เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 21 งานเลี้ยงบนแม่น้ำชวีเจียง (สอง)
เมื่อก่อนจินตนาการว่าหอนางโลมสมัยโบราณจะต้องเป็นสถานที่ร้องรำทำเพลงที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ ใครจะไปรู้ว่าพอตอนนี้ตัวเองได้อยู่ในสถานที่จริงกลับค้นพบว่าตัวเองคิดผิด สิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของหอนางโลมก็คือการขายบริการ ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นอีก
หรือว่าตัวเองเลือกเพื่อนมาเที่ยวหอนางโลมผิดคน หากมาเที่ยวหอนางโลมกับขงอิ่งต๋ากับอวี๋ซื่อหนานคงจะดีกว่านี้หรือไม่ แต่ครั้งที่แล้วเมื่อได้เห็นท่าทางของคนที่เรียกได้ว่าสุภาพบุรุษอย่างจั่งซุนชง ก็รู้สึกหมดหวังในตัวของพวกเขา
นอกเหนือจากความน่าเบื่อแล้วก็มีแต่ความเหนื่อยหน่าย เห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังลวนลามหญิงสาว น่าจะอายุเพียงสิบกว่าปี ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่คนดีเท่าไหร่แต่ก็ยังคงมีศีลธรรมอยู่บ้าง ทนอยู่ที่ห้องโถงเรือต่อไปไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยหยิบจานองุ่นแล้วเดินออกไป ลมบนยอดสูงสุดของหอปลอดโปร่งทำให้จิตใจสดชื่น หลี่เฉิงเฉียนและหลี่ไท่ไม่ชอบอะไรแบบนี้จึงลงไปเล่นหมากรุกที่ชั้นสองตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าหลี่เค่อจะชอบ แต่หากในพี่น้องสามคนมีเพียงตัวเองที่เป็นคนชอบเที่ยวผู้หญิงก็ดูจะไม่เหมาะ จึงอดใจไว้แล้วนั่งอยู่ข้างสองคนที่กำลังเล่นหมากรุก
ไม่เข้าไปรบกวนพวกเขาจะดีกว่า อวิ๋นเยี่ยเดินจากด้านนอกขึ้นไปบนเรือ ไม่มีกลิ่นแป้งหอม ไม่มีเสียงร้องเอะอะโวยวายอีก ช่างเป็นสถานที่ที่ดีเลยทีเดียว ไม้กระดานเรือสะอาดสะอ้านจึงสามารถนั่งบนพื้นได้ กินองุ่นพร้อมกับชมทิวทัศน์ของแม่น้ำชวีเจียง เรือแล่นในแม่น้ำช้าๆ ข้างล่างมีไม้พายแต่เดี๋ยวก็พายเดี๋ยวก็ไม่พาย มีแต่คนขี้เกียจ
“นายท่านต้องการฟังเพลงหรือไม่เจ้าคะ” เสียงเล็กๆ ดังแว่วมา เมื่อหันกลับไปมองจึงได้พบว่ามีผู้หญิงสวมชุดสีเขียวนั่งอยู่มุมห้องกำลังถามเขา
หายากนักที่นางรำจะสวมผ้าคลุมหน้าเมื่อพบกับแขก อาจจะเป็นเพราะหน้าตาไม่ค่อยดีจึงถูกพวกฝูงสัตว์เดรัชฉานในห้องโถงไล่ออกมา ทุกคนมีความจำเป็นต้องเลี้ยงชีพ ไม่จำเป็นต้องย่ำยีคนด้วยกัน อวิ๋นเยี่ยทิ้งเหรียญเงินไปให้นาง เอามือประสานท้ายทอยแล้วพูดว่า “เอาสิ ข้าอยากดูก้อนเมฆบนท้องฟ้าแล้วก็ฟังเสียงสวดที่มาจากไกลๆ จะดีมากหากเจ้าบรรเลงเพลงผ่อนคลายสักเพลง”
ผู้หญิงชุดเขียวหยิบเหรียญเงินขึ้นมาอย่างมีความสุข เดินเข้าไปใกล้อวิ๋นเยี่ยแล้วหยิบผีผาออกมาก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลง ไม่รู้ว่าที่บรรเลงคือเพลงอะไรแต่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายทีเดียว และเมื่อเสียงดนตรีผสมเข้ากับเสียงสวดมนต์ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดแย้งกันแต่อย่างใด
บทสวดของพุทธศาสนาดูเหมือนว่าจะได้รับการปรับปรุงเป็นพิเศษ จังหวะสม่ำเสมอกัน เหมือนลมพัดผ่านหูโดยบังเอิญ และเหมือนกับสายน้ำที่ซัดไปตามลม ระลอกคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเบาๆ
หลายวันมานี้ได้เห็นความสุขและความทุกข์ในฉางอันจนชินแล้ว บางคนสุขบางคนทุกข์ ใบหน้าแต่ละแบบของคนบนโลกใบนี้หลายวันมานี้ได้เห็นจนครบทุกแบบแล้ว แม้ว่าประตูใหญ่ของตระกูลอวิ๋นจะปิดอย่างแน่นหนา แต่เสียงร้องของผู้หญิงเหล่านั้นก็ยังคงแผ่ขยายออกไปไกลในยามค่ำคืน ทุกครั้งเมื่อถึงเวลานี้ซินเย่วมักจะซุกอยู่ในอกของอวิ๋นเยี่ยแล้วเอาผ้าห่มมาอุดหูของตัวเอง ท่านย่าเริ่มสวดมนต์บ่อยมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ก็สวดเพราะความกลัวด้วย
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะร้องเพลงเสือดำสักหน่อย แต่ว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้คนบนเรือหวาดกลัวเอา จึงทำได้เพียงคิดหาบทเพลงใหม่ ในที่สุดก็นึกเพลงที่จะร้องได้แล้ว
สายลมพัด สายน้ำไหล ใครกันที่ร่ำรวยมีเกียรติ
ก้านหลิวเหมือนผ้าไหม มหาสมุทรดอกไม้ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขนั้นไม่เที่ยงแท้
เมื่อคืนลมเย็นพัดเข้าหน้าต่างอย่างเงียบสงบ วันนี้พื้นที่สีขาวในห้องถูกจับจอง
ดื่มสุราหนึ่งจอก เมามายในชื่อเสียงและโชคลาภ
ข้าชอบดูน้ำใส ไม่ว่าพรุ่งนี้จะโศกเศร้าแค่ไหน
หญิงสาวชุดเขียวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่สุ่มบรรเลงเพลงตามจังหวะ ผู้หญิงคนนั้นบรรเลงขึ้นเสียงสูงจากนั้นก็หยุดบรรเลงแล้วถามเบาๆ ว่า “นายท่านมีเรื่องไม่สบายใจหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นเยี่ยมองหญิงสาวด้วยความแปลกใจ นางไม่ควรถามเช่นนี้ และไม่สามารถถามเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้ แต่เช่นนี้ก็ดี คำเยินยอจอมปลอมพวกนั้นเขาฟังจนเบื่อแล้ว อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีคนอื่น ได้คุยกับนางสักหน่อยก็ดี
“ใช่แล้ว ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ทั้งโลกก็เป็นเช่นนี้หมด เมื่อมีร้องไห้ก็ต้องมีหัวเราะ ทุกคนต่างก็อยากจะอยู่ดีกินดีไปทั้งชีวิต เมื่อมั่งมีแล้วก็ไม่อยากเสียไป หากหมดไป ก็ไปไขว่คว้ามาใหม่ บรรพบุรุษก็ทำกันเช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
“ข้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ รู้เพียงแต่ว่านายท่านต้องการจะอยู่เงียบๆ สักพัก จะให้ข้าบรรเลงเพลงให้ท่านอีกสักเพลงดีหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าไม่ต้องเข้าใจหรอก แค่รับฟังก็พอแล้ว อยากจะบรรเลงเพลงก็บรรเลง เจ้าบรรเลงของเจ้าไป ข้าก็พูดของข้าไป เมื่อเจ้าบรรเลงอย่างมีความสุข ข้าเองก็พูดอย่างมีความสุข ต่างคนต่างทำสิ่งที่ต้องการดีหรือไม่ เงินพวกนี้ข้าให้เจ้าทั้งหมด”
อวิ๋นเยี่ยหยิบเงินทั้งหมดออกมาจากแขนเสื้อแล้วเอาให้ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นถอยหลังไปแล้วพูดเบาๆ ว่า “ข้าเป็นเพียงแค่นักดนตรี ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้ แค่ที่ท่านให้ก่อนหน้านี้ก็พอแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยเอาเงินวางไว้บนกระโปรงของนางอย่างไร้มารยาท แล้วพูดอย่างเอาแต่ใจว่า “ทุกคนต่างต้องการอะไร พระภิกษุต้องการ ลัทธิเต๋าต้องการ ทุกคนต่างต้องการเหยียบย่ำคนอื่นจนหัวจมดินจึงจะพอใจ สิ่งที่ข้าคิดคือสิ่งที่ถูก สิ่งที่พวกเจ้าพูดมีแต่เรื่องไร้สาระ…”
สาวน้อยบรรเลงเพลงอะไรอวิ๋นเยี่ยไม่อาจรู้ได้ คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจถูกพ่นออกมามากมาย พูดไปเรื่อยๆ จนปากแห้งจึงได้หยุด หยิบเมล็ดองุ่นเจ็ดแปดลูกใส่เข้าไปในปาก ดูดน้ำจนหมดแล้วพ่นเปลือกองุ่นออกมา
หากคนอื่นต้องการความเงียบสงบก็แค่อยู่เงียบๆ แต่อวิ๋นเยี่ยมีนิสัยมุทะลุ จึงต้องระบายออกมาบ้างถึงจะสบายใจได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่จะคำรามเหมือนเสือดำไม่ได้หรือ บทเพลงที่นุ่มนวลกลายเป็นเชื้อเพลิงในกองไฟแทนเสียแล้ว
แค่เห็นพระภิกษุก็รู้สึกเกลียด โดยเฉพาะเมื่อเวลาเห็นพระภิกษุเต็มไปหมด ในปากก็พร้อมที่จะพ่นน้ำลายออกมา เดินขึ้นไปบนหัวเรืออีกครั้งเตรียมจะด่าทอต่อ ทว่าพึ่งจะด่าว่าหัวล้านได้สองคำก็มีรองเท้าฟางขาดๆ ลอยมาในอากาศ โดนเข้าที่หน้าของอวิ๋นเยี่ย กลิ่นเหม็นมาก ใครจะไปรับได้ อวิ๋นเยี่ยอ้วกอย่างบ้าคลั่งอยู่บนหัวเรือ อ้วกจนทั้งตัวอ่อนเพลียไปหมด ได้ผู้หญิงชุดเขียวเป็นคนพยุงกลับมาที่พื้นเรือด้านล่าง ดื่มน้ำชาติดต่อกันสามแก้วถึงได้รู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
เมื่อเหล่าลูกเศรษฐีเห็นอวิ๋นเยี่ยถูกผู้หญิงพยุงเข้ามาในห้องโถงเรือ ดูเหมือนคนขาอ่อนแรงเดินไม่ไหว นางรำเหล่านั้นก็พากันซุบซิบ ขุนนางแต่ละคนก็พากันยกนิ้วโป้งให้
ไม่ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยเรียกเหล่าสหายไปหาไอ้คนที่โยนรองเท้าใส่ตัวเอง ภิกษุชุดดำหัวล้านทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบอ้วกได้เดินใส่รองเท้าข้างเดียวเข้ามา
ไฉหลิ่งอู่พึ่งจะด่าไปว่าหัวล้านก็ถูกเตะอัดติดกำแพง จุกจนพูดไม่ไหว ทำเอานางรำวิ่งกรีดร้องไปทั่ว
“เมื่อครู่ใครยืนด่าอยู่บนหัวเรือ แล้วยังอ้วกใส่อาตมา” ตัวสูงใหญ่เหมือนหอเหล็ก เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นทำให้ดูสง่างามเป็นอย่างมาก ราวกับเทพเจ้าลงมายังโลกมนุษย์
ห้องโถงเต็มไปด้วยคนพาลที่คุ้นชินกับการรังแกผู้อื่นจึงไม่มีใครตกใจ ทั้งยังห่วงศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่ เฉิงฉู่มั่วโมโหมากจึงต่อยเข้าไปหนึ่งมัด เขาเคยได้รับการฝึกฝนมา ฆ่าคนตายในสนามรบไปไม่น้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชายร่างใหญ่เขาก็เป็นเหมือนเด็กเท่านั้น เมื่อเห็นว่ากำลังจะพ่ายแพ้ หลี่หวยเหรินก็รีบเข้าไปรวมกลุ่มต่อสู้ทันที จั่งซุนชงยกเก้าอี้กระแทกที่ด้านหลังของชายร่างใหญ่ ชายร่างใหญ่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่แม้แต่จะสนใจแล้วต่อยเข้าไปที่ท้องของหลี่หวยเหรินหนึ่งหมัดจนกระเด็นไป
คนในตระกูลของหลิวหงจีไม่มีใครได้เรื่องเลยสักคน หมัดของหลิวเจิ้งอู่กำลังจะโดนตัวแล้ว แต่ว่าชายร่างใหญ่กลับไม่สนใจ หมัดเบาเช่นนี้ไม่มีผลอะไรต่อเขา แต่ว่าในมือของเจ้านั่นมีเกลือเม็ดเล็กอยู่ในกำมือมันจึงกระเด็นเข้าตาของชายร่างใหญ่ทันที
ชายร่างใหญ่ร้องคำรามยกเท้าเปล่าเตะเข้าที่หน้าของหลิวเจิ้งอู่จนเลือดกำเดากระเด็นออกมา เขานอนราบอยู่กับพื้นไม่ขยับตัวอีก
เพื่อความเป็นอิสระในวันนี้ทุกคนได้ไล่ให้องครักษ์ไปขึ้นเรือลำอื่น ไม่อนุญาตให้ติดตามมา แต่พอเป็นเช่นนี้หลี่เฉิงเฉียนจึงต้องรีบตะโกนให้องครักษ์มาช่วย ตัวเองกำลังจะบุกเข้าไปแต่ถูกหลี่เค่อกอดเอวไว้แล้วลากมาข้างหลัง อวี้ฉือและเป่าหลินเห็นว่าตัวเองสูงใหญ่จึงเข้าไปล็อกแขนข้างหนึ่งของชายร่างใหญ่ไว้ แต่คนที่สูงเก้าฟุตอย่างเป่าหลินกลับถูกสะบัดจนลอยขึ้นฟ้า หลังไปกระแทกเข้ากับเสาจนได้ยินเสียงเสาหักลงมา
มือของชายร่างใหญ่สะบัดไปทั่ว ใครก็ตามที่ถูกเขาจับได้ก็จะถูกโยนออกนอกห้องโถงเรือแล้วตกลงไปในน้ำทันที เฉิงฉู่มั่วถูกต่อยไปสองที มีเลือดไหลออกจากมุมปาก เมื่อลูกชายคนที่สามตระกูลเผยถูกเตะจนตัวงอเป็นกุ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า อวิ๋นเยี่ยจึงได้ฉีกผ้าม่านลงมาแล้วรีบเอาไปห่อชายร่างใหญ่ไว้ เมื่อเห็นว่าได้โอกาส ลูกชายคนเล็กของหลิวเจิ้งฮุ่ยก็รีบมาช่วยนอนทับ มองเห็นบางอย่างกระแทกออกมาเข้าที่ท้องของเขาทั้งที่ผ้าม่านยังห่อเอาไว้อยู่ จึงรู้ได้ในทันทีว่าเขาต้านไว้ไม่ไหวแล้ว
จั่งซุนยกโต๊ะที่มีคนสองสามคนหลบอยู่ข้างหลังเอามากดไว้ ได้ยินเสียงคนที่ถูกห่ออยู่ในผ้าม่านร้องออกมา ดูท่าทางแล้วการทำเช่นนี้ค่อนข้างได้ผล เฉิงฉู่มั่วยกเก้าอี้กลมขึ้นมาทุบลงไปในส่วนที่คาดว่าน่าจะเป็นหัว เก้าอี้กลมแตกกระจาย คนที่อยู่ใต้ผ้ากระตุกครู่หนึ่งจนในที่สุดก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีก
องครักษ์มักจะมาสายเสมอ เมื่อพวกเขาเข้ามาที่ห้องโถงเรือ ที่นี่ก็เละจนไม่มีชิ้นดีแล้ว เหล่าลูกเศรษฐี กองอยู่เต็มพื้น บ้างก็กุมท้อง บ้างก็กุมแก้ม บ้างก็เดินขาเป๋ บ้างก็เลือดกำเดาไหล บ้างก็เอามือทาบอกถอนหายใจยาว และแน่นอนว่าต้องมีคนที่กำลังกุมก้นแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
หลี่ไท่มีความสุขเป็นที่สุด ที่นี่มีแต่คนได้รับบาดเจ็บ ดูแล้วเหมือนว่าจะไม่มีใครเจ็บน้อยไปกว่าตัวเองเลยสักคน พึ่งจะหัวเราะได้ไม่นานก็ถูกหลี่เฉิงเฉียนตบไปที่ท้ายทอยหนึ่งที เขาเองจึงคิดได้ว่าไม่เหมาะสม เอามือปิดปากไว้ไม่ส่งเสียงออกมาอีก
พระภิกษุร่างใหญ่ถูกเหล่าองครักษ์มัดด้วยเชือกเอ็นวัวไว้แน่นหนาไม่ต่างอะไรกับบ๊ะจ่าง ในเวลานี้มีคนถามด้วยความมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
อวิ๋นเยี่ยลากผู้หญิงชุดเขียวออกมาจากใต้โต๊ะ สาวน้อยปิดปากแน่นไม่พูดอะไร เอาแต่ผงกหัวให้อวิ๋นเยี่ยเพื่อจะบอกว่าตัวเองจะไม่พูดอะไร
การต่อสู้กันครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล เหล่าลูกเศรษฐีได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ หลี่เฉิงเฉียนที่หน้าเขียวออกคำสั่งให้ค้นหาที่มาของพระภิกษุรูปนี้ เขากะว่าจะไม่ปล่อยคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไปแม้แต่คนเดียว
เทถังน้ำเย็นลงไป พระภิกษุร่างยักษ์จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตาแดงเพราะโดนน้ำเกลือ อ้าปากแล้วคำรามเสียงดัง ปากเอาแต่ด่าไม่หยุด สอบถามไม่ได้ความอะไรเลย
ทันใดนั้นพระภิกษุก็หยุดร้องแล้วเงียบสงบลง แต่ว่ากล้ามเนื้อของเขาได้หลุดออกมาจากเชือกเอ็นวัวที่มัดไว้ องครักษ์รีบเข้ามาเพื่อคุมตัวเขา แต่ว่าสายไปเสียแล้ว เชือกเอ็นวัวถูกเขาดึงจนขาด กระโดดออกนอกหน้าต่างลงน้ำไป
เมื่อกลุ่มคนของอวิ๋นเยี่ยหมอบลงเพื่อมองดูที่ท้ายเรือ ชายร่างใหญ่ก็หายตัวไปในน้ำเสียแล้ว…