เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 4 เยี่ยมเยียนนักปราชญ์
เหย่าเหนียงไม่เข้าใจ เมื่อครู่นางยังเป็นเพียงแค่นางรำที่อยู่ภายใต้อำนาจของตัวเอง แต่ทำไมเพียงแค่ครู่เดียวตอนนี้กลับกลายเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาไปแล้ว ในสถานะทั้งสองอย่างนี้อันหนึ่งดูต้อยต่ำ อีกอันหนึ่งดูสูงส่ง อาจารย์ของสำนักศึกษาไม่ใช่บุคคลที่หอเอี้ยนไหลโหลวจะไปยุ่งได้ ใบหน้าอวบเต็มไปด้วยรอยยิ้มชดเชยความผิดที่มีต่อไฮปาเทียอย่างระมัดระวัง หวังแค่ว่าผู้หญิงชาวหูผู้นี้จะไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากใจมากนัก
“จะว่าไปแล้วเจ้าก็เป็นผู้หญิงที่จิตใจดีคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ดีกับพวกเรานัก แต่ในตอนที่พวกเราหิวโหยเจ้าก็ให้อาหารพวกเรากิน ดังนั้นข้าขอขอบคุณเจ้า เหย่าเหนียง”
ไฮปาเทียจับมือเหย่าเหนียงแล้วพูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนกระทั่งเหย่าเหนียงแน่ใจว่าไฮปาเทียไม่ได้พูดประชดจึงได้ปล่อยมือ อวิ๋นเยี่ยเทเหล้าองุ่นในถ้วยยื่นให้ไฮปาเทียแล้วพูดว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะต้องทำงานร่วมกัน ในสำนักศึกษามีผู้อาวุโสมากมาย พวกเขาได้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ในขอบเขตการวิจัยด้านวิชาการ หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมมือกันอย่างมีความสุข”
ไฮปาเทียรับจอกเหล้ามาดื่มจนหมดแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีที่ข้าเข้ามาในสำนักศึกษาก็เพื่อเตรียมตัวที่จะเรียนรู้และเผยแพร่ความรู้ไปด้วย ขอบคุณที่ให้โอกาสข้า”
อวิ๋นเยี่ยหยิบถุงใส่ทองคำออกมาจากแขนเสื้อของหลี่หวยเหรินมาวางไว้บนโต๊ะ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือกองทุนสำหรับตำแหน่งของพวกเจ้า พรุ่งนี้เช้าจะมีรถม้าของสำนักศึกษามารับพวกเจ้าที่นี่ ทางสำนักศึกษาจะเป็นผู้จัดที่พักให้ ภูเขาอวี้ซันเป็นสถานที่ที่มีความงดงาม เจ้าจะต้องชอบอย่างแน่นอน”
หลังจากอวิ๋นเยี่ยบอกลาไฮปาเทียก็รู้สึกว่าวันนี้เขามีความสุขมากที่บังเอิญจับนางเงือกตัวใหญ่หนึ่งตัวให้แก่สำนักศึกษาได้ ผู้หญิงคนนี้มีความรู้เกี่ยวกับประเทศจีนและตะวันตก ต่อไปนี้หนังสือที่ได้มาจากตะวันตกเหล่านั้น ในที่สุดก็มีคนแปลที่เชื่อถือได้ หนังสือสองสามเล่มที่ให้เซี่ยวชังเซิงแปลนั้นทำเอาอวิ๋นเยี่ยหงุดหงิดเป็นอย่างมาก มีแต่เรื่องไร้สาระเต็มไปหมด
สี่คนนั้นสลายตัวไปหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยผิวปากเดินลงมาจากหอ เมื่อลงมาถึงชั้นหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ ต้วนหงมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม ทั้งสี่คนนั่งก้มหัวลงไม่พูดอะไรสักคำ เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินลงมาก็พากันชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดกับคนที่อยู่ในห้องโถงว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะเขา เขาต้องการจะมาเยี่ยมนักปราชญ์อะไรก็ไม่รู้ พวกเราจึงต้องมาด้วย”
ได้ยินเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็เกือบจะตกบันได ไอ้พวกนี้ขี้ขลาดเกินไปแล้ว ต้วนหงไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว ต่อให้ข้ายอมรับแล้วจะทำอะไรข้าได้
“พอได้แล้ว พอได้แล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“ไอ้หนุ่ม ถือว่าเจ้ามีความรับผิดชอบ เจ้าหลอกรัชทายาทให้มาที่หอนางโลม ถึงแม้ว่ารัชทายาทจะบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ว่าโทษครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก อวิ๋นเยี่ย เจ้าจะรับผิดอย่างไรดี”
นี่คือเสียงของหลี่ซื่อหมิน เขามาทำอะไรที่หอนางโลม หรือว่าเขาก็มาหานางรำ เดินลงมาจากหอสองสามก้าวจึงได้เห็นว่าที่ห้องโถงด้านในเต็มไปด้วยขุนนางที่มีชื่อเสียงและแม่ทัพผู้กล้าหาญ หลี่ซื่อหมิน หลี่จิ้ง หลี่จี หลี่เซี่ยวกง หลี่เต้าจง ฉินฉยง อวี้ฉือกง เฉิงเหย่าจิน หนิวจิ้นต๋า เซวียว่านเช่อ เซวียว่านเหริน แล้วยังมีไฉเซ่าและจางกงจิ่นที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้วก็อยู่ที่นี่ด้วย รวมถึงยังมีจั่งซุนอู๋จี้ที่นั่งหน้าบึ้งอยู่นอกห้องโถง คนที่ทนดูเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ไหวอย่างฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย และเว่ยเจิง ส่วนหวังกุยก็กำลังนั่งมองความทุกข์ของคนอื่นอย่างมีความสุข มากันเยอะขนาดนี้สามารถเปิดประชุมราชสำนักได้เลย พวกเขาแค่มาหานางรำเช่นนั้นหรือ
“กราบทูลฝ่าบาท ที่กระหม่อมพารัชทายาทมายังหอนางโลม ความจริงแล้วก็เพื่อเลียนแบบเรื่องราวของขุนนางสมัยก่อน ที่ว่ากันว่าซุนซูอ๋าวยิ่งใหญ่เหนือมหาสมุทร ไป๋หลี่ซีร่ำรวยสุดในตลาด เจียวเก๋ออยู่เหนือบรรดาช่างก่อสร้างทั้งหลาย ที่กระหม่อมพารัชทายาทมายังหอนางโลมแห่งนี้ก็เพียงเพื่อเลียนแบบนักปราชญ์ ข้ามีความผิดอันใด เหตุใดต้องรับโทษ”
หลี่ซื่อหมินพึ่งจะดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งอึกก็พ่นเหล้าออกมาทันที ตู้หรูฮุ่ยชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดด้วยความตกใจว่า “เจ้าเอานักปราชญ์โบราณมาเปรียบเทียบกับนางรำหรือ” เขากำลังกังวลว่าตัวเองฟังผิดไปหรือไม่
เฉิงเหย่าจินยกนิ้วโป้งให้อวิ๋นเยี่ย ไม่ว่าอย่างไรคนที่ใช้เหตุผลรับมือกับปัญหานับว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่ง จั่งซุนอู๋จี้ตบไปที่ท้ายทอยของจั่งซุนชงด้วยความโกรธเคือง “ไอ้ลูกอกตัญญู ยังไม่รีบบอกความจริงมาอีก”
“ท่านพ่อ พวกเรามาเยี่ยมนักปราชญ์จริงๆ เดิมทีว่าจะดื่มเหล้าชั้นดีอยู่ที่ป่าอวี้ซัน แต่ทันใดนั้นก็ได้เห็นว่ามีรุ้งกินน้ำสีขาวพาดข้ามดวงอาทิตย์ พวกเราจึงคิดว่ามีนักปราชญ์มาที่นี่ ดังนั้นจึงรีบขึ้นรถม้าแล้วมาที่หอเอี้ยนไหลโหลว”
หลี่ซื่อหมินหัวเราะเหมือนนกฮูก เสียงแสบหูไม่น่าฟัง เมื่อหัวเราะเสร็จก็เอ่ยว่า “เฉิงเฉียน เจ้าไม่ได้ฝันถึงหมีขาวด้วยหรอกหรือ”
หลี่เฉิงเฉียนไปต่อไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ซื่อหมิน ขี้ขลาดราวกับลูกแกะตัวน้อย หากให้เขาพูดต่อต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ อวิ๋นเยี่ยจึงพูดแทรกว่า “ฝ่าบาท ท่านพูดเสมอว่าต้าถังของเราจะไม่ยอมปล่อยให้นักปราชญ์ตกอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ในเมื่อวันนี้บังเอิญมาเจอกัน ข้าว่าฝ่าบาทไปพบนักปราชญ์ผู้นี้ดีหรือไม่ รับรองได้เลยว่าเมื่อท่านได้เจอแล้วจะไม่โทษพวกเราแน่นอน” เวลาผู้ใหญ่มาเดินในที่แบบนี้ก็มักจะเป็นเช่นนี้ พาขุนนางและแม่ทัพมาทั้งราชสำนักมาเพื่อจับกุมตัวโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะขายหน้าหรือไม่
“อย่างนั้นหรือ ในเมื่อพูดเช่นนี้ เราก็ขอเจอนักปราชญ์สักหน่อย เผื่อเวลาลงโทษเจ้าจะได้ไม่ต้องบอกว่าเราไม่สั่งสอนเอาแต่ลงโทษ วันนี้เรามีงานเลี้ยงกับข้าราชบริพาร จือเจี๋ยบอกว่าอาหารในวังไม่อร่อยเท่าร้านเขา ดังนั้นเราจึงย้ายมาที่ร้านอาหาร คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเห็นรถม้าของรัชทายาทอยู่ที่หอนางโลม เราประหลาดใจมาก อยากรู้ว่าทำไมรัชทายาทไม่อยู่ที่ภูเขาอวี้ซันแต่มาอยู่ที่หอนางโลม เป็นครั้งแรกที่เห็นว่ารัชทายาทหลอกเรา อวิ๋นเยี่ย หากนักปราชญ์ที่เจ้าพูดถึงไม่ปราดเปรื่องพอ พวกเจ้าห้าคนจะถูกไม้กระดานตีหนึ่งพันครั้ง ใครก็อย่าได้คิดหนีเด็ดขาด”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยหันกลับไปก็เห็นไฮปาเทียยืนอยู่ด้านบนสุดของบันไดแล้วมองมาที่อวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจ สาวอวบอย่างเหย่าเหนียงก็ตกใจจนแทบจะยืนไม่อยู่ กระโปรงเปียกไปหมดแล้ว
เมื่อเดินขึ้นมาบนหอก็พูดกับไฮปาเทียเบาๆ ว่า “ชีวิตของพวกข้าขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว คนที่อยู่ข้างล่างหอคือฝ่าบาท เมื่อสักครู่นี้หนึ่งในพวกข้าคือรัชทายาท ฝ่าบาทโกรธเคืองมากที่รัชทายาทมาเดินเล่นในหอนางโลม พวกเราบอกไปว่าเรามาเยี่ยมเยียนนักปราชญ์ จำไว้ให้ดี เจ้าก็คือนักปราชญ์ผู้นั้น”
ไฮปาเทียพูดด้วยท่าทางไร้เดียงสาว่า “เดิมทีพวกเจ้าก็มาหานางรำแล้วบังเอิญได้เจอกับข้าเท่านั้น ทำไมข้าต้องช่วยพวกเจ้า แต่ว่าก็ใช่ว่าจะช่วยพวกเจ้าไม่ได้ ข้าต้องการให้ข้าตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกสามในสิบส่วน แล้วก็ต้องการบ้านหลังใหญ่แยกออกมา มิเช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกัน”
“ข้าพึ่งค้นพบว่าคนที่เรียนคณิตศาสตร์รวมไปถึงข้าด้วย ไม่มีคนดีเลยสักคน วางแผนเก่งเกินไปแล้ว ชำนาญด้านความเจ้าเล่ห์ แต่ช่างเถิด ข้าตอบตกลงทั้งหมด เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกสามในสิบส่วน บ้านแยกออกมาอีกหนึ่งหลัง ไม่มีปัญหา จริงสิเจ้าคงไม่ได้กลัวการต้องเผชิญหน้ากับฝ่าบาทใช่หรือไม่”
“ข้าเคยเจอฮ่องเต้มาสองสามพระองค์ ทั้งแก่ทั้งโง่แล้วก็มักมากในกาม ฮ่องเต้ของพวกเจ้าคงไม่เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่”
“เจ้าลองเอาฮ่องเต้ที่ทรงพลังที่สุดที่เจ้าเคยเจอคูณสิบเข้าไป ก็จะเท่ากับฮ่องเต้องค์นี้ที่เจ้าต้องเจอ ข้าไม่สามารถเล่นตุกติกได้เมื่ออยู่ภายใต้อำนาจของเขา” พูดจบก็ลากไฮปาเทียเดินลงบันไดมา
สมแล้วที่เป็นนักปราชญ์ผู้รอบรู้ เมื่อเดินเชิดหน้าลงบันไดมาไม่นานก็หาหลี่ซื่อหมินที่สวมชุดสีเขียวพบ ก้มหัวคำนับแสดงความเคารพแล้วพูดว่า “นักปราชญ์รุ่นที่แปดของสำนักศึกษาไฮปาเทียแห่งอียิปต์ ไฮปาเทียขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
หลี่ซื่อหมินไม่ได้ตอบอะไร ชี้ไปที่ไฮปาเทียแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “นี่หรือคือนักปราชญ์ที่เจ้ากำลังพูดถึง”
อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้วฝ่าบาท นักปราชญ์ผู้นี้เทียบเท่ากับสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนาอิสลามในประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงห้าพันปี มีความคิดที่บริสุทธิ์และรอบรู้ด้านการศึกษา กระหม่อมไม่ได้พูดเกินจริง หากไม่รวมกระหม่อมเป็นหนึ่งในนั้น ผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนไม่มีใครเก่งคณิตศาสตร์เกินนางเลยแม้แต่คนเดียว”
หลี่หวยเหรินรีบพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ท่านดูสิ นางยังเป็นสาวพรหมจรรย์ ซึ่งนั่นรับรองได้ว่าเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเล่นกับนางรำ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยแทบจะอดไม่ได้ที่จะเอาเข็มมาเย็บปากเจ้าโง่ที่พูดคำนั้นออกไป หลี่เซี่ยวกงใบหน้าแดงก่ำ กระทืบไปที่เท้าของลูกชายตัวเอง หลี่หวยเหรินไม่กล้าร้องแสดงความเจ็บปวด จึงทำได้เพียงอดทนอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นว่าเขาถูกลงโทษ ไฮปาเทียที่กำลังโกรธอยู่ก็รู้สึกสงบใจลงได้ แล้วพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาทที่เคารพ เหตุใดจึงดูหมิ่นข้าเพียงเพราะว่าข้าเป็นผู้หญิง ข้าทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเดินทางไปเรียนรู้ความรู้ของทุกประเทศในโลก ดูประเพณีท้องถิ่น จากนั้นก็นำมาเขียนจัดเรียงไว้เป็นเล่มๆ เพื่อสืบทอดให้แก่คนรุ่นหลัง ไม่ให้อารยธรรมที่พวกเราลงมือร่วมสร้างกันมาต้องสูญหาย การทำงานของข้าในด้านนี้ ขอให้ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีเมตตา ผู้ปราดเปรื่อง ผู้รู้แจ้ง ให้ข้าได้ศึกษาวัฒนธรรมของต้าถังด้วยความอุ่นใจภายใต้บารมีของท่าน และถือโอกาสสอนอารยธรรมอียิปต์ให้แก่ลูกศิษย์ต้าถัง”
อวิ๋นเยี่ยพอใจกับคำพูดของไฮปาเทียอย่างมากจนไม่มีอะไรจะพูดเสริม พึ่งจะได้พบเจอเพียงครู่เดียวก็มองออกแล้วว่าหลี่ซื่อหมินชอบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ชอบถูกยกยอไม่มีใครเกิน
ใบหน้าตึงเครียดของหลี่ซื่อหมินเริ่มผ่อนคลายลง จากคำพูดไม่กี่คำนี้ทำให้เขาได้เห็นแล้วว่าไฮปาเทียไม่ใช่นางรำ จากสายตาที่ร้ายกาจของเขาก็สามารถมองออกได้นานแล้วว่าผู้หญิงชาวหูผู้นี้เป็นสาวพรหมจรรย์ที่หาได้ยากในกลุ่มของชาวหู โดยเฉพาะใบหน้าที่สวยเหมือนนางฟ้า ท่าทางสง่างาม อวิ๋นเยี่ยบอกว่าคนคนนี้เป็นนักคณิตศาสตร์ ก็คงไม่ได้แย่อะไร คิดถึงโจทย์คณิตศาสตร์ที่ตัวเองตั้งขึ้นมาที่หลี่อั้นและหลี่โย่วแก้โจทย์ได้อย่างง่ายดายจึงตัดสินใจถามเรื่องที่ตัวเองเชี่ยวชาญแทน อย่างพวกเรื่องการเมือง การทหาร และสังคม หลี่จิ้งได้พูดแทรกขึ้นถามคำถามเกี่ยวกับองค์ประกอบของกองทัพตะวันตก ฝางเสวียนหลิงเองก็มาร่วมสนุกเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบกฎหมายของตะวันตก
ไฮปาเทียไม่ได้ปฏิเสธที่จะพูดคุย อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะค้นพบว่าผู้หญิงคนนี้มีความรู้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง ไม่ได้รู้แค่วิชาคณิตศาสตร์เท่านั้น ทว่ามีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับมนุษย์ศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การทหาร กฎหมาย ศาสนา และอำนาจของราชวงศ์อียิปต์อีกด้วย
ความยิ่งใหญ่ของพีระมิดทำให้ทุกคนชื่นชม ความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำไนล์ทำให้ผู้คนหลงใหล วิธีการของกองทัพมาเกโดเนียทำให้หลี่จิ้ง หลี่จี และแม่ทัพคนอื่นๆ ก้มหน้าลงเพื่อไตร่ตรองว่าพวกเขาควรต่อสู้อย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูดังกล่าว กฎหลักการทางกฎหมายของมูราบีที่ใช้มาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันทำให้ฝางเสวียนหลิงและคนอื่นๆ พากันส่ายหน้า เมื่อไฮปาเทียพูดถึงสิ่งที่ไฮปาเทียในรุ่นแรกต้องเจอ หลี่ซื่อหมินก็เอามือตบโต๊ะด้วยความเสียดาย สตรีผู้งดงามที่มีความฉลาดและความงามดั่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพบได้ยากยิ่งในโลกใบนี้กลับได้รับการลงโทษที่เลวร้ายที่สุดในโลก ต้องตายโดยไม่มีที่ฝังศพ เขากล่าวประณามด้วยความโกรธว่านี่เป็นผลมาจากการที่ความไม่รู้อยู่เหนืออารยธรรม
หลี่เฉิงเฉียนเดินเข้าไปหาอวิ๋นเยี่ยด้วยความกังวลและถามขึ้นมาเบาๆ ว่า “เราจะรอดไปได้ใช่หรือไม่ ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
อวิ๋นเยี่ยหยิบองุ่นเข้าปากแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “พวกเจ้าทั้งสี่คนจะจับข้าโยนลงไปในหลุมหรืออย่างไร โชคดีที่ข้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว มิเช่นนั้นคงหนีไม่พ้นการถูกเฆี่ยน ตอนนี้ข้าพึ่งค้นพบว่าที่แท้สหายก็มีไว้ขาย”
“เจ้าฉลาดที่สุดในกลุ่มพวกเรา หากพวกเรายอมรับ ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงกว่าที่เจ้าคิด เจ้าก็คิดหาวิธีได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้ารู้หรือไม่ตอนที่พวกเราสี่คนพึ่งลงมาจากหอแล้วเห็นท่านพ่อนั่งอยู่ที่นั่นแล้วยังมีเหล่าข้าราชบริพารอีกมากมาย พวกข้าตกใจจนฉี่แทบราด โชคดีที่เจ้าไม่อยู่ก็เลยโยนความผิดไปให้เจ้าได้”