกครั้ง เฉียวเหลียงเกิดความรู้สึกอยากขยับตามไปยืนตรงหน้าลู่หลีอีก และบังคับให้ลู่หลีมองหน้าเขา ตอบคำถามเขา แต่เขาไม่กล้า เพราะกลัวว่าอาจเป็นการกระตุ้นต่ออาการของลู่หลี
ครู่ใหญ่เขาจึงนั่งลงบนเตียงลู่หลี และเอ่ยเสียงเบา “จำได้ไหม ว่าผมคือน้องชายคุณ ชื่อเฉียวเหลียง จำได้ไหมว่าผมเป็นใคร ฮึ”
“ลู่…หลี…” เหวินนิ่งยืนอยู่ที่ประตู จ้องมองลู่หลีที่นั่งอยู่บนเตียงคนป่วย ดวงตาเธอแดงก่ำในทันที เธอยกมือขึ้นปิดปาก ส่ายศีรษะอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง”