เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 36 ลาภลอย
ว่ากันว่าพระภิกษุที่มาจากต่างแดนสามารถท่องพระสูตรได้ ในทำนองเดียวกัน กีฬาบอลโปโลก็เป็นเกมที่ชาวทิเบตคิดค้นขึ้น ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมในเมืองฉางอัน ได้ยินจั่งซุนชงที่นั่งอยู่ข้างๆ บอกว่าการกีฬาบอลโปโลในปัจจุบันนี้ยังไม่สมบูรณ์ดี กีฬาบอลโปโลของชาวทิเบตนั้นเป็นการละเล่นที่สนุกโดยแท้จริง ฝ่าบาทบอกว่ากีฬาบอลโปโลสามารถฝึกกังฟูได้อย่างรวดเร็ว ที่บ้านจะต้องมีสักหนึ่งกลุ่มผู้เล่น แต่คนจากสำนักศึกษาของตัวเองพวกนี้ชื่นชอบฟุตบอลมากกว่า ส่วนการมายังสนามบอลโปโลก็เพื่อความสนุกเท่านั้น
คนที่เชื่อคำพูดของจั่งซุนชงมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ หากหลี่หวยเหรินและเฉิงฉู่มั่วบอกว่าชอบฟุตบอล ตัวเองก็จะเชื่ออย่างแน่นอน หากจั่งซุนชงบอกว่าชอบฟุตบอลคงเชื่ออะไรไม่ได้ คนที่พึ่งจะขึ้นสนามก็ถูกอวี้ฉือจอมโง่ชนจนเลือดกำเดาไหล ถึงกับเอามีดออกมาขู่ว่าจะฆ่าล้างโคตร สุดท้ายก็ถูกอวี้ฉือจอมโง่อัดเข้าไปเต็มๆ คนแบบนี้ยังจะชื่นชอบฟุตบอลอย่างนั้นหรือ
อวิ๋นเยี่ยมองดูม้าที่วิ่งไปวิ่งมาในสนาม รู้สึกขึ้นมาว่าไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว ก็แค่อาศัยม้าศึกและคนที่ชำนาญการเล่นมารังแกคนที่ฝีมืออ่อนกว่าตัวเอง แต่ละคนใส่ชุดเกราะหนังดูสง่าราวกับวีรบุรุษ เอาแต่ร้องเรียกความสนใจจากผู้หญิงที่ข้างอัฒจันทร์ แสดงท่าทางกล้าหาญเพื่อดึงดูดเสียงกรีดร้องของผู้หญิง
“อวิ๋นเยี่ย กีฬาบอลโปโลเป็นสิ่งที่มีสำหรับคนรวยอย่างเราโดยเฉพาะ เจ้าดูสิ ม้าเขียวงามสง่าคู่กับผู้ชายที่สง่างาม ในมือถือไม้ตีลูกบอลโปโล อวดความเก่งกล้าของผู้ชาย การแข่งขันเช่นนี้หาได้น้อยนัก”
“ข้าเห็นชาวทิเบตเหล่านั้นยืนแลบลิ้นอยู่ ไม่รักษาภาพพจน์เอาเสียเลย จั่งซุนชง เจ้าแสดงฝีมือสักหน่อยดีหรือไม่ สั่งสอนให้พวกเขารู้ว่าไม่ควรดูหมิ่นกีฬาบอลโปโลของต้าถัง”
จั่งซุนชงมองไปตามทิศทางที่นิ้วของอวิ๋นเยี่ยชี้ไป นั่งลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าเป็นถึงคนมียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่จำเป็นต้องถือสาพวกคนไร้อารยธรรม พวกเขาจะไปเข้าใจอะไรล่ะ”
อวิ๋นเยี่ยตบที่ไหล่จั่งซุนชงแล้วพูดว่า “กีฬาบอลโปโลเป็นการละเล่นของบ้านเขา ต้าถังเลียนแบบได้ไม่เหมือนหรอก พวกเจ้าเล่นกันแย่ขนาดนี้ยังจะไม่ยอมให้เขาดูถูกอีกหรือ บอกตามตรงข้าเองก็อยากจะอ้วก” หลังพูดจบเขาก็ทิ้งจั่งซุนชงที่กำลังโกรธแค้นแล้วไปหาภรรยาของตัวเอง ซินเย่วเป็นคนเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นผู้ชายเหล่านั้นคำนับตัวเองก็รีบเอาปิ่นปักผมบนหัวโยนทิ้งไป แต่ว่าปิ่นที่นางโยนทิ้งเป็นของน่ารื่อมู่
ผู้หญิงก็มักจะเป็นเช่นนี้ มือไม้สั่นโยนเครื่องประดับทิ้งไปทั่ว บางคนก็โยนผ้าเช็ดหน้า ไม่รู้ว่าผู้หญิงบ้านไหนเป็นคนทำ คาดว่าเมื่อกลับถึงบ้านคงจะต้องโดนลงโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อน่ารื่อมู่เห็นอวิ๋นเยี่ยก็รีบเข้าไปฟ้องบอกว่าซินเย่วทิ้งปิ่นปักผมที่นางชอบที่สุดไป อ้อนอวิ๋นเยี่ยให้ลงโทษซินเย่ว ต้องชดใช้ให้นางสองอันและต้องเป็นอัญมณีทั้งสองอันด้วย ห้ามเอาทองคำมาหลอกนาง
อวิ่นเยี่ยจับมือน่ารื่อมู่แล้วพูดปลอบใจนางว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะไปเอาคืนมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้ ยังเคารพกฎระเบียบกันอยู่หรือไม่ ปิ่นที่โยนทิ้งไปก็ยังมีคนเก็บ รออยู่ตรงนี้ก่อน” เมื่อพูดจบก็จะเดินลงไปในสนามเพื่อเอาปิ่นคืนมา
ซินเย่วลากอวิ๋นเยี่ยไว้อย่างสุดแรงเพื่อไม่ให้เขาไป เพราะหากลงไปพรุ่งนี้ตระกูลอวิ๋นคงไม่มีใครรอด คงรู้ไปทั่วทั้งฉางอันว่าตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลโกงที่มีรางวัลนำจับ
“หากครั้งหน้าเจ้าแกล้งน่ารื่อมู่อีก ข้าจะทำเช่นนี้แน่นอน อย่างไรเสียข้าก็เป็นวายร้ายแห่งฉางอัน ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว อย่างมากก็เรียกข้าว่าวายร้ายแห่งต้าถัง”
น่ารื่อมู่ที่พิงไหล่ของอวิ๋นเยี่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เราไม่ควรคาดหวังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับผู้หญิงที่ชอบเก็บลูกวัวลูกแกะของคนอื่น ในฉ่าวหยวนนั้นศักดิ์ศรีไม่มีค่าเทียบเท่าเงิน
ไม้ตายนี้ได้ไปโดนจุดอ่อนของซินเย่ว นางเป็นผู้หญิงที่เห็นศักดิ์ศรีสำคัญกว่าชีวิต ในความคิดของนาง ตัวเองมีชีวิตอยู่ก็เพื่อศักดิ์ศรี หากอวิ๋นเยี่ยทำเช่นนั้นจริงๆ นางอาจจะกระโดดลงไปในบ่อน้ำด้วยความอับอาย
ระหว่างทางนั่งรถม้ากลับบ้าน บังเอิญได้ผ่านร้านเจินเป่าเก๋อ น่ารื่อมู่สนใจตัวอักษรสีทองสามตัวที่หน้าประตูเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าต้องมีปิ่นปักผมที่ตัวเองชอบอย่างแน่นอน ฉวยโอกาสตอนนี้ที่ท่านพี่อยู่ด้วยเลือกปิ่นปักผมสักสองอัน เอาให้ซินเย่วกระอักเลือดไปเลย
“ไม่ได้ หากอยากได้ปิ่นปักผมกลับบ้านไปข้าจะเอาให้เจ้า ของที่ร้านเจินเป่าเก๋อชอบเพิ่มราคา ของราคาหนึ่งเหรียญที่นี่ก็ขายสิบเหรียญ ขึ้นชื่อว่าโก่งราคา พวกเราจะไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้ หากอยากได้ปิ่นปักผมข้าจะกลับไปเอาจากห้องเก็บสมบัติให้เจ้า เลือกอันที่อัญมณีก้อนใหญ่มาให้” ที่บ้านยังมีอัญมณีดีๆ ที่ได้กลับมาจากหลิ่งหนาน ซินเย่วไม่ต้องการให้น่ารื่อมู่ใช้เงินฟุ่มเฟือย มองดูน่ารื่อมู่เปรียบเทียบขนาดความเล็กใหญ่ของอัญมณี อวิ๋นเยี่ยหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน ไม่รู้ว่าอัญมณีขนาดเท่าผลวอลนัทจะไปติดอยู่บนปิ่นปักผมได้อย่างไร
พึ่งจะออกรถไปได้ไม่เท่าไร สายตาของอวิ๋นเยี่ยก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่าง แผ่นสีขาวเล็กๆ สองแผ่นตกลงมาจากฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงสั่งให้หยุดรถม้า ตัวเองกระโดดลงไปหยิบแผ่นสีขาวที่อยู่บนพื้นมาดูอย่างละเอียด ลองใช้มือหักดูสักหน่อย จากนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าต่างด้านบนของหอเจินเป่าเก๋อ ออกคำสั่งให้องครักษ์ประจำตระกูลเข้าไปตรวจสอบในหอ
เจินเป่าเก๋อเป็นกิจการของราชวงศ์ จึงเย่อหยิ่งจนเคยตัว เถ้าแก่ใบหน้ายิ้มแย้มมองดูขุนนางเดินเข้ามาในร้านเหมือนสายตาที่มองพ่อแท้ๆ ออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่บอกก็รู้นี่ก็คือแกะอ้วนดีๆ นี่เอง
แต่เมื่อเห็นทหารองครักษ์จำนวนมากเดินเข้ามาจากด้านหลังจึงหุบยิ้มทันที เข้ามาในเจินเป่าเก๋อไม่จำเป็นต้องใช้องครักษ์ นี่คือการค้าขายของราชวงศ์ ไม่มีโจรที่ไหนกล้ามาสร้างปัญหาที่นี่ ขณะกำลังจะเอ่ยปากไล่องครักษ์เหล่านี้ออกไป ท่านชายที่อยู่ด้านหน้าก็ดึงคอเสื้อเขาแล้วถามว่า “ใครอยู่ข้างบนหอ”
“ผู้น้อยไม่สนว่าท่านเป็นใคร ในเมื่อเข้ามาในเจินเป่าเก๋อก็ช่วยทำตัวให้มันโปร่งใสสักหน่อย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาอวดดี” เถ้าแก่ไม่กลัวเลยแม้แต่นิด มองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าท่านชายผู้นี้ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่ธรรมดา แต่ต่อให้ไม่ธรรมดาขนาดไหนก็ไม่ใหญ่โตเกินไปกว่าราชวงศ์ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงไม่กลัวที่จะพูดเกลี้ยกล่อมอวิ๋นเยี่ย
องครักษ์ของเจินเป่าเก๋อพึ่งจะเดินเข้ามาก็ถูกหลิวจิ้นเป่าอัดจนร้องไห้เรียกหาแม่ เถ้าแก่ไม่เชื่อว่าจะมีขุนนางในฉางอันคนไหนที่ไม่รู้ว่าร้านเจินเป๋าเก๋อเป็นของฮองเฮา พวกที่ไม่สนใจราชวงศ์มีอยู่เพียงคนเดียวคือโจรป่า เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็แทบจะฉี่รดกางเกง
พวกโจรป่าเหล่านี้ช่างน่าประหลาด ไม่ได้สนใจสิ่งของมีค่าในร้านเลยแม้แต่นิด ทิ้งสองคนไว้ข้างล่างเพื่อดูลาดเลา ที่เหลือก็ขึ้นไปด้านบนหอทั้งหมด เสียงถีบประตูดังลั่น ดูเหมือนว่าจะไม่ปล่อยไปแม้แต่ห้องเดียว
“ท่านโหว ข้าน้อยหาเจอแล้ว คนที่โยนของลงไปด้านล่างคือนางรำผู้นี้” นางรำผมทองตาฟ้าถูกหลิวจิ้นเป่าดึงผมลากลงมาจากบันได
สำหรับความหยาบคายของหลิวจิ้นเป่า อวิ๋นเยี่ยหมดคำจะพูด ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องมารยาท เขาแบมือออก เผยให้เห็นแผ่นสีขาวสองแผ่นเล็กๆ แล้วถามนางรำว่า “ของสิ่งนี้อยู่ที่ใดกัน”
นางรำตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยถามเช่นนี้ ตัวสั่นแล้วหยิบถุงผ้าใบเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะยื่นให้กับอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยรีบรับมาเปิดถุงแล้วเทออกมา ดมดูสักหน่อย ไม่ผิดไปจริงๆ ของสิ่งนี้ยังไม่ได้ถูกคั่วจนสุก
“ของสิ่งนี้ยังมีอยู่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามหลังจากที่รับถุงผ้าใบเล็กมา
“ไม่มีแล้ว เหลือเพียงเท่านี้ ข้าเอามาจากบ้านเกิด เหลือกินเพียงแค่นี้” นี่คือนางรำที่ดูสูงส่ง พูดภาษาต้าถังได้ หน้าตาดูดี ร้านเจินเป่าเก๋อของเถ้าแก่มีแต่คนหน้าตาดี
อวิ๋นเยี่ยหยิบแท่งทองคำออกมาจากแขนเสื้อส่งให้นางรำแล้วบอกนางว่า “หากเจ้ารู้ว่าใครมีของสิ่งนี้ให้เขาเอามาขายให้ข้าในราคานี้ ข้าคือท่านโหวเขตหลานเถียน”
เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยคือท่านโหว เถ้าแก่ก็เลิกกลัวไปในทันที ยื่นมือออกไปห้ามอวิ๋นเยี่ยที่กำลังเดินออกไปข้างนอกแล้วพูดว่า “ท่านโหว ท่านทำร้ายองครักษ์ของร้านข้า ท่านไม่มีคำอธิบายให้ข้าเลยหรือ”
อวิ๋นเยี่ยยกมือลูบที่หลังหู เมื่อครู่ห้องด้านบนสองสามห้องมีผู้หญิงอยู่หลายคน อายุน้อยที่สุดก็คงยังไม่ถึงสิบขวบ รู้สึกว่าตาแก่นี่ขัดหูขัดตามานานแล้ว หากไม่ใช่เพราะวันนี้อารมณ์ดี วันนี้อย่างไรเสียเขาคงรอดไปไม่ได้แน่ๆ
“เอาเถิด ข้าเป็นเพียงแค่ทาสรับใช้ รอให้เจ้านายของข้ามาถามเจ้า อย่าฉี่ราดกางเกงก็แล้วกัน” เดิมทีอวิ๋นเยี่ยเดินไปถึงประตูร้านแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้จึงได้หันกลับมา ยกเท้าขึ้นมาแล้วถีบเข้าไปที่เป้าของเถ้าแก่อย่างแรง
ในขณะที่เถ้าแก่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด อวิ๋นเยี่ยก็กลับไปขึ้นรถม้า ในขณะที่ซินเย่วและน่ารื่อมู่ต่างมองด้วยความตกใจ อวิ๋นเยี่ยค่อยๆ เปิดถุงผ้านั้นออกอย่างระมัดระวัง ข้างในเต็มไปด้วยเมล็ดฟักทองสีขาว แต่ละเมล็ดอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี ลองนับดูแล้วเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยเมล็ด น่าเสียดายจริงๆ นี่คือของดี ว่ากันว่าหากไม่มีเสบียงอาหารก็สามารถอาศัยฟักทองบรรเทาความหิวได้ เมื่อมีพืชพันธุ์ชนิดนี้ควบคู่กับมันฝรั่ง อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่ายังจะมีเรื่องประหลาดที่ว่าผู้คนกินดินเหนียวเพื่อประทังชีวิตอีก
“ท่านพี่ เจินเป่าเก๋อเป็นของฮองเฮา ท่านทำเกินไปแล้ว” ซินเย่วพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความกังวล น่ารื่อมู่ก็มีท่าทีรู้สึกผิด คิดว่าสิ่งที่ตัวเองอยากได้เป็นต้นเหตุทำให้ท่านพี่ต้องเดือดร้อน
“จะไปรู้ได้อย่างไร แล้วเป็นของฮองเฮาแล้วจะทำไมรึ ต่อให้เป็นของฮ่องเต้ แต่อย่างไรเสียเพื่อของสิ่งนี้ก็ต้องบุกเข้าไปสักตั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ดินหนึ่งหมู่สามารถปลูกฟักทองที่ลูกใหญ่ขนาดนี้ได้เท่าไหร่ ข้าจะบอกให้ว่าฟักทองสามารถกินแทนเสบียงอาหารได้” อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมอธิบายกับซินเย่ว ปลอบใจนางไว้ก่อนจะดีกว่า
“ท่านพี่ หากเป็นเสบียงอาหารใหม่ท่านอาจจะไม่ได้รับโทษ ไม่แน่อาจจะได้รางวัลด้วยซ้ำ”
ตอนนี้ซินเย่วไม่พูดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่งแล้ว ตำแหน่งของตระกูลตัวเองถือว่าสูงมาก แต่ว่าการต่อสู้เพื่อประเทศในตำแหน่งนี้ยิ่งทำไปนานเท่าใดก็มีแต่จะยิ่งได้หน้า
“แน่นอนว่าเป็นเสบียงอาหารใหม่และได้ผลผลิตดีพอๆ กับมันฝรั่ง ไม่เช่นนั้นท่านพี่เจ้าจะบ้าไปยั่วโมโหไทแรนโนซอรัสตัวเมียอย่างฮองเฮาหรือ ปกติข้าก็หลบนางแทบจะไม่ทัน” เมื่อพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็หอมแก้มซินเย่วกับน่ารื่อมู่คนละที โอบภรรยาทั้งสองคนแล้วพูดต่อว่า “พวกเจ้าช่างมีวาสนาโชคชะตาของผู้หญิงร่ำรวยอย่างแท้จริง แค่ออกมาดูกีฬาบอลโปโลก็ยังได้ผลงานชิ้นใหญ่” ภรรยาทั้งสองดีใจขึ้นมาในทันที ทั้งสามนั่งหยอกล้อกันอยู่ในรถม้าขณะเดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุข
เหลืออยู่เพียงแค่สิบเมล็ดเท่านั้น เมล็ดฟักทองที่เหลือทั้งหมดถูกอวิ๋นเยี่ยเก็บไว้ในกล่องไม้ขนาดเล็กอย่างระมัดระวัง ให้หลิวจิ้นเป่าขี่ม้าเร็วส่งไปที่หมู่บ้าน ให้ท่านย่าเอาไปไว้ที่ห้องใต้ดิน เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าก็จะปลูกทันที
กลับถึงบ้านได้ไม่นาน ที่ตลาดฉางอันก็มีเรื่องราวเล่าลือกันว่าท่านโหวเขตหลานเถียนแย่งขนมจากนางรำอยู่กลางถนน หลังจากที่ถูกคนไม่หวังดีพูดใส่สีตีไข่ ทันใดนั้นก็แต่งเติมออกไปมากมายหลายรูปแบบกระจายกันไปตามท้องถนน
“ท่านโหวเขตหลานเถียนนับว่าเป็นวีรบุรุษหนุ่ม เหตุใดจึงมีนิสัยเช่นนี้ เมื่อต้นปีก็แย่งชิงแตงกวา ตอนนี้ก็พัฒนามาแย่งขนม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การ ข้าได้ยินมาว่านี่คือโรคชนิดหนึ่งที่จะเป็นเฉพาะคนรวยเท่านั้น โรคนี้ต้องรักษา”
“ข้าได้ยินมาว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรนางรำแม้แต่นิด ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ร้านเจินเป่าเก๋อดิ้นสุดชีวิตจึงหลุดมาจากปากเสือได้ แต่ว่าก็โดนกระแทกเข้าที่เป้าอย่างแรง ไม่รู้ว่าท่านโหวเห็นอะไรในตัวเถ้าแก่…”
เมื่อได้ยินข่าวลือเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะ ไม่ได้นึกสนใจอะไร แต่ว่าเมื่อมีคนรับใช้มาเล่าให้ฟังเขาก็ไม่สามารถมองอยู่เฉยๆ ได้ ฮองเฮาต้องการจะรักษาโรคให้แก่ลูกศิษย์ของตัวเอง ได้ยินมาว่าเตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อมแล้ว คนรับใช้บอกว่าวิธีการรักษานั้นทุกข์ทรมานอย่างมาก