เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 26 แซงคิว
อวิ๋นเยี่ยวางถาดลงอย่างอาลัยอาวรณ์ ของสิ่งนี้เย็นแล้วมันจะไม่อร่อย ไม่รู้ว่าเขาจะได้กินรากบัวร้อนๆ ก่อนที่จะจัดการกับฉิวหรันเค่อได้หรือไม่
ฉิวหรันเค่อเห็นเจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลาที่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อเนื้อคนกำลังเดินมาข้างหน้าตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลัว คำที่ว่าคนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งกลัวคนบ้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจที่กินเนื้อคนมันแทบไม่ต้องพูดถึง หากมือและเท้ายังคงใช้งานได้ ฉิวหรันเค่อไม่มีทางกลัวที่จะสู้กับปีศาจแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาถูกมัดกับกระดานไม้ไว้แน่น เส้นไหมบางๆ พวกนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำให้เขาขยับตัวไปไหนไม่ได้ดั่งใจ ชีวิตของตัวเองอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่น เขาทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ โชคชะตานะโชคชะตา
“ฆ่าข้าเถอะ อย่าทรมานผู้หญิงและเด็กๆ พวกนั้น มาลงที่ข้าก็พอ หากข้าขมวดคิ้วแม้แต่นิดเดียวให้ถือว่าข้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นลูกผู้ชาย ดังนั้นข้าจึงไม่ได้มาหาเจ้า เรื่องราวของเซียวเหยาจึและชายหนุ่มคนหนึ่งในดินแดนรกร้างกานซู่ เจ้ายังจำได้หรือไม่”
“ข้าจำไม่ได้ ข้าจำไม่ได้แล้ว เมื่อครู่เหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่าข้าคือใคร ไอ้สารเลว อย่ามารบกวนข้านึกเรื่องราว”
“เช่นนี้ไม่ได้ เจ้าลองคิดดูดีๆ ในช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ร่วงเมื่อหกปีก่อน เจ้ามาที่ดินแดนรกร้างกานซู่ ที่นั่นมีบ้านกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง มีชายเฒ่าผมขาวคนหนึ่งต้อนรับเจ้า มีชายหนุ่มที่อายุสิบสามสิบสี่นั่งฟังพวกเจ้าคุยกันอยู่ข้างๆ เจ้าบอกว่าเจ้ารู้จักไป๋อวี้จิงแล้ว เจ้าถามชายเฒ่าคนนั้นว่าเดินทางไปอย่างไร ชายเฒ่าไม่ได้บอกเจ้า เจ้าจึงโยนห่อผ้าทิ้งแล้วก็เดินจากไป บอกว่าสหายเก่าของชายเฒ่าเอามาให้ เจ้าไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร เจ้ายังจำเรื่องนี้ได้อยู่หรือไม่”
รูม่านตาของฉิวหรันเค่อหดตัวลง เขาถามอวิ๋นเยี่ยแปลกๆ ว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องในอดีตของข้า แล้วทำไมข้าถึงจำไม่ได้”
“คนที่รู้เรื่องพวกนี้มีสามคน ชายเฒ่าคนนั้นตายไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ”
“ใช่ ใช่ หลายปีผ่านไปแล้ว เจ้าก็ควรจะเติบโตขึ้นแล้วเช่นกัน เจ้าคือชายหนุ่มคนนั้นหรือ”
“เจ้าจำข้าได้แล้วจริงๆ เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาว่าไป๋อวี้จิงอยู่ที่ไหน สมองของเจ้าดีขึ้นแล้วไม่น้อย มันจะต้องมีชิ้นส่วนของชีวิตปรากฏขึ้นมามากมาย เอาพวกมันมาเชื่อมต่อกันทีละส่วน เราเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่เจ้าออกมาจากดินแดนรกร้างกานซู่และไปที่ทะเลหนานไห่ดีกว่า เจ้าไปที่ไหนกัน”
“ข้าไปทะเลหนานไห่หรือ ข้าไปทะเลหนานไห่จริงๆ น่ะหรือ ข้าจำไม่ได้ จำไม่ได้ ปวดหัว ปวดหัว ปวดหัวมาก ให้ข้าอยู่คนเดียวสักพัก ไสหัวไป!”
รอบยิ้มของอวิ๋นเยี่ยสดใสขึ้นเรื่อยๆ เสียงอันอ่อนแอของเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ฉิวหรันเค่อหันหน้าไปมองอีกครั้ง พระเจ้า บนถาดมีแขนเด็กทั้งสองข้าง
“ไอ้สารเลว สารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” ไม่ว่าฉิวหรันเค่อจะใช้แรงมากมายแค่ไหน แต่เขาก็ทำได้แค่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บไปทั่วทั้งตัว อวิ๋นเยี่ยเช็ดเลือดและทายาที่แผลให้เขาด้วยความสงสาร ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวหลี่จิ้งมาแล้วจะมีเรื่องเอาได้
“เจ้าไปที่ทะเลหนานไห่ใช่หรือไม่ ออกทะเลไปแล้วใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามฉิวหรันเค่ออีกครั้ง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าออกทะเลไปแล้ว ออกไปกับพี่น้องของข้าหกสิบคน บนหยกอวี้ไผมีเกาะหนึ่งเกาะ ได้ยินมาว่าต่างแดนมีภูเขาเทพเซียน ลอยอยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยเต่าเสวียนกุย ข้างบนมีหยกอมตะ มีดอกไม้สี่ฤดู มีเทพเซียนที่กำลังร่ายรำ มีนกเฟิ่งหวงในตำนาน มังกรสีดำแหวกว่ายอยู่บนยอดเขา ลิงขาวเล่นอยู่ที่ชายฝั่ง เกาะไป๋อวี้จิง ข้าจางจ้งเจียนโชคดีที่ได้ครอบครองหยกอวี้ไผ ไปแอบดูประตูเทพเซียน เหตุใดข้าถึงไม่ขอพรให้ข้ามีชีวิตที่ยาวนานดั่งโลกเล่า”
อวิ๋นเยี่ยปรบมือและพูดว่า “ดีมาก ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็จำได้ว่าเจ้าชื่อจางจ้งเจียน แต่ว่าตอนนั้นเจ้าเตะข้าทีหนึ่ง ความแค้นครั้งนั้น ข้าจะไม่เอาคืนได้เช่นไร เจ้าลองคิดดูอีก จำเรื่องราวในอดีตของเจ้าให้ได้ พี่น้องของเจ้าอยู่ที่ไหน พวกเขาเป็นใคร พี่น้องกว่าหกสิบคน เพียงพอที่จะให้ข้าฆ่าได้ชั่วขณะหนึ่ง”
จางจ้งเจียนมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความแปลกใจและพูดว่า “เพียงเพราะข้าเตะเจ้าที่ดินแดนรกร้างกานซู่ทีเดียว เจ้าเคียดแค้นถึงเพียงนี้เลยหรือ”
“เจ้าคิดว่าเช่นไรล่ะ ตอนนั้นข้าแค่อยากจะดูห่อผ้าของเจ้า เจ้าก็จับข้าขึ้นไปเตะ อาจารย์ของข้ายังตีข้าไม่ลงแต่เจ้ากลับกล้าเตะข้า”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยพูดประโยคนี้ เส้นเลือดสีเขียวที่คอของเขาก็เต้นขึ้นมา ใบหน้าดูน่ากลัว เขาใช้หมัดต่อยหน้าอกของจางจ้งเจียนไม่หยุด ท่าทางราวกับคนที่ถูกความเคียดแค้นล้างสมองอย่างสมบูรณ์แบบ
“ทั้งชีวิตของข้า ข้าเคยเห็นสารเลวมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่พูดถึงความเลวทรามเจ้าคือที่หนึ่ง ลูกศิษย์ของเทพเซียนที่โหดเ**้ยมถึงเพียงนี้ไม่ได้มีมากนัก ตอนนั้นข้าเตะเจ้า เจ้าก็ฉีกข้าให้เป็นชิ้นๆ ก็ได้ เหตุใดต้องเอาความโมโหไปลงที่คนอื่น เหตุใดข้าจำชื่ออาจารย์ของเจ้าไม่ได้ เพราะเหตุใดกัน”
ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยแดงก่ำ เขากระโดดขึ้นไปบนตัวของฉิวหรันเค่อ บีบคอเขาและตะโกนว่า “เจ้าดูถูกข้าอีกแล้ว เจ้าดูถูกข้าอีกแล้ว อาจารย์ของข้าคือเทพเซียน เจ้าลืมแม้แต้ชื่อของเซียวเหยาจึงั้นหรือ สมควรตายจริงๆ” จนกระทั่งสีหน้าของฉิวหรันเค่อเป็นสีม่วง อวิ๋นเยี่ยถึงยอมปล่อยมือ
“ฮ่าๆ” หลังจากฉิวหรันเค่อสำลักอย่างรุนแรงเขาก็หัวเราะออกมา เขาเกลียดอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก แค่เห็นว่าเขาไม่พอใจ ตัวเองก็จะรู้สึกพอใจอย่างผิดปกติ ถึงแม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยสภาพอนาถเขาก็ไม่มีทางยอมให้ศัตรูมีความสุข
“เซียวเหยาจึก็เป็นหัวขโมยเช่นกัน สั่งสอนสัตว์ร้ายที่ไม่มีความเป็นคนอย่างเจ้าออกมา ข้าเดาว่าเขาคงจะถูกฟ้าผ่าตายไปแล้วใช่หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยกระโดดขึ้นไปต่อยฉิวหรันเค่ออีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยุดต่อยแล้วลงมา เขาหัวเราะและพูดว่า “เจ้าอยากจะปลุกความเคียดแค้นของข้า ให้ข้าปล่อยคนข้างนอกไปใช่หรือไม่ เจ้าอยากตายไปอย่างไม่ทรมาน ฝันไปเถอะ!”
ฉิวหรันเค่อพึ่งจะตะโกนออกไปว่าอย่า เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากข้างนอก กลิ่นอายของเลือดที่รุนแรงลอยเข้ามาตามประตูที่เปิดอยู่ เสียงประตูดังขึ้นมา ชายใส่ชุดสีเขียวที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดยื่นมือที่เต็มไปด้วยเลือดมาทางเขา จากนั้นก็ถูกมือใหญ่ๆ มือหนึ่งดึงคอเสื้อออกไป เสียงกรีดร้องดังขึ้นและก็หายไปกลางคัน เสียงมีดเหล็กที่สับเนื้อดังขึ้น ฉิวหรันเค่อคุ้นเคยเสียงนี้เป็นอย่างมาก ชายคนนั้นคงถูกฟันคอไปแล้ว
เสียงอันชั่วร้ายของอวิ๋นเยี่ยดังขึ้นมาที่ข้างหูเขาอีกครั้ง “จางจ้งเจียน หยกอวี้ไผที่เจ้ามีเป็นแบบนี้หรือไม่” มีเลือดไหลออกมาจากมุมตาของฉิวหรันเค่อ มุมปากก็มี สิ่งที่ออกมาจากสายตาของเขาไม่ใช่ความเคียดแค้นแต่เป็นความอ้อนวอนร้องขอชีวิต
“ฆ่าข้าเถอะ ฆ่าเช่นไรก็ได้ แต่อย่าฆ่าคนอื่นอีกเลย หากเจ้ารับปาก ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่างที่ข้ารู้ รวมถึงเรื่องของหยกอวี้ไผอันนั้นก็ได้”
“ฆ่าคนธรรมดาๆ สองสามคนไม่ได้มีประโยชน์ต่อข้าเลยสักนิด ในเมื่อเจ้าจะพูดออกมา เช่นนั้นก็พูดออกมาให้เกลี้ยง พูดจบแล้ว ข้าก็จะไม่ทรมานเจ้า คนอื่นข้าไม่สนใจ ปล่อยพวกเขาไปได้ไม่มีปัญหา เดิมที่ข้าอยากจะเอาลูกชายของเขาไปนึ่งสุกแล้วเอามาให้เจ้า ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้ว”
“เจ้าสาบานหรือไม่”
“ไม่จำเป็น ข้าสาบานเจ้าก็ต้องพูด ข้าไม่สาบานเจ้าก็ต้องพูดอยู่ดี ดังนั้นเจ้าต้องเล่าเรื่องราวที่เจ้าพบเจอมาให้ข้าฟัง ข้าก็อยากจะออกไปตามหาภูเขาเทพเซียนในต่างแดน ข้าอยากไปตามหาไป๋อวี้จิง ความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์ ข้าต้องทำให้ได้”
ทันใดนั้นฉิวหรันเค่อก็มีความสุขขึ้นมา จู่ๆ ในหัวของเขาก็นึกถึงภาพของตัวเองและเหล่าพี่น้องที่กำลังดิ้นรนอยู่ในคลื่นทะเล คลื่นทะเลลูกใหญ่ที่ราวกับภูเขาซัดเรือลำใหญ่ยกขึ้นอย่างง่ายดาย จากนั้นเรือก็ตกลงมาอย่างแรงอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านี้ เหล่าพี่น้องของตัวเองยังถูกคลื่นซัดไปด้วย ตัวเองมีถังไม้ผูกอยู่รอบเอวถึงได้รอดชีวิตออกมาได้ คลื่นทะเลพาเขามาที่ริมฝั่ง มันซัดเขาเข้าไปที่หน้าผาอย่างไร้ความปราณี ไม่รู้ว่าเขาถูกซัดไปตั้งกี่ครั้ง เขาจำได้แค่สุดท้ายตัวเองถูกซัดเข้าไปจนหัวกระแทกกับโขดหิน จากนั้นเขาก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
จากนั้นภาพเหล่านั้นก็รวมตัวกัน เขาเป็นหัวขโมยคนหนึ่ง เป็นโจรสลัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในท้องทะเล เมื่อเห็นลูกชายของหลี่หยวน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองสู้เขาไม่ได้ เขาจึงหนีออกทะเลไป รับทหาร ซื้อม้า ผ่านไปไม่นานเขาก็ปกครองเกาะที่เจ็ดสิบสองของทะเลหนานไห่ เรียกตัวเองว่าฝูอวี๋อ๋อง ครอบครองทะเลหนานไห่ อึดอัดเป็นที่สุด
แต่ว่าทำไมเขาถึงต้องไปดินแดนรกร้างกานซู่ ช่วงสองสามเดือนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ฉิวหรันเค่อจำได้แม่นว่าเขาแบกห่อผ้าหนึ่งห่อไปที่ดินแดนรกร้าง เหยียบไปบนหญ้าอันเ**่ยวเฉา บนหัวมีนกตัวใหญ่บินผ่านไปทางใต้ เขาเดินมาตั้งนานกว่าจะมาถึงที่หุบเขา เจอกับคนที่ชื่อเซียวเหยาจึ กระท่อมหลังนั้นถึงแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่คนที่อยู่ข้างในกลับไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ยอดฝีมือที่มีผมหงอกและดูอ่อนเยาว์ เด็กผู้ชายใส่ชุดสีเขียวที่ดูร่าเริง เขาแอบแกะดูห่อผ้าของตัวเองอยู่ที่นั่น เพราะว่ารักและเอ็นดู เขาจึงจับเด็กคนนั้นขึ้นมาเตะเบาๆ ทีหนึ่ง รายละเอียดพวกนี้มันชัดเจนอยู่ในหัวของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จำสาเหตุและผลที่ตามมาไม่ได้ บางที หรือว่าตัวเขาเองได้สูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไป
ช่วงเวลาห้าปีมันเพียงพอที่จะทำให้ประเทศของเขาล่มสลาย ทำให้พี่น้องทั้งหกสิบคนของเขาตาย เขาไม่คิดว่าเหล่าโจรสลัดของแต่ละประเทศที่เคยถูกเขาข่มขู่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวรอเขากว่าห้าปี แต่ช่างน่าเสียดาย ชีวิตทางศาสนาพุทธห้าปีได้สูญเสียไปแล้ว ตอนนี้ต้องมาอยู่ในจุดที่ยากลำบากถึงเพียงนี้ ช่างน่าเสียดายน้องชายที่สอง เย่าสือของข้า ช่างน่าเสียดายน้องสาวที่สาม ชูเฉินของข้า ต้องมาตายอยู่ที่แห่งนี้เพื่อดินแดนสวรรค์ที่ไม่มีอยู่จริง ใจของข้าจางจ้งเจียนช่างเคียดแค้น เย่าสือ กลับมาที่จวนหยินเฉาตี้ เจ้ามาเกิดเป็นพี่ชายข้า ข้าจะไม่แย่งเจ้าอีกต่อไป…
“บนหยกอวี้ไผของเจ้ามีคำว่าไป๋อวี้จิงสามคำนี้หรือไม่ แล้วยังมีตัวอักษรแปลกๆ ด้วยหรือไม่ เจ้าเอียงหูมา ข้าจะบอกเจ้าคนเดียว”
“ไม่ เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ ให้ข้าเอาหูเข้าใกล้ปากของเจ้า ต่อไปข้าคงจะเหลือหูอยู่แค่ข้างเดียว เจ้าอยากพูดก็พูดออกมาดังๆ ข้าไม่สนว่าคนอื่นจะได้ยิน อย่างมากก็แค่ฆ่าพวกเขาให้หมด”
“เจ้าเป็นคนฉลาดที่มีไม่มากนัก เหตุใดหัวใจของเจ้าถึงได้โหดเ**้ยมถึงเพียงนี้ ช่างมันเถอะ ข้าจะบอกเจ้าให้ ตัวอักษรแปลกๆ พวกนั้นที่จริงแล้วพวกมันคือแผนที่ เจ้าเอาหยกอวี้ไผไปตากแดด แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหยกอวี้ไผจะส่องไปบนผนัง ตัวอักษรพวกนั้นจะกลายเป็นแผนที่ แต่น่าเสียดายที่มันยังไม่สมบูรณ์แบบ หากเจ้ารวบรวมหยกอวี้ไผได้สี่อันมันก็จะเป็นแผนที่เส้นทางขึ้นไปบนสวรรค์ที่ถูกต้อง เจ้าเป็นคนฉลาด มันจะต้องสำเร็จแน่นอน ไอ้หนุ่ม เจ้าฆ่าข้าได้แล้ว”
อวิ๋นเยี่ยฟังฉิวหรันเค่อพูดเรื่องเหลวไหล ในใจของเขาหัวเราะจนแทบจะหกล้ม หลอกล่อให้คนอื่นไปตายมันคือสิทธิของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเขาก็รู้จักทำเช่นนี้ เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาไม่เลวเลยทีเดียว ต่อไปสามารถเอาออกมาใช้งานได้ หากคนอื่นสงสัย ก็บอกได้ว่านี่คือเรื่องที่ฉิวหรันเค่อเป็นคนพูด มีปัญหาอะไรก็ไปหาเขา
อวิ๋นเยี่ยหยิบน้ำเต้าเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วพูดกับฉิวหรันเค่อว่า “เจ้าเป็นลูกผู้ชาย ข้าจะให้เจ้ามีศพทั้งตัว พวกเจ้าสามพี่น้องจะได้ไปเจอกันใต้พิภพ”
ฉิวหรันเค่อดื่มยาพิษที่อยู่ในน้ำเต้าเข้าไป จากนั้นก็ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าชื่ออะไร อย่าให้ข้ากลายเป็นผีที่งงงวย”
ฉิวหรันเค่อรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังแผ่วเบา สุดท้ายเขาก็ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดอย่างคลุมเครือว่า “ข้าไม่เคยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล ข้ามีนามว่าหลี่หวยเหริน!”