เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 3 สุนทรพจน์ของไฮปาเทีย
หญิงสาวมองชายร่างใหญ่สองสามคนที่กำลังยิ้มแปลกๆ พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดตามสัญชาตญาณ ปกปิดใบหน้าให้มิดชิดกว่าเดิม การเดินทางอันยาวนานทำให้พวกนางได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากมาย อียิปต์ที่สวยงามไม่เหมาะกับการเผยแผ่ความจริงอีกต่อไป คนในประเทศทะเลทรายแห่งนี้เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว พวกเขาเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าเทพเป็นผู้ปกครองท้องฟ้า กำหนดความสุข ความทุกข์ การพบและจากลาของมนุษย์ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เทพเจ้ากำหนดไว้แล้ว
ให้ตายอย่างไรไฮปาเทียก็ไม่เชื่อว่าหลังจากที่ผู้ชายตายแล้วจะได้ไปอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยผลไม้ สวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยสายน้ำผึ้งและน้ำนมไหลกำลังรอเขาอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงอีกเก้าสิบเก้าคนที่อยู่ที่นั่น ไม่ว่าพวกนางจะปรนนิบัติรับใช้ผู้ชายมากี่คนแต่ก็ยังคงเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่ เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ก็เกิดความโศกเศร้าขึ้นในใจเป็นอย่างมาก
สิ่งก่อสร้างที่รุ่งเรืองมามากกว่าพันปีได้พังทลายลงในกองไฟ หนังสือหนึ่งแสนห้าหมื่นเล่มถูกเผา ในตอนแรกไฮปาเทียพยายามที่จะพื้นฟูความรุ่งโรจน์ทางปัญญาของชาวอียิปต์ แต่น่าเสียดายที่ความโง่เขลาได้เอาชนะความมีเหตุผล หลังจากที่โดนเปลือกหอยบาดเต็มตัวแต่ก็ยังคงไม่รู้สึกเสียใจ พวกอันธพาลเหล่านั้นก็ใช้ขวานสับแขนและขาของนาง โยนนางลงไปในกองไฟที่โหมกระหน่ำในขณะที่เส้นเอ็นมือและเท้ายังคงกระตุกอยู่…
มีประโยคหนึ่งในคัมภีร์อัลกุรอานเล่มล่าสุดได้ช่วยสำนักศึกษาที่กำลังจะล้มสลายของตัวเองไว้
ถึงแม้ว่าความรู้จะอยู่ในประเทศจีนที่ห่างไกลแต่ก็ควรที่จะไปเรียนรู้ คำพูดนี้ของมูฮัมหมัดได้ให้ความหวังครั้งสุดท้ายแก่ทุกคน เดินตามเส้นทางการค้าขายบนทะเลทรายอันห่างไกลไปยังประเทศมหัศจรรย์แห่งนี้ หลังจากเข้าสู่ต้าถัง ความทุกข์ใดๆ ก็ได้หายเป็นปลิดทิ้งในทันที
ถึงแม้ผู้คนเหล่านั้นจะชอบมองมาที่ตัวเอง แต่ก็สัมผัสได้ว่าเป็นเพียงแค่ความรู้สึกทางกามารมณ์ ไม่ได้มีความพยาบาทอื่นๆ อีก ในที่สุดก็มาถึงฉางอันขณะที่เงินก้อนสุดท้ายก็ไม่เหลือแล้ว ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะไม่รู้ถึงความสำคัญของการเรียนรู้ พวกเขามีระบบวิชาการและความรู้เป็นของตัวเอง แต่กลับไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้จากปัญญาที่มีของตัวเอง ในความสิ้นหวังจึงทำได้เพียงลองเต้นรำเพื่อเลี้ยงชีพ นี่คือความสามารถสุดท้ายที่ได้เรียนรู้จากดินแดนทะเลทราย ถึงจะไม่เหมาะสมจะแสดงในหอนางโลม แต่เพื่อความอยู่รอด ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
ชายผู้เย่อหยิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ ประเทศที่มีอำนาจของเขาทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองสูง ประเทศของเขาทำให้คนรู้สึกเกรงขาม ตั้งแต่เมืองแรกที่ได้เห็นเมื่อออกจากดินแดนทะเลทราย ตอนนี้นางแทบจำไม่ได้แล้วว่าได้เดินทางผ่านมากี่เมืองก่อนจะมาที่เมืองนี้ เมื่อตัวเองได้เห็นกำแพงเมืองสูงเป็นครั้งแรก ก็ตกใจจนแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น นี่คือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า คนอย่างตัวเองที่ไม่เคยเชื่อในพระเจ้ามาก่อนก็เกือบจะสงสัยในความเชื่อที่ตัวเองยึดถือ
ขุนนางที่ท่าทางแปลกๆ กลับรู้เรื่องไฮปาเทีย รู้จักยุคลิด และหนังสือของยุคลิด ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง ไฮปาเทียกำลังคุ้มครองลูกศิษย์ของตัวเองอยู่หรือ กำลังให้ความหวังสุดท้ายแก่พวกเราใช่หรือไม่
“อัตราส่วนของเส้นรอบวงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลม นั่นคืออัตราส่วนของพื้นที่วงกลมต่อกำลังสองของรัศมี เป็นพื้นที่เท่าไหร่ เจ้ารู้หรือไม่” ไฮปาเทียหวังว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางจะเป็นนักวิชาการที่มีความรู้อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่ลูกของคนร่ำรวย ดังนั้นนางจึงนำโจทย์ยากที่ยังไม่ได้แก้ไขไปทดสอบอวิ๋นเยี่ย
หลี่หวยเหรินพูดอย่างหยาบคายว่า “ขนาดอัตราส่วนพายโบราณเจ้ายังไม่รู้จักเลย ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นนักวิชาการ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเต้นได้แล้ว หากทำให้ข้าพอใจได้ ข้าจะตอบเจ้าเมื่ออยู่บนเตียง”
หลี่เฉิงเฉียนกับจั่งซุนชงชะงักไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ คณิกาน้อยคนนักที่จะรู้จักอัตราส่วนพายโบราณ แต่ก็นั่นแหละ ในหอนางโลมมีผู้หญิงมากเกินไป ต้องพากันคุยเรื่องกลอนไปด้วย …ไปด้วยจึงจะน่าสนใจ
“ข้าว่าผู้หญิงคนนี้คิ้วเข้ม หน้าอกสวยเหมือนนกพิราบ เส้นผมดกดำ แต่กลับเป็นสาวพรหมจรรย์แล้วยังรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ พี่ชายข้าชอบนางมาก คืนนี้ข้าจะชวนนางไปเข้าร่วมงานวิจัยหนังสือคณิตศาสตร์จุ้ยชู่ของสมเด็จพระสังฆราช เจ้าคิดว่าดีหรือไม่”
จั่งซุนชงน้ำลายไหลขณะใช้ไหล่สะกิดหลี่เฉิงเฉียนที่กำลังคิ้วขมวด ทำเอาองค์รัชทายาทแห่งต้าถังขนลุกไปทั้งตัว ไปหลบอยู่ไกลๆ แล้วพูดว่า “เจ้าบ้า ถ้าเจ้าชอบก็เอาไป ขอแค่อวิ๋นเยี่ยไม่แย่งเจ้าก็พอ แต่ข้าคิดว่าแผนของเจ้าจะล้มเหลว”
จั่งซุนชงดูทั้งสองคนกำลังสนทนากัน ก็เห็นว่าในหอนางโลมกลับมีบรรยากาศที่เคร่งครึม ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดว่า “สหายข้าพูดไว้ไม่ผิด เราเรียกอัตราส่วนนี้ว่าพาย เนื่องจากพระสังฆราชเป็นผู้ค้นพบเมื่อสองปีที่แล้วก็เรียกว่าอัตราส่วนพายโบราณ ผลลัพธ์ของมันคือสามจุดหนึ่งสี่ ชาวต้าถังที่เคยเรียนหนังสือก็รู้กันทั้งนั้น ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ หากเจ้าชอบการศึกษาค้นคว้า ข้าก็ขอเชิญเจ้าไปดูหนังสือคณิตศาสตร์จุ้ยชู่ที่ห้องสมุดของสำนักศึกษาเจ้าก็จะรู้เอง”
“ต้าถังก็มีสำนักศึกษาและห้องสมุดด้วยหรือ ในยุคของอาจารย์ วิทยาลัยอเล็กซานเดรียมีลูกศิษย์หนึ่งร้อยหกสิบคน สมัยนั้นเป็นยุคแห่งความรุ่งโรจน์ คิดไม่ถึงว่าในประเทศที่ถูกปิดกั้นอย่างต้าถังก็มีสำนักศึกษาด้วย ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง” ไฮปาเทียแสดงความดีใจต่ออวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทางที่ดูประหลาดใจ แต่ดูจากการขมวดคิ้วของผู้ชายสองสามคนนั้น ดูเหมือนว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดไป
หลี่หวยเหรินเบ้ปาก คายเมล็ดองุ่นแล้วพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “คนป่าเถื่อนที่ไม่มีหัวคิดยังจะกล้าพูดเรื่องสำนักศึกษาอีก เมื่อก่อนได้ยินอวิ๋นเยี่ยบอกว่ากรุงโรมที่ใหญ่ที่สุดของพวกเจ้าเป็นเมืองที่ราษฎรแต่งกายไม่มิดชิดแล้วพากันเดินทางไปทั่วโลก อาหารหมูยังดีกว่าอาหารที่พวกเจ้ากิน โบกขวานไปมาตะโกนเสียงดังทำตัวเป็นโจรสลัด ตอนนี้ดันอยากเป็นคนมีอารยธรรม?”
ไฮปาเทียยืนขึ้นช้าๆ ดึงผ้าคลุมหน้าออกแล้วไปยืนที่กลางห้อง ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนอื่นๆ นำเสื้อคลุมสีขาวมาคลุมให้นางแล้วผูกปมไว้ที่หน้าอกของนาง มัดผมของนางให้สูงขึ้นแล้วเสียบปิ่นปักผม กิ่งใบกระวานสีทองถูกถักเป็นกวานสวมที่หัวนาง นางหยิบแตงกวามาจากโต๊ะของอวิ๋นเยี่ยหนึ่งลูก กัดเข้าไปสองสามคำแล้วพ่นออกมาเพื่อใช้ล้างเครื่องเทศ จากนั้นหยิบน้ำหนึ่งแก้วมาบ้วนปาก หลังจากนั้นห้าคนที่กำลังเผชิญหน้ากับอวิ๋นเยี่ยก็ยกมือทาบอกเพื่อแสดงความเคารพ
ภายใต้บรรยากาศอันยิ่งใหญ่ แม้แต่หลี่หวยเหรินที่ไร้มารยาทเหมือนหมู่ป่าก็ยังทำความเคารพกลับ หลี่เฉิงเฉียนแววตาลุกวาวจับจ้องไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา อยากดูว่านางจะทำอะไรกันแน่ จั่งซุนชงผลักตัวออกจากคณิกาแล้วลุกขึ้นมานั่งดีๆ ส่วนเฉิงฉู่มั่วได้นอนหลับปุ๋ยไปบนพรมแล้ว
ผู้หญิงคนนี้มีความงดงามที่ทำให้คนตกตะลึง รูม่านตาสีเขียวเหมือนตาแมว ผมสีน้ำตาลที่ถูกหวีจนเรียบ ลำคอเรียว ติ่งหูสีแดงก่ำดูสวยงามเป็นพิเศษภายใต้แสงเทียน คำพูดสำเนียงคล้ายๆ แมนดารินค่อยๆ ดังขึ้น
“ข้ามาจากอียิปต์ที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรือง ไม่ได้มีอาณาเขตกว้างใหญ่เหมือนกับต้าถัง ไม่ได้มีราษฎรเยอะแยะมากมาย ตอนนี้ทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยเงามืดของเผด็จการ พวกเขาทำลายสิ่งสวยงามทั้งหมด มีเพียงวัดสูงใหญ่ที่มีแต่ความเยือกเย็นที่ถูกตั้งอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลานาน พระเจ้าได้กลายเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนั้นเพียงคนเดียว เสียงต่างๆ ที่แสดงถึงความไม่เห็นด้วยทั้งหมดจะถูกเผาในกองไฟจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าจะเห็นด้วยกับบุรุษผู้ทำลายอียิปต์ อียิปต์เป็นสถานที่อันสวยงาม เรามีอารยธรรมเมื่อหกพันปีที่แล้ว พีระมิดที่ยังคงอยู่ท่ามกลางสายลมและทะเลทรายได้บ่งบอกถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของเรา มันทำจากหินสองล้านสามแสนก้อนที่มีน้ำหนักถึงสองพันห้าร้อยกิโลกรัม ก้อนหินที่หนักที่สุดมีน้ำหนักมากกว่าห้าหมื่นกิโลกรัม ช่องว่างระหว่างหินไม่สามารถเสียบใบมีดเข้าไปได้ ส่วนความสูง หากนับตามวิธีการของต้าถังก็ประมาณห้าสิบฟุต”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ไฮปาเทียก็หยุดพูดแล้วมองไปที่อวิ๋นเยี่ย ในเมื่อรู้ถึงการมีอยู่ของไฮปาเทีย ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้จักพีระมิด นางต้องการหาคนยืนยันคำพูดของนาง
หลี่หวยเหรินถามอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นเยี่ย นางกำลังคุยโม้อยู่ใช่หรือไม่” คำพูดดูยังไม่มีความมั่นใจมากพอ แม้ว่าคำพูดของไฮปาเทียดูเหมือนจะจริงใจ ทว่าหลี่เฉิงเฉียนและจั่งซุนชงก็หันไปมองอวิ๋นเยี่ยพร้อมๆ กัน
อวิ๋นเยี่ยเกาจมูก ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ข้าก็อยากจะบอกว่านางกำลังคุยโม้ แต่ว่าอาจารย์ของข้าก็พูดเช่นนั้นเหมือนกัน เขาไม่มีทางพูดผิดแน่นอน ยังมีสิงโตตัวใหญ่มีหน้าเป็นคนที่นางไม่ได้พูดถึง”
ไฮปาเทียโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดต่อ “ขอบคุณท่านมาก ท่านผู้ซื่อสัตย์ ที่ท่านกำลังพูดถึงนั้นเรียกว่ามหาสฟิงซ์ เขาเป็นแค่คนโง่ที่พูดปริศนาได้ไม่กี่คำ
สิ่งที่ข้าต้องการพูดคือเรื่องอารยธรรม ไม่ใช้เทพนิยายที่ไร้เหตุผล ความสูงของพีระมิดกำลังสองเท่ากับพื้นที่สามเหลี่ยมบนพื้นผิวหอคอย เส้นรอบวงด้านล่างของหอคอยหารด้วยความสูงของหอคอยเท่ากับวงกลมหารด้วยรัศมี การคาดเดาอื่นๆ เกี่ยวกับพีระมิดของพวกเราพึ่งได้รับการยืนยันจากปากของอาจารย์ผู้นี้ นั่นคือความยาวเส้นรอบวงด้านล่างหารด้วยความสูงสองเท่าของหอคอย ย่อมมีค่าเท่ากับอัตราส่วนพายอย่างที่อาจารย์ผู้พูดพูดไว้ ท่านเชื่อไหมว่านี่คือเรื่องบังเอิญ
อาจารย์ทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงนักปราชญ์มากมายของพวกเราเหล่านั้น ข้าขอถามอาจารย์ทั้งหลาย สิ่งก่อสร้างอย่างพีระมิดถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของเราเมื่อสี่พันปีที่แล้ว ท่านยังจะบอกว่าพวกเราเป็นแค่กลุ่มคนป่าเถื่อนอยู่หรือไม่ ถือขวานร้องตะโกนทำตัวเป็นโจรสลัด พวกที่แบกถังเหล้าไว้กับตัวคือชาวเกาหลู อย่าได้นำนักปราชญ์ผู้สูงศักดิ์กับคนป่าเถื่อนมาปะปนกัน หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ผู้นี้รู้จักนักปราชญ์อย่างไฮปาเทีย ข้าก็เกือบจะคิดว่าที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดารที่เปิดสอนวิชาการ”
หลี่หวยเหรินมองไปที่ไฮปาเทียด้วยความหงุดหงิด สุดท้ายก็พบรอยด่างขาวๆ ที่จมูกทั้งสองข้างของนางก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติ
“นักปราชญ์ผู้งดงาม วาจาของท่านทำให้ข้ารู้สึกละอายใจ แต่ว่าสิ่งที่ท่านพูดทั้งหมดคือการคาดเดา คนในต้าถังให้ความสำคัญกับหลักฐานมากขึ้น สิ่งที่ท่านพูดอาจเป็นเรื่องบังเอิญ อาจารย์ของข้าเคยกล่าวไว้ว่าการสร้างพีระมิดนั้นเกินความสามารถของชาวอียิปต์ เพราะว่าในสมัยนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่ฟาโรห์จะมีคนรับใช้แรงงานถึงยี่สิบล้านคน ดังนั้นสาเหตุของเรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันอยู่
แต่ว่าข้าชื่นชมในความรู้ด้านคณิตศาสตร์ของเจ้า อาจารย์ไฮปาเทียของเจ้ามีความรู้เรื่องภาคตัดกรวยและเลขคณิตศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นจึงมีเหตุผลให้ข้าเชื่อได้ว่าท่านไม่ได้สืบทอดเพียงความงามของนางเท่านั้นแต่ยังสืบทอดความรู้ของนางอีกด้วย ถ้าหากเจ้าสะดวกข้าอยากจะเชิญเจ้าไปเยี่ยมชมสำนักศึกษาที่ภูเขาอวี้ซัน สำนักศึกษาแห่งภูเขาอวี้ซันไม่ได้มีลูกศิษย์แค่สิบยี่สิบคนอย่างที่ท่านว่า มันเป็นสำนักศึกษาที่ครบวงจร ตอนนี้มีลูกศิษย์กำลังศึกษาอยู่มากกว่าสองพันหนึ่งร้อยคน”
ไฮปาเทียแสดงสีหน้าประหลาดใจเป็นครั้งแรก นางรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าการมีสำนักศึกษาใหญ่โตในยุคนี้นั้นหมายความว่าอย่างไร
“เงินเดือนของข้าห้ามน้อยเด็ดขาด ข้าต้องเลี้ยงทั้งหมดสิบหกคน ดังนั้นเงินเดือนที่เจ้าให้ข้านั้นต้องตรงกับสถานะและความรู้ของข้า”
“ท่านไม่ต้องกังวล และยังมีเงินเพิ่มเติมให้สำหรับความงามของท่านด้วย” อวิ๋นเยี่ยยิ้มจนเห็นฟันขณะที่พูดกับไฮปาเทีย
จั่งซุนชงเอาหัวโขกที่หัวของหลี่เฉิงเฉียนอย่างแรง นางจะกลายเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาอยู่แล้ว หลี่เฉิงเฉียนไม่สนใจ เขาเองก็เป็นผู้นำของสำนักศึกษา นอกจากนี้เขาก็ไม่เคยสนใจผู้หญิงต่างแดน มีเพียงหลี่หวยเหรินเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าเขากำลังยิ้มเยาะในเรื่องอะไรอยู่