เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 23 จางจ้งเจียน
“ท่านโหว หลังจากที่เว่ยกงออกมาจากจวนของจั่งซุนก็ดิ่งตรงไปที่บ้านเฉียวกงเลยทันที ได้ยินมาว่าจั่งซุนชงถูกลงโทษด้วยกฎหมายตระกูล”
ได้ยินคำรายงานของหลิวจิ้นเป่า อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจ หลี่จิ้งบ้าไปแล้ว เพื่อน้องชายตัวเองถึงกับต้องตามล่าหาคนทำ ข้าเป็นคนลงมือทำเอง ใครจะไปรู้ว่าพระบ้าคลั่งผู้นั้นคือน้องชายของเขา
ไม่กี่ปีมานี้ก็เอาแต่ถามหาที่อยู่ของฉิวหรันเค่อกับตัวเอง ถ้าไม่บอกก็โมโห คราวนี้เป็นอย่างไร เขาต้องมาที่ตระกูลอวิ๋นแน่ๆ ไม่เพียงแค่จะถามว่าทำไมจึงทำร้ายน้องชายของเขา เขาต้องถามถึงเรื่องในตอนนั้นอย่างแน่นอน แต่ว่าน้องชายของเขาคงจะบอกกับเขาแล้ว ก็แค่จำคนผิดแค่นั้น ข้าก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าคนคนนั้นคือฉิวหรันเค่อ
อวิ๋นเยี่ยกำลังนั่งใช้สมองอยู่ในห้องนั่งเล่นก็ได้ยินเสียงหลิวจิ้นเป่าร้องด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านโหว เว่ยกงมาเยี่ยม”
ถอนหายใจ เตรียมตัวออกไปต้อนรับ ให้หลิวจิ้นเป่ารับมือกับหลี่จิ้งจะเป็นการลำบากเขาเกินไป พึ่งจะเดินออกมาก็เห็นหลี่จิ้งเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน ไม่ได้สวมชุดข้าราชการ แต่งกายไม่ค่อยเรียบร้อย ที่สำคัญคือเขาถือดาบเล่มยาวไว้ในมือ ไม่เหมือนแม่ทัพที่ผ่านศึกมาเยอะ แต่เหมือนวีรบุรุษที่ท่องไปทั่วโลก
“ยินดีต้อนรับท่านลุงหลี่…”
“อวิ๋นเยี่ย ในเมื่อเจ้าจำเขาได้ เหตุใดจึงต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้ เขาเป็นคนน่าสงสาร สติไม่สมประกอบ เกือบจะตายด้วยน้ำมือของเจ้าแล้ว วันนี้หากไม่มีคำอธิบายให้ข้า ก็อย่าหาว่าข้าทำรุนแรงเกินไป” หลี่จิ้งตาแดงก่ำ มีแนวโน้มว่าหากพูดไม่เข้าหูก็จะลงมือทันที
“ท่านลุงหลี่ ท่านบอกข้ามาก่อนว่าตอนอยู่ที่จวนของจั่งซุนท่านก็พูดเช่นนี้หรือ”
“แน่นอน สั่งสอนพวกเจ้าเสร็จแล้วข้าก็จะไปที่วังหลวงเพื่อไปคุยกับฝ่าบาท หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนพาลที่รังแกแต่คนอ่อนแอ”
อวิ๋นเยี่ยส่ายหัวแล้วพูดว่า “ท่านลุง ในเมื่อเป็นเช่นนี้หลานก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านต้องโกรธเคืองแต่กลับยังมีความผิด ท่านก็ลงโทษข้าตามเหตุสมควรได้เลย เมื่อวานก็โดนรองเท้าของน้องชายท่าน ใบหน้ายังบวมอยู่ ท่านก็เบาๆ หน่อยแล้วกัน” ไม่รู้จะทำอย่างไร ดูเหมือนว่าหลี่จิ้งจะทุ่มสุดชีวิตเพื่อเอาคืนให้กับน้องชายของเขา ขนาดจั่งซุนอู๋จี้ยังต้องอัดลูกชายตัวเองไปหนึ่งที ในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นวิธีที่สะดวกและได้ผลที่สุด ไม่มีใครอยากยั่วโมโหหลี่จิ้งที่กำลังโกรธเคือง คาดว่าหลี่ซื่อหมินเองก็คงไม่อยากเช่นเดียวกัน หลี่เฉิงเฉียน หลี่ไท่ และหลี่เค่อ สามคนนี้อย่าได้คิดหนีแม้แต่คนเดียว
“เจ้ามีแรงแค่นี้ ดูแล้วคงไม่เป็นอันตรายต่อน้องชายข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง แต่ว่าเจ้าต้องไปตรวจดูเขาหน่อย ผู้ชายที่แข็งแกร่งเหตุใดจึงกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้ แม้แต่ข้าที่เป็นพี่ชายเขาก็ยังเกือบจำไม่ได้” หลี่จิ้งพูดอย่างช้าๆ แต่กลับหนักแน่นเป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่พูดจาเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยต้องตั้งใจฟังอย่างละเอียด หากจัดการไม่ดีจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้
ฉิวหรันเค่อกลายเป็นคนบ้าไปแล้วหรือ เมื่อวานรู้แล้วว่าชายร่างใหญ่ผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นฉิวหรันเค่อ คนที่ในประวัติศาสตร์เถื่อนโบราณกล่าวว่าชายผู้นี้สูงถึงแปดฟุต รอบเอวแปดฟุต คนสามารถยืนบนกำปั้นเขาได้ ม้าสามารถวิ่งบนไหล่ได้ มีใครเคยเห็นคนที่รูปทรงสี่เหลี่ยมด้วยหรือ
“เจ้าเคยเจอเขา ผู้ชายที่ดูดุร้ายเหมือนเสือ กลับผอมเหลือเพียงแค่กำมือเดียวจับ เขามักจะบอกเสมอว่าอยากจะไปที่ภูเขาเซียนอันไกลโพ้น ข้าถามเขาเกี่ยวกับเรื่องราวของไป๋อวี้จิง เขาก็แสดงท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก หรือว่าสถานที่แห่งนี้จะทำให้เขากลายสภาพเป็นอย่างในตอนนี้”
หลี่จิ้งจ้องมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความสงสัย จับจ้องทุกสีหน้าของเขา
ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร พูดให้ถูกก็คือตอนนี้อวิ๋นเยี่ยกำลังงงไปหมด เถียนเซียงจื่อมีป้ายหยกที่เขียนว่าไป๋อวี้จิง ในบทกวีของหลี่ไป๋มีการบรรยายถึงไป๋อวี้จิง อวิ๋นเยี่ยไปถามหลี่กังและเหยียนจือทุยเกี่ยวกับเรื่องของไป๋อวี้จิง พวกเขาทั้งหมดต่างบอกว่าไม่สามารถสืบหาที่มาของคำนี้ได้ แค่คิดว่ามันเป็นคำอธิบายของดวงจันทร์ ก็เหมือนกับคำศัพท์มากมายที่บอกที่มาชัดเจนไม่ได้
ฉิวหรันเค่อมีปฏิกิริยาต่อคำว่าไป๋อวี้จิง แสดงว่าเขารู้ความหมายของคำนี้ถึงขั้นมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อเขา มิเช่นนั้นคนที่ไม่รู้เรื่องคนหนึ่งคงจะไม่มีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนั้น ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยค้นพบว่าตัวเองก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับความลึบลับของไป๋อวี้จิง อยากรู้อย่างมากว่าฉิวหรันเค่อไปเผชิญอะไรมาบ้าง
หลี่จิ้งไม่รบกวนสมาธิของอวิ๋นเยี่ย เห็นเขาเดินไปเดินมาอยู่ในสวนเอาแต่บ่นพึมพำกับตัวเองก็เลยหาเก้าอี้นั่งพักเสียหน่อย รอให้อวิ๋นเยี่ยได้สติกลับมา
“เถียนเซียงจื่อตายแล้ว” อวิ๋นเยี่ยบอกกับหลี่จิ้ง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าโจรเฒ่าผู้นั้นตายแล้ว เขาตายไปแล้วไม่รู้กี่รอบ” หลี่จิ้งรู้ข่าวการตายของเถียนเซียงจื่อมานานแล้ว แต่ว่าเขาไม่เคยเชื่อเลย
“ครั้งนี้ข้าแน่ใจว่าเขาตายแล้ว ตายระหว่างทางที่ไปหาไป๋อวี้จิง คนที่มีชีวิตรอดกลับมามีเพียงคนเดียวคือเพื่อนของข้า เขาบอกกับข้าอย่างแน่ใจว่าเขาเผาเถียนเซียงจื่อด้วยมือของเขาเอง แล้วยังเอากระดูกของเขามาให้ข้า ข้าขายไปแล้วหลายชิ้น จริงสิป้ายหยกของเถียนเซียงจื่ออยู่นี่หนึ่งอัน”
อวิ๋นเยี่ยจำได้ว่าซีถงได้มอบถุงเล็กๆ ที่บรรจุกระดูกให้กับตัวเองแล้วยังมีป้ายหยก เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ให้หลี่จิ้งดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
เมื่อกลับมาที่สวนด้านหลัง ซินเย่วมองสามีอย่างกังวลใจ นางคิดว่าหลี่จิ้งมาเพื่อแก้แค้น สามีของตัวเองสู้เขาไม่ได้จึงกังวลว่าจะได้รับบาดเจ็บ
เมื่อเดินเข้ามาก็พบว่าซินเย่วยืนพิงประตูดูเขาอยู่จึงตีไปที่ก้นนางหนึ่งที หัวเราะแล้วเปิดตู้ที่อยู่หัวเตียง เมื่อพบถุงผ้าก็ดึงออกมาเพื่อดูหยก ไม่พบว่ามีความมหัศจรรย์อะไรจึงถือไว้ในมือ แล้วเดินกลับไปที่ห้องโถงด้านหน้าท่ามกลางความไม่พอใจของซินเย่ว
“ป้ายหยกนี้อย่างน้อยน่าจะมีมาก่อนราชวงศ์ฉิน” หลี่จิ้งวางป้ายหยกลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “การวิเคราะห์หยกเป็นรสนิยมของคนรวยมาโดยตลอด” หลี่จิ้งเกิดในตระกูลคนรวย เป็นเรื่องปกติที่จะรู้เรื่องการวิเคราะห์หยกโบราณ
“ข้ารู้บทกวีเกี่ยวกับไป๋อวี้จิงอยู่หนึ่งบท อาจารย์ข้าเปิดเผยมันโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนน้องชายของเจ้านั้นข้าไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องไป๋อวี้จิงได้อย่างไร ตอนนั้นที่ดินแดนรกร้าง ชายร่างใหญ่ที่ข้าเห็นไม่ใช่ท่าทางอย่างน้องชายเจ้าเช่นนี้”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นน้องชายของข้ามีพละกำลังมาก เขาเป็นคนกล้าหาญมาก เป็นแม่ทัพผู้แกร่งกล้าบนหลังม้า การต่อสู้บนพื้นดินเป็นจุดแข็งของเขา เมื่อดาบเก้าห่วงผ่านไปที่ไหน ผีและเทพเจ้า โจรสลัดเจ็ดสิบสองคนที่ข้ามทะเลจีนใต้ในสมัยนั้นก็ถูกเขาฆ่าตายจนหมดภายในสิบวัน…”
“ไม่ต้องพูดแล้วท่านลุง ข้ารับไม่ได้ อะไรกันตั้งเจ็ดสิบสองคน แค่สี่ถึงห้าคนก็ต้องใช้เวลาถึงสิบวัน อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าไปจนถึงครึ่งปี เขาทำแค่คนเดียวหรือ ตีให้ตายหลานก็ไม่เชื่อ ตอนนี้พวกเจ้าชอบพูดอะไรเกินจริง พอพูดถึงฝ่าบาทก็บอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของมังกรและหงส์ เป็นมังกรอย่างไร เป็นหงส์อย่างไร เอะอะก็สามสิบหก เจ็ดสิบสอง แปดสิบเอ็ด หนึ่งร้อยแปด นอกจากจำนวนพวกนี้แล้วพวกเจ้าช่วยพูดจำนวนอื่นบ้างไม่ได้หรือ ฆ่าหนึ่งคนก็บอกว่าหนึ่งคน ฆ่าสองคนก็บอกว่าสองคน อย่าฆ่าคนเดียวแล้วบอกว่าฆ่าโจรมานับไม่ถ้วน ตกหน้าผาตายไปสองศพก็บอกว่าซากศพกองกันเท่าภูเขา การพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง หลานเรียนคณิตศาสตร์มา อ่อนไหวต่อจำนวนตัวเลขมากที่สุด ท่านบอกมาให้ชัดเจนเถอะว่าน้องชายของท่านฆ่าศัตรูไปกี่คน”
หลี่จิ้งหน้าแดงเล็กน้อย ปกติก็คุยโม้อวดพี่น้องตัวเองจนชินไปแล้ว แก้ไม่ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ถูกอวิ๋นเยี่ยประชดประชันจนหน้าเสีย นั่งจิบน้ำชาเพื่อปิดบังความอายของตัวเอง
“หลานอยากถามท่านมาตลอดว่าท่านเป็นทหารที่มีชื่อเสียง เก่งศิลปะการต่อสู้เป็นที่สุด ท่านป้าเองก็เป็นวีรสตรี ดูจากการป่วยครั้งที่แล้วร่างกายก็ไม่ได้อ่อนแอเลย น้องชายของท่านก็เป็นนักรบที่มีชื่อเสียงไปทั่วเขตแดน เหตุใดท่านป้าจึงมีปัญหา เหตุใดน้องชายของท่านก็มีปัญหาเดียวกัน อย่าปิดบังข้า ข้ารู้สาเหตุของโรคนี้ค่อนข้างละเอียด ท่านแค่ต้องบอกข้าว่าพวกท่านไปเห็นอะไรหรือเผชิญกับอะไรมา”
“ไอ้หนุ่ม เจ้าเลิกถามได้แล้ว ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับคนอย่างเจ้าคือความอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป มีเมืองผีอยู่ในทะเลทรายตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกครั้งเมื่อถึงเที่ยงคืนผีก็จะร้องไห้…”
“นั่นคือกองดินกองหนึ่ง เนื่องจากว่าความแข็งอ่อนของหินไม่เหมือนกัน ลมจึงพัดหินที่อ่อนปลิวไป เหลือเพียงส่วนที่ค่อนข้างแข็งจึงเกิดเป็นรูปทรงแปลกๆ มากมาย ซ้ำแล้วกองดินพวกนั้นยังมีรูพรุนเต็มไปหมด อุณหภูมิในทะเลทรายจะสูงในตอนกลางวัน และมีอุณหภูมิต่ำในตอนกลางคืน เมื่อถึงกลางดึกอากาศจะลอยขึ้นลงกลายเป็นลม เมื่อลมพัดผ่านรูเหล่านั้นก็จะทำให้เกิดเสียง ก็เหมือนกับที่พวกเราผิวปาก ได้ยินว่าที่นั่นยังมีมดฝูงใหญ่ ดังนั้นคนและสัตว์ที่เข้าไปจะเหลือเพียงกระดูก ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก”
หลี่จิ้งหน้าตาแปลกใจ มองไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “สถานที่แบบนี้ไม่ได้มีแค่ในทะเลทราย ได้ยินมาว่าแคว้นหนานเจ้าก็มีควันปกคลุมเช่นกัน…”
ไม่รอให้หลี่จิ้งพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็พูดต่อว่า “เจ้าต้องการจะบอกว่าแคว้นหนานเจ้าคือป่าหินใช่หรือไม่ ที่นั่นไม่มีลมแต่ว่ามีน้ำ หินที่นั่นเป็นหินปูนจึงถูกน้ำกัดเซาะได้ง่าย ท่านเห็นไหมว่ามีหลุมเล็กๆ บนแผ่นหินใต้ชายคาที่น้ำหยดลงมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นั่นมีฝนและหมอกตลอดทั้งปี ธรณีสัณฐานประหลาดก็ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกใจ”
หลี่จิ้งวางมือลงบนโต๊ะแล้วทุบไม่หยุด ตัวเองคิดว่าเป็นปรากฏการณ์สัตว์ประหลาดที่เหลือเชื่อ แต่ในสายตาของอวิ๋นเยี่ยกลับไม่มีความประหลาดเลยสักนิด พูดทุกอย่างได้สมเหตุสมผล มันดูสมเหตุสมผล แต่พอนึกถึงเรื่องที่เกิดกับตัวเองตอนเด็กๆ ก็รู้สึกเศร้า ตัวเองทนทุกข์คนเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องลากอวิ๋นเยี่ยมาเกี่ยวด้วย ขอแค่อวิ๋นเยี่ยรักษาจ้งเจียนได้ก็พอแล้ว หากขอไปมากกว่านี้เกรงว่าจะมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นอีก
นึกถึงภรรยาและพี่น้องที่ต้องเผชิญภัยพิบัติที่น่ากลัว ก็รู้สึกเสียใจโดยไม่รู้ตัว ความปรารถนาที่จะแก้แค้นได้จางหายไป พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เราไปกันเถอะ อาการป่วยของเขาจะรอไม่ได้อีกต่อไป”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร อยากจะรักษาสิงโต นอกจากสิงโตก็เหลือแต่เสือแล้ว ท่านดูสิว่าข้าเหมือนสัตว์ดุร้ายตรงไหน เว้นแต่ว่าท่านจะไปหาปรมาจารย์มาสักคน ฝีมือน้องชายของท่านใช่ว่าจอมยุทธ์ไก่กาจะสู้ได้”
“จะรักษาเขาอย่างไร” หลี่จิ้งไม่เข้าใจว่าการรักษากับฝีมือเกี่ยวกันอย่างไร
“การรักษาเป็นเรื่องของหลาน ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของท่าน อย่างเช่นท่านยังต้องไปแก้แค้น เรื่องใหญ่เช่นนี้จะรอช้าได้อย่างไร เหอเจียนอ๋อง เฉียวกง อิงกง หลูกง ท่านยังไม่ได้ไปบ้านคนเหล่านี้เลย จะทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ได้อย่างไร”
หลี่จิ้งมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความแปลกใจแล้วพูดว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าคนเหล่านี้คือเพื่อนของเจ้า”
“แน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีการร่วมทุกข์ร่วมสุขก็คือหน้าที่ของพี่น้อง จั่งซุนชงถูกเอาเรื่อง พวกหลี่หวยเหรินจะใช้ชีวิตแบบมีความสุขได้อย่างไร ท่านรีบไป ข้าจะไปวังหลวงเพื่อหาปรมาจารย์ให้ท่านสักคน คราวที่แล้วเจ้านี่ถูกอัดไปซะขนาดนั้นก็ยังไม่ตาย ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะรอดไปได้หรือไม่”