เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 31 ภูเขาฉินหลิ่ง
ตามถนนบนภูเขาที่คนสามารถเดินได้ อวิ๋นเยี่ย จั่งซุง และหลี่หวยเหรินแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม แต่ละกลุ่มเดินไปตามถนนเข้าไปในภูเขา พวกเขาไม่อยากพลาดความหวังไปแม้แต่เล็กน้อย เดินผ่านช่องเขาและผ่านเขาไปอีกลูกหนึ่ง ข้างหน้าก็ยังคงเป็นภูเขา ซุนซือเหมี่ยวอยู่บนภูเขา แต่ป่าไม้ที่หนาแน่นแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนกันแน่
อวิ๋นเยี่ยไม่คิดที่จะยอมแพ้ ข้างหลังเขาล้วนแต่เป็นเหล่าชายฉกรรจ์ เขาไม่กังวลว่าจะหาอาหารในภูเขาฉินหลิ่งแห่งนี้ไม่ได้ ต่อหน้านักรบที่มีอาวุธครบครันเช่นนี้ สัตว์ร้ายใดๆ ก็ล้วนแต่เป็นแค่อาหารในชามเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังจริงๆ ก็คือถนนโบราณที่อยู่ข้างหน้า ซุนซือเหมี่ยวไม่มีทางไปที่ที่มีผู้คน ถึงแม้ว่าจะบ่ายแล้ว แต่บนถนนโบราณก็ยังมีผู้คนไปๆ มาๆ ไม่ขาดสาย เกวียนวัว รถม้า รถขนของและรถล้อเดียวล้นหลามอยู่เต็มถนนโบราณ แล้วยังมีรถขนของวิ่งออกมาจากด้านข้างเป็นระยะ
เพราะมันเป็นถนนโบราณที่ตัดผ่านภูเขากว่าห้าร้อยไมล์ เชื่อมต่อที่ราบกวงจงและดินเเดนปาสู่อันอุดมสมบูรณ์เข้าด้วยกัน ถนนแคบๆ ที่มีการไหลเวียนของโลหิตสายนี้นับเป็นถนนที่มีชื่อเสียงทีเดียว
และนี่ก็คือถนนโบราณที่มีความหายนะมากมาย เพื่อที่จะใช้แผนการของตัวเองข้ามผ่านกลยุทธ์ของเฉินชาง จางเหลียงและหลิวปังถึงกับเผาถนน และเพราะว่าขงเบ้งไม่ระวังจึงสูญเสียเจียถิงไป เขาจึงจำเป็นต้องเผาส่วนหนึ่งของถนน ส่วนเหตุผลที่หนังสือประวัติศาสตร์บอกก็คือนี่คือสงครามแห่งความคิด นักเล่าเรื่องมักจะหัวเราะ พวกเขาเล่าไม่หยุดว่าตนหลอกล่อคู่ต่อสู้ได้อย่างไร บางทีอาจจะแสดงละครเศร้าโศกเสียใจหรือมีความสุขด้วยก็ได้ ไอ้พวกนี้ไม่รู้หรือไงว่าการสร้างถนนสักสายหนึ่งต้องมีคนตายไปกี่คน ตระกูลของเหล่าเหลียงแค่อยากจะขุดบ่อน้ำเล็กๆ แค่เท่านั้น พวกเขาก็ยังสูญเสียเลือดเนื้อไป รวมถึงชาวนาที่ถูกฝังอยู่ที่ก้นหุบเขา ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเองแล้ว เหล่าฮ่องเต้จึงมักไม่ลังเลแม้ว่าจะต้องโหดเ**้ยมเช่นนี้เพื่อสร้างถนนที่มีความสำคัญราวกับหลอดเลือดใช่หรือไม่
ใครยังจะระลึกถึงพวกเขาล่ะ เมื่อเสียงของการฆ่าฟันค่อยๆ สงบลง บนถนนโบราณที่มีเส้นทางคดเคี้ยวไปตามภูเขาฉินหลิ่งยังเหลือเพียงกองทัพพ่อค้าที่เดินทางอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่ขาดสาย มีจุดพักอยู่ทั่วภูเขาฉินหลิ่ง มีข้อความอันอบอุ่นอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังตอนใต้และตอนเหนือ ตลอดการเผชิญหน้ากับภูเขาฉินหลิ่งที่ทอดยาวและเมฆหมอกที่พึ่งจะหายไป เหล่านักปราชญ์ที่สง่างามในอดีตล้วนใช้พู่กันในมือเพื่อทิ้งความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อผู้ที่ยิ่งใหญ่เอาไว้
ถนนทั้งสองด้านที่มีความพัวพันอันลึกซึ้งกับประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น มีการทิ้งร่องรอยของราชวงศ์ฮั่นเอาไว้จำนวนมาก
ศิลาจารึกสิบสามชิ้นของราชวงศ์ฮั่นที่ผ่านลมผ่านฝนมาจนตัวอักษรเลือนรางมองไม่ชัด มันก็คือ ‘ฮั่นเว่ยซานสือผิ่น’ ที่มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวิวัฒนาการของอักษรฮั่นและศิลปะการเขียนพู่กันมานานกว่าสองพันปี ก่อนหน้านี้อักษรมีความซับซ้อนและยากต่อการเข้าใจ เมื่อถึงช่วงการปฏิวัติครั้งใหญ่ในราชวงศ์ฮั่นจึงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตัวอักษรเรียบง่ายมากขึ้น ง่ายต่อการเขียนและเข้าใจ มันก็คืออักษรลี่ซู ซึ่งต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันการเขียนตัวอักษรให้กลายเป็นอารยธรรมในวงกว้าง
เผชิญหน้ากับตัวอักษรสี่เหลี่ยมที่แข็งกระด้าง จนถึงทุกวันนี้ยังทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของราชวงศ์ฮั่นที่โอบล้อมไปด้วยสรวงสวรรค์และจิตวิญญาณที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งอย่าง
“เยี่ยจึ ที่นี่มีคนเขียนตัวอักษรผิด ความประพฤติและคุณธรรมเช่นนี้ยังกล้ามาสลักตัวอักษรบนหินหรือ เช่นนั้นข้าก็จะไปหาช่างหินสองสามคนมาสลักชื่อของข้าบ้าง เป็นเช่นไร อย่ายิ้ม มันไม่น่าอายเสียหน่อย แม้แต่อักษรที่เขียนผิดยังสลักได้ ชื่อของข้าต้องเขียนไม่ผิดแน่นอน ข้าจะสลักบ้างไม่ได้หรือ”
ในที่สุดเฉิงฉู่มั่วก็ค้นพบเรื่องบางอย่าง ที่จริงแล้วตัวเองก็เป็นคนมีความรู้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกระโดดออกมาโอ้อวด
“ฉู่มั่ว คนที่เจ้าพูดถึงคือเฉาเชา กุ๋นเสี่ยว สองคำนี้คือคำที่เขากับหลิวเป้ยเขียนเอาไว้ที่นี่หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้การแย้งชิงฮั่นจง และแน่นอนว่าเขายังฆ่าหยางซิวไปด้วย เขาคือคนที่เกือบจะฉลาดกว่าข้าคนหนึ่ง”
“ล้อเล่นอะไรกัน เหล่าเฉาจะเขียนอักษรผิดหรือ ข้าชอบ ‘ฉางก้านสิง’ ของเขามาก ประโยคที่ว่าดินแดนอันแสนไกล ไม่มีผู้คนไม่มีเสียงไก่ขัน เมื่อก่อนข้าเคยท่อง ตัวอักษรกุ๋นคำนี้ ขาดขีดหยดน้ำไปอย่างชัดเจน ไม่ใช้เขียนผิดแล้วมันคืออะไร”
“อันที่จริงข้าก็คิดว่าเหล่าเฉาเขียนผิด ถูกคนอื่นทักเช่นนั้นก็รู้สึกเสียหน้า จึงเปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องแม่น้ำ บอกว่ามีแม่น้ำเช่นนี้ยังจะขาดแคลนหยดน้ำอีกหรือ”
“เขาเอาน้ำในแม่น้ำมาเป็นขีดหยดน้ำรึ”
“ถูกแล้ว หนังสือประวัติศาสตร์บอกไว้เช่นนี้ สำหรับสถานการณ์จริงหรือไม่จริง มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ข้ายังรู้ด้วยว่ามีคนโง่อีกคนหนึ่งที่เขียนคำว่า ‘ฉงเอ้อ’ สองคำนี้ ลอกเลียนแบบคำของคนอื่นจะถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นไร ล้วนแต่เป็นได้เพียงคนไร้ยางอาย”
“เช่นนั้นต่อไปหากข้าเขียนอะไร ข้าเอาขีดต้นไม้ออกไปได้หรือไม่ ข้าเขียนบนโต๊ะ โต๊ะทำจากต้นไม้ ต้นการบูรชั้นดี!”
“เอาล่ะ ฉู่มั่ว เจ้าอย่ามาปลอบใจข้า พวกเรามาผิดทางแล้ว หาซุนเต้าจั่งไม่เจอ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หันหลังกลับไปใหม่ก็ได้ แต่เสบียงอาหารของเราใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว เอาแต่กินเนื้อทั้งวันมันจะป่วยเอาได้ เพราะเช่นนี้ข้าถึงได้เป็นห่วงผู้นำลัทธิเต๋าอย่างเขา
ยิ่งอยู่ในป่านานเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งทางร่างกายก็ยิ่งลดลงเท่านั้น ถึงตอนนั้นหากล้มป่วยขึ้นมามันจะยิ่งหนักหนา”
“ไม่มีเสบียงอาหาร นี่ไม่ใช่เส้นทางการค้าหรอกหรือ กองทัพพ่อค้าของสองตระกูลเราจะไม่มีผ่านมาบ้างหรือไง และถึงแม้ว่าจะไม่มีกองทัพพ่อค้าของตระกูลเรา แต่พ่อค้าของตระกูลท่านลุงหนิวก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ เอาเสบียงจากพวกเขาก็ได้นี่”
เฉิงฉู่มั่วและอวิ๋นเยี่ยหยุดกลางถนน พวกพ่อค้าเหล่านั้นไม่กล้าเดินเข้ามา ชายฉกรรจ์พกอาวุธครบครันกว่าหลายร้อยคนที่มีผมยุ่งเหยิงราวกับพวกโจร คนที่ขี้ขลาดตาขาวแทบจะคุกเข่าลงแล้วตะโกนว่า “นายท่านปล่อยข้าไปเถอะ”
หนิวจิ่ว พ่อบ้านของตระกูลหนิว ถือว่าเป็นคนที่เห็นโลกมาแล้วมากมาย ปกติแล้วกองคาราวานพ่อค้าของตัวเองไม่มีใครกล้าออกความคิดเห็นอะไร เขาขยับเข้ามาข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมาได้ ที่แท้ก็คืออวิ๋นโหวกับนายน้อยพาองครักษ์ออกมาปล้น
เขารีบเดินออกไปโค้งคำนับ “ท่านโหว นายน้อย เหตุใดวันนี้พวกท่านสองคนถึงได้มีอารมณ์มาเล่นเป็นโจร หากในมือของคนพวกนี้มีของล้ำค่า พวกท่านสองคนพูดแค่คำเดียว ข้าน้อยจะไปตรวจค้นพวกเขาเอง”
เฉิงฉู่มั่วเตะหนิวจิ่วทีหนึ่งแล้วพูดเสียงดังว่า “เหลวไหล เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่านายน้อยอย่างข้ากับท่านโหวออกมาปล้น ไม่มีเวลามาพูดอะไรไร้สาระ รีบเตรียมเสบียงอาหารให้พวกข้า พวกข้าจะเข้าภูเขาไปตามหาคน รีบเลย”
หนิวจิ่วที่ถูกเตะไปทีหนึ่งไม่ได้โกรธอะไร ตระกูลของแม่ทัพก็เป็นเช่นนี้ พูดไม่ถูกใจก็เตะทีหนึ่ง ท่านสองคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากนายท่านของตัวเองมากนัก เขารีบเอาเสบียงอาหารของกองคาราวานพ่อค้าให้กับเฉิงฉู่มั่ว ตัวเองไม่ต้องเป็นห่วง ค่อยไปเอาเพิ่มข้างหน้าก็ได้ แต่ว่าเสบียงอาการของกองคาราวานพ่อค้ามีไม่มากนัก คนของท่านโหวมีตั้งร้อยกว่าคน
หนิวจิ่วยังพอมีหน้ามีตาในกองคาราวานพ่อค้า แค่ทักทายกับพวกเขาก็ขอเสบียงอาหารของคนอื่นมารวมด้วย ห่อให้ดีแล้วเอาไปมอบให้
“หนิวจิ่ว กลับไปแล้วเอาจดหมายไปให้ที่บ้านด้วย บอกว่าตอนนี้พวกข้าเจอร่องรอยของอาจารย์ซุนแล้ว กำลังทำการตามหา คาดว่าคงอีกไม่นานคงจะตามหาเขาเจอ บอกให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง”
หนิวจิ่วพยักหน้ารับปาก อวิ๋นเยี่ยแบ่งเสบียงอาหารให้ทุกคนช่วยกันแบก โบกมือแล้วก็เดินเข้าไปในภูเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ หากยังหาไม่เจอ ก็คงต้องกลับจวนอย่างเดียว ในภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้ อยากจะตามหาคนหกคนมันไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร
พุทธศาสนาแห่งฉางอัน หอหยกหนึ่งล้านแห่งทางตอนใต้ เมฆขาวยังปกคลุมไม่มิด ภูเขาที่มีใบไม้สีแดงเต็มไปด้วยพระภิกษุ แค่ประโยคนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้ว่าข้างในภูเขามีพระภิกษุกี่รูป อวิ๋นเยี่ยไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระหว่างพุทธศาสนากับลัทธิเต๋า ช่วยไม่ได้ ภูเขาฉินหลิ่งมีแต่สำนักและวัดเต็มไปหมด ในความเป็นจริงพวกเขาคือเจ้าของภูเขาฉินหลิ่ง หากอยากรู้ร่องรอยของซุนซือเหมี่ยวก็ต้องไปถามพวกเขา
แต่ที่แปลกก็คือไม่ว่าจะเป็นสำนักหรือวัด พวกเขาล้วนแต่มีท่าทีเหมือนศัตรู ปิดประตูแน่นหนา ประตูวัดก็ปิดแน่น ถึงแม้ว่าจะมีคนเปิดประตู แต่พวกเขาก็มักจะถือไม้เท้า มีสายตาที่ดุร้ายและท่าทางเย่อหยิ่ง
“เยี่ยจึ หากไอ้พวกนั้นยังมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ข้าจะฆ่าเขาให้ตาย” ไปมาแล้วสามวัดแต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรที่มีประโยชน์ เฉิงฉู่มั่วอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล เขาเองก็เกิดหงุดหงิดขึ้นมา
ไม่ได้ ต้องทำอารมณ์ตัวเองให้เรียบร้อยก่อน หากเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะหาซุนเต้าจั่งไม่เจอแล้วยังจะทำให้ตัวเองเหนื่อยตายอีกด้วย ทุกคนล้วนแต่ดูเหนื่อยล้า ยังไม่ทันได้อะไรก็พบว่าอยู่ในภูเขามาตั้งหนึ่งเดือนแล้ว
หลังจากใบไม้ถูกน้ำค้างแข็งมันก็กลายเป็นสีส้มแดง น้ำค้างแข็งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบไม้ก็เป็นสีแดงขึ้นเรื่อยๆ มองมาจากไกลๆ ราวกับทะเลเพลิงที่แผดเผา
อวิ๋นเยี่ยตั้งค่ายไว้ที่ทางขึ้นภูเขา ที่นี่คือจุดนัดพบที่เขาตกลงกับจั่งซุนชงและหลี่หวยเหรินเอาไว้ หากพรุ่งนี้ยังหาอาจารย์ซุนไม่เจอ พวกเขาก็จะกลับบ้าน อวิ๋นเยี่ยไม่มีเหตุผลที่จะเอาเหล่าลูกเศรษฐีของฉางอันมาขังไว้ที่ภูเขาฉินหลิ่ง
ผู้คนต่างพากันกลับมา จั่งซุนชงกับหลี่หวยเหรินล้วนแต่กลับมามือเปล่า เมื่อคนคนหนึ่งจงใจที่จะหลบเร้นซ่อนตัวออกจากจากผู้คน มันคงยากที่จะหาเขาเจอ เพราะว่าซุนซือเหมี่ยวเกรงกลัวไข้ทรพิษ เขาเชื่ออย่างดื้อรั้นว่าในร่างกายของเขายังมีอะไรที่คล้ายกับแมลงตัวเล็กๆ อยู่ ตามทฤษฎีของเขา วัฏจักรของร่างกายมนุษย์คือกระบวนการที่วนไปมา หากไม่ได้ผ่านกระบวนการหลายๆ ครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่มันจะชำระล้างสารพิษที่ตกค้างออกไปหมด เพื่อความปลอดภัย เขากำหนดระยะเวลามากที่สุดให้ตัวเอง นั่นก็คือครึ่งปี หากไม่ถึงครึ่งปี เขาจะไม่มีทางออกมา นิสัยของเหล้าเต้าอวิ๋นเยี่ยรู้ดีเป็นที่สุด
ชีวิตที่ยากลำบากหนึ่งเดือน ความคึกคะนองของเหล่าลูกเศรษฐีที่มีในตอนมาก็ค่อยๆ จางหายไป ตอนนี้เหตุผลที่ทำให้พวกเขายังคงอยู่ในภูเขาฉินหลิ่งเป็นเพราะว่าไม่มีใครบอกว่าจะกลับบ้าน ทุกคนล้วนแต่กัดฟัน รอให้คนขี้ขลาดปรากฏตัวขึ้นมา ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าชีวิต พวกเขาคิดเช่นนี้มาตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครขอให้สลายกลุ่มเสียที แม้แต่ไฉหลิ่งอู่ที่ท้องไส้ปั่นป่วนมาสามวันแล้วก็ไม่พูดอะไร
คืนนี้พระจันทร์งดงาม ช่างเป็นวันที่ดี ทุกคนต่างพากันซุกตัวอยู่ในผ้าห่มมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย เมฆลอยอยู่ไกลๆ แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือเมฆยังส่งเสียงดังกึกก้องและหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทุกคนเริ่มหวาดกลัว อวิ๋นเยี่ยก็หันไปพูดกับพวกเขาว่า “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นี่คือฝูงนกที่กำลังบินไปตอนใต้ พวกมันไม่กล้าข้ามภูเขาในตอนกลางวัน เพราะที่นี่มีสัตว์ร้ายมากมาย พวกมันจึงเลือกที่จะบินไปตอนกลางคืน ไม่ต้องแปลกใจ บางครั้งนกก็ฉลาด สิ่งที่เจ้าต้องกังวลก็คืออย่าให้ขี้นกตกลงมาใส่เจ้าก็พอ”
มีนกบางตัวโบยบินผ่านหัวของทุกคนไป จากคำพูดของอวิ๋นเยี่ย ทุกคนจึงสงบลง นอนบนพื้นมองดูนกที่บินผ่านหัวของตัวเองไปทีละตัวอย่างรวดเร็ว
มีเสียงกรีดร้องที่แผ่วเบาดังขึ้นมา แล้วยังมีเปลวไฟ นกบางตัวบินตรงเข้าไปยังที่ที่มีแสงสว่าง อวิ๋นเยี่ยได้ยินเช่นนี้ เขาก็ปิดหูแล้วหลับต่อ แต่หลี่เค่อที่อยู่ข้างๆ รู้สึกว่าเขาควรออกไปดู เพราะว่าตัวเองเป็นองค์ชาย
เขาพึ่งจะลุกขึ้นก็ถูกอวิ๋นเยี่ยจับเอาไว้ ยัดเขากลับเข้าไปในผ้าห่มและพูดเบาๆ ว่า “เรื่องภายนอกไม่เกี่ยวอะไรกับเรา”