เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 10 ใจกว้างดั่งท้องทะเล
อากาศร้อนหลังฤดูใบไม้ร่วง การนอนรับลมเย็นๆ นั้นช่างสบาย ทว่าพอตื่นขึ้นทั้งตัวกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาลงไปอาบน้ำอย่างมีความสุขในแม่น้ำตงหยาง ใส่เสื้อผ้าที่หวงสู่เอามาให้เปลี่ยน จากนั้นสั่งให้เอาเหล้าหมักใส่น้ำแข็งถ้วยใหญ่มาหนึ่งถ้วยแล้วดื่มไปด้วยพร้อมกับเดินไปดูไฮปาเทียที่ประตูใหญ่
ไฮปาเทียที่เส้นผมเต็มไปด้วยเหงื่อและบนตัวเต็มไปด้วยโคลนกำลังนั่งกินซาลาเปาอยู่ที่ประตูใหญ่ เล็บของนางกลายเป็นสีเทาๆ ไม่มีร่องรอยของความสง่างามเลยแม้แต่น้อย ท่าทางช่างน่าสงสาร สาวใช้ตัวน้อยของนางพยายามพัดให้นางอย่างสุดแรง เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาไกลๆ นางจึงยัดซาลาเปาเข้าไปในปากจนหมดแล้วเดินเข้าไปในประตูใหญ่อีกครั้งอย่างดื้อรั้น
หวงสู่เดินถือกะละมังเดินตามหลังอวิ๋นเยี่ยมาจึงถามขึ้นว่า “ท่านโหว ผู้หญิงชาวหูคนนั้นเป็นบ้าไปแล้วหรือ หากใครก็เข้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษาได้ เช่นนั้นมันก็คงไม่ใช่สามด่านที่ยากเย็นของสำนักศึกษาแล้วล่ะ”
“มีการพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าถึงไม่รู้ เจ้าลองพูดมาสิ”
“ประตูใหญ่ของสำนักศึกษา หนังสือของหยวนจาง เท้าที่เหม็นอับของลูกศิษย์ สามด่านนี้ ข้าน้อยได้ยินจากลูกศิษย์คนอื่นๆ ในร้าน อันที่จริงประตูใหญ่ยังพอเข้าใจ ไม่มีอะไรทำก็อย่าหาเรื่องใส่ตัวเอง ประตูใหญ่ไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อน
ช่วงนี้อาจารย์หยวนจางกำลังทำวิจัยเรื่องกระดองเต่ากับอาจารย์ตระกูลเหยียน บอกว่าดูออกแล้วสองตัวอักษร ครั้งก่อนเรียกข้าน้อยออกมาตอนเที่ยงคืน บอกว่าจะดื่มเหล้าฉลอง ให้ภรรยาของข้าทำอาหารอร่อยๆ ไว้สักสองสามอย่าง อาจารย์หยวนจางพอใจกับชื่อหอสู่โหลวเป็นอย่างมาก แต่ว่าอาจารย์ตระกูลเหยียนคิดว่ามันหมายความว่ารังงูกับหนู ชื่อไม่เป็นสิริมงคล เหตุใดระดับปรมาจารย์อย่างอาจารย์หยวนจางแค่อ่านออกเพียงสองตัวอักษรถึงได้ดีใจถึงเพียงนั้น ข้าน้อยไม่เข้าใจเลย สรุปว่าพวกเขาดื่มเหล้ากันทั้งคืนในคืนนั้น
แล้วท่านก็รู้ว่าตอนนี้พวกเด็กๆ เอาแต่พากันเตะบอลไม่รู้จักจบจักสิ้น อากาศร้อนเช่นนี้เตะบอลเสร็จก็ไม่รู้จักไปอาบน้ำในแม่น้ำ บอกว่าเหนื่อย กลับไปที่หอก็เข้านอนทันที ท่านลองคิดดูว่าห้องเช่นนั้นคนยังจะอยู่ได้อยู่หรือไม่ ข้าน้อยกำลังลังเลว่าจะเปิดห้องอาบน้ำอีกสักห้องดีหรือเปล่า หาคนมาดูแลพวกเขาสักหน่อย ท่านคิดว่าพอจะหาเงินได้หรือไม่อย่างไร”
“ขอแค่ห้องอาบน้ำของเจ้าไม่มีผู้หญิงก็พอ หากเจ้ากล้าหาผู้หญิงไปดูแลพวกเขา ขาจะตัดขาเจ้าให้ขาด ไม่ได้จะข่มขู่เจ้าด้วย หากต้องทำลายกิจการของเจ้าข้าก็ทำได้ ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาส่วนมากเป็นลูกเศรษฐี หากเจ้าให้พวกเขาซื้อบัตรรายเดือน ซื้อเดือนละหนึ่งครั้ง กิจการของเจ้าเจริญรุ่งเรืองแน่นอน เพราะมีคนเป็นพันๆ คน”
“เช่นนั้นก็ขายแบบหนึ่งปี หากเป็นไปได้ให้เริ่มขายตั้งแต่เข้ามาที่สำนักศึกษา ซื้อครั้งหนึ่งสี่ปีก็ไม่เลว เก็บเงินแค่ครั้งเดียว ข้าน้อยคิดว่าพวกเขาคงจะไม่สนใจ”
มองหน้าหวงสู่ด้วยสายตาแปลกๆ ตอนนี้เจ้านี่กลายเป็นไอ้จิ้งจอกไปเสียแล้ว เคยมีคนทำแบบนี้ตอนเรียนมหาวิทยาลัยในยุคหลัง หาเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะอาบน้ำและตัดผม หวงสู่ไปที่ยุคหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ไฮปาเทียเหนื่อยเปล่าอีกครั้ง แต่กระดาษสีขาวในมือของนางมีเส้นมากขึ้นกว่าเดิม สาวใช้ตัวน้อยพยุงนางกลับมาใต้ซุ้ม เห็นเหล้าหมักในกะละมังของหวงสู่ บอกให้สาวใช้เอามา ยังไม่ทันได้ตักใส่ชาม นางก็ยกกะละมังดื่มทันที ดื่มเสร็จก็เอาแขนเสื้อเช็ดปากแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าหาเคล็ดลับเจอแล้ว ไอ้สารเลวคนไหนเอาเรขาคณิตสามมิติมาใช้ที่นี่ สร้างมุมเอียงเป็นระนาบ และสร้างระนาบให้เป็นมุมเอียง ใช้ขาที่มีความยาวแตกต่างกันของคน จงใจทำให้คนสับสน”
พูดเสร็จนางก็ยกเท้าขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยถึงได้เห็นว่าไฮปาเทียผูกแผ่นไม้ไว้ที่เท้าของตัวเองหนึ่งแผ่น ไม่แปลกที่เมื่อครู่นางเดินกะเผลกๆ
“ต้องเดินถอยหลังถึงจะเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ ใครเป็นคนทำตัวเลขบนนั้น วิธีเรียงตัวเลขเก้าตัวมีกี่วิธีเจ้าไม่รู้หรือ ทำเช่นนี้ไม่ใช่การทดสอบความรู้อีกต่อไป แต่เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกาย ข้ากะจะย้ายตัวเลขพวกนั้นนิดหน่อย แต่ย้ายตัวเลขเพียงแค่ตัวเดียวต้องใช้แรงอย่างมากกว่าจะย้ายได้ คนที่ออกแบบของสิ่งนี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง”
“ตอนแรกมันง่ายเกินไป ต่อมาลูกศิษย์ที่ชาญฉลาดคนหนึ่งคิดว่า คนที่มาไขปริศนาล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีอะไรทำ พฤติกรรมไร้ความหมายที่เกิดจากการมีพลังงานมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงถอดกลไกช่วยเหลือออก แล้วยังเชื่อมลูกสูบกับสระน้ำเข้าด้วยกัน เพียงแค่ย้ายตัวเลขตัวเดียวเท่านั้น มันก็จะเทถังน้ำลงในอ่างรดน้ำดอกไม้พอดิบพอดี”
“ข้าจะไปบอกให้ผู้ติดตามของข้ามาย้ายตัวเลขพวกนี้ ไม่เกินหนึ่งคืน ข้าจะหากฎเกณฑ์เจอ เจ้ารอเสียงระฆังดังให้ทุกคนในสำนักศึกษามาตอนรับข้าได้เลย เอ่อใช่ ตอนเย็นข้ายังอยากจะกินซาลาเปา รสชาติดีมาก เอามาเยอะๆ หน่อย ครอบครัวของข้าก็เกือบจะยี่สิบคนแล้ว ให้คนไปส่งข้าที่ตึกสิบเก้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะกลับไปอาบน้ำ กินข้าว พักผ่อน!”
อวิ๋นเยี่ยโบกมือ คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นก็วิ่งเข้ามา พาไฮปาเทียที่น่าอนาถไปพักผ่อนที่ที่พักของนางตามคำสั่งของท่านโหว
“ท่านโหว ความสามารถของผู้หญิงชาวหูคนนี้ไม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะหาประตูเจอ ท่านรู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร” หวงสู่ยืนมองไฮปาเทียที่เดินจากไปแล้วอยู่ข้างหลังของอวิ๋นเยี่ยด้วยความเสียดาย ท่าทางจะสนใจในรูปร่างที่อวบอั๋นของนางไม่น้อย
“หยุดฝันกลางวัน ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนที่เจ้าจะเอาเงินสองสามเหรียญไปซื้อมาได้ เดี๋ยวนางก็เป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาแล้ว สอนเลขคณิตและทักษะของกลไก บางทีอาจจะมีภาษาท้องถิ่นของพวกนาง นางเป็นแขกที่ได้รับเชิญจากฝ่าบาท หยุดความคิดของเจ้าเอาไว้เลย เจ้ามีเงินแค่กี่เหรียญ ยังจะมีหน้ามาคิดอะไรกับผู้หญิงคนอื่น ไม่กลัวว่าภรรยาของเจ้าจะทำหมันให้เจ้าตอนกลางดึกเอาหรือ”
“ท่านโหวคิดไปถึงไหน ข้าแค่เห็นว่านางหน้าตาสวยงาม มองให้มากหน่อยก็เท่านั้น ท่านบอกว่าเรายังต้องเรียนภาษาท้องถิ่นของพวกนาง? จำเป็นด้วยหรือขอรับ คนในสำนักศึกษาคงไม่มีใครอยากเรียน”
“ไม่อยากเรียนก็ต้องเรียน หากไม่เรียน ต่อไปจะไปหลอกเอาเงินจากชาวเมืองของพวกนางได้เช่นไร ข้าวของของเราเยอะขึ้นเรื่อยๆ ควรหาที่ที่จะขายออกไปได้ สองสามปีก่อนเครื่องแก้วมีราคาตั้งเท่าไหร่ ตอนนี้บ้านเจ้ายังเอามันมาใส่เหล้า ขายถูกราวกับราคาของรำข้าว ท่านโหวอย่างข้ายังเสียดาย”
หวงสู่พยักหน้าเห็นด้วย คิดว่าที่ท่านโหวพูดนั้นสมเหตุสมผล ยุคที่เอาจอกเหล้าไปแลกกับม้าล้ำค่าสี่ห้าตัวได้จบสิ้นไปแล้ว ได้ยินมาว่าเพื่อเรื่องนี้ เเดนเกาลี่ตัดหัวผู้มีอำนาจไปแล้วตั้งหลายคน หากเป็นแบบนี้ต่อไปมันคงไม่ดีนัก หากเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นแล้วค่อยไปหลอกพวกคนท้องถิ่นที่อยู่ไกลๆ บางทีถึงตอนนั้นจอกเหล้าของตัวเองอาจจะกลายเป็นของมีค่ามีราคาอีกครั้ง
เมื่อมาถึงสำนักศึกษา เห็นเหล่าผู้เฒ่ากำลังจิบชาอยู่ด้วยกันสองสามคน ประโยคแรกของอวิ๋นเยี่ยเปิดด้วยการบอกว่าพรุ่งนี้จะมีอาจารย์ชาวตะวันตกที่ชาญฉลาดมาไขปริศนาด้วยตัวเอง อยากจะให้ทุกคนไปต้อนรับ
“หา? สำนักศึกษาของข้าจะมีอาจารย์ที่ชาญฉลาดเพิ่มมาอีกหนึ่งคน คนที่สามารถไขปริศนาได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนมีความรู้เรื่องคณิตศาสตร์และกลไกเป็นอย่างดี คนเช่นนี้ควรได้รับการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่จริงๆ”
หลี่กังมักจะยินดีต้อนรับอาจารย์คนใหม่ของสำนักศึกษาเสมอ แต่มีข้อแม้ว่าอาจารย์ท่านนี้จะต้องไม่ทำร้ายลูกศิษย์ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่มีสีหน้าที่ดีอีกต่อไป อาจารย์ผู้เฒ่าตอนนี้แก่ชรามากแล้ว สอนแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น เวลาที่เหลือส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการให้คนรับใช้เข็นรถเข็นพาไปทั่วสำนักศึกษา เข็นมาแล้วตั้งนานก็ไม่เห็นว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจะรู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด
เห็นลูกศิษย์ตั้งใจเรียนเขาก็มีความสุข เห็นลูกศิษย์ซุกซนเขาก็มีความสุข แต่เมื่อเห็นลูกศิษย์ถูกลงโทษเขามักจะรู้สึกสงสาร หลายครั้งที่เขาบอกให้หงเฉิงอย่ากดดันเด็กพวกนั้นมากจนเกินไป พวกเขาล้วนแต่เป็นเด็กดี แค่สั่งสอนสักครั้งสองครั้งพวกเขาก็จะแก้ไขเอง ไม่จำเป็นต้องไปขนก้อนหินบนภูเขาสำนักศึกษาตลอด ครั้งก่อนเห็นหงเฉิงไล่เตะลูกศิษย์ด้วยความหงุดหงิด อาจารย์เฒ่าบอกให้คนรับใช้เข็นรถไล่ฆ่าหงเฉิงไปทั่ว จนกว่าจะเอาไม้เท้าตีหงเฉิงได้เขาถึงได้สงบสติอารมณ์ลง
เพราะเป็นเช่นนี้เอง ดังนั้นไม่ว่าลูกศิษย์จะดื้อรั้นเพียงใด พวกเขาก็มักจะเคารพหลี่กังเสมอ ในสำนักศึกษามักจะเห็นกลุ่มลูกศิษย์ล้อมรอบรถเข็นของหลี่กัง ฟังเขาเล่าเรื่องหลักการ หรือบางครั้งก็จะเห็นเด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่พากันแบกรถเข็นพาชายเฒ่าไปดูการแข่งบอลอย่างสนุกสนาน ชายหนุ่มมักจะคิดว่าชายเฒ่าลงรอยกับตัวเองเป็นอย่างมาก
“แต่อาจารย์ที่มาใหม่คือผู้หญิงอายุน้อยคนหนึ่ง” อวิ๋นเยี่ยจุดประกายหัวข้อนี้ท่ามกลางกลุ่มชายเฒ่า เขาต้องการเห็นอาการตกใจของพวกเขา หรือบางทีอาจจะเกิดการเอะอะโวยวายขึ้นมา
“เจ้าแน่ใจหรือว่าผู้หญิงคนนั้นไขปริศนาของสำนักศึกษาด้วยตัวเอง” อาจารย์หยวนจางถามประโยคนี้ออกมา แต่คนอื่นๆ กลับสีหน้าปกติ อวิ๋นเยี่ยถึงได้นึกขึ้นได้ว่าพระภิกษุสองสามคนที่อยู่ตรงหน้าเขามองทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้แล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว การศึกษาคือที่หนึ่ง ไม่ว่าการศึกษาจะเป็นโครงกระดูกหรือผงสีแดง ดังนั้นเรื่องนี้คือส่วนสุดท้ายที่จะสนใจ อย่าไปคิดอะไรให้มากความ
คิดแบบนี้ อวิ๋นเยี่ยจึงเล่าเรื่องราวที่น่าสงสารของไฮปาเทียให้เหล่าชายเฒ่าฟัง หลังจากฟังเรื่องราวจบแล้ว ชายเฒ่าก็ต่างพากันถอนหายใจ หลี่กังตบที่ขาตัวเองและพูดว่า “การศึกษาไม่เคยเผยแพร่ออกมาอย่างราบรื่น มีการศึกษาก็จะมีข้อสงสัย มีข้อสงสัยก็จะเกิดการโต้เถียง ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ไม่เหมือนกัน มีความคิดเห็นกับสรรพสิ่งก็ไม่เหมือนกันจึงทำให้มีสำนักศึกษาหลายแห่งบนโลกใบนี้ เหมือนเมื่อตอนที่ขงจื๊อฆ่าเส่าเจิ้งเหม่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด ทันทีเมื่อเด็กคนนั้นเข้ามาในสำนักศึกษา พวกเจ้าก็ดูแลนางให้มากๆ หน่อย นางช่างน่าสงสาร ในเมื่อดินแดนตะวันตกไม่ต้อนรับนางก็ให้นางมาอยู่ที่สำนักศึกษา ดูว่านางจะสามารถพัฒนาการศึกษาของนางในสำนักศึกษาได้หรือไม่ การศึกษาของดินแดนตะวันตกมาตั้งหลักปักฐานในต้าถังของข้า ข้ามีความสุขที่ได้เห็นเช่นนี้”
สำนักศึกษาใจกว้าง ก็เพราะมีคนใจกว้างดั่งท้องทะเลและความเมตตาดั่งภูเขาอย่างหลี่กังเป็นผู้นำ สำนักศึกษาจึงไม่ได้เดินไปบนเส้นทางที่ผิด ถึงแม้ว่าสองสามปีที่ผ่านมานี้สำนักศึกษาจะมีการพัฒนาที่รวดเร็ว แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรที่ไม่ดี
อาจารย์หยวนจาง ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากอาจารย์หลี่กัง แน่นอนว่าเขาไม่มีทางใจแคบ เขาบอกให้คนรับใช้ในสำนักศึกษาแขวนโคมไว้เต็มเขาวงกต และยังให้องครักษ์สองสามคนคอยคุ้มกันนาง ส่วนโรงอาหารของสำนักศึกษาก็ส่งคนมาถามว่าจะกินอาหารหรือไม่
สวี่จิ้งจงไม่เคยพลาดโอกาสที่จะดูแลผู้ที่มาทีหลัง เขาวิ่งเข้ามาทักทายนางเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าความงามของไฮปาเทียจะทำให้จิตใจของเขาฟุ้งซ่านไปพักหนึ่ง แต่เหล่าสวี่ก็ยังคงมีท่าทางที่เหมาะสม หัวเราะพูดคุยกับไฮปาเทียสองสามประโยค แล้วก็บอกว่าจะไม่รบกวนการวิจัยของไฮปาเทีย เขาหันหลังและเดินเข้าไปในความมืด ถึงแม้ว่าการแอบยืนมองบั้นท้ายของไฮปาเทียจนน้ำลายไหลอยู่หลังต้นไม้นั้นจะถือว่าค่อนข้างน่าอาย แต่เมื่อเขาเดินกลับเข้ามาในแสงสว่าง เขาก็กลับมามีท่าทางที่เป็นมิตรอีกครั้ง จากนั้นก็กลับไปยังสำนักศึกษาพร้อมกับลูกศิษย์สองสามคนที่มาดูความสนุก พูดคุยหัวเราะกัน บอกว่าจะแต่งภรรยาชาวหูสักคนกลับไปฉางอันดีหรือไม่