เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 48 ความสำเร็จที่ไม่แน่นอน
เมื่อจิตใจของคนและสังคมเริ่มแยกออกจากกัน ปัญหาก็จะตามมา คนที่ล้าหลังในสังคมมักจะถูกมองว่าเป็นคนโง่ แล้วคนเหล่านี้ที่นำหน้าสังคมล่ะ โดยทั่วไปเรามักจะเรียกพวกเขาว่านักบุญหรือไม่ก็คนบ้า
อวิ๋นเยี่ยยอมรับว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการยกย่องจากทุกคนว่าเป็นนักบุญ และแน่นอนว่ามันไม่สนุกเลยที่จะถูกทุกคนมองว่าเป็นคนบ้า ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาพยายามอย่างหนักเพื่อขยายข้อจำกัดความคิดของตัวเอง เมื่อมีคนฉลาดจำนวนมากที่มีฝีมือเหนือผู้อื่น เมื่อถึงเวลานั้นหากมีคนที่แตกต่างกับตัวเองโผล่มาอีกสักคนหนึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรแล้ว
เรื่องที่ชอบทำมากที่สุดคือการจุดไฟจากนั้นก็วิ่งหนีไป และสุดท้ายก็ซ่อนตัวในฝูงชนแล้วพูดถึงขนาดของกองไฟกับทุกคน บางทีอาจจะต้องคุยกันเรื่องวิธีดับไฟ เมื่อยืนอยู่ในที่โล่งตอนกลางวันแสกๆ แล้วป่าวประกาศว่าตัวเองนี่แหละเป็นคนจุดไฟ คนพวกนี้มักจะมีจุดจบไม่ค่อยดีเท่าไร อย่างเช่นซางยัง[1]และฉาวชั่ว [2]คนหนึ่งรถพัง อีกคนเอวหัก ทำเอาเดือดร้อนกันทั้งบ้าน สุดท้ายผู้ที่จุดไฟแล้วลงเอยด้วยการตายไปตามธรรมชาติดูเหมือนว่าจะมีเพียงหวังอานสือ[3]คนเดียว แน่นอนว่ารวมถึงจางจวีเจิ้ง[4]ด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากที่เขาตาย ทั้งครอบครัวก็ล้มลง แม่ของเขาต้องอดอาหารตาย
ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงตัดสินใจที่จะจุดไฟด้วยตัวเอง ไม่สนใจว่าผลจะเป็นอย่างไร ดูจากผลที่ตามมาในช่วงไม่กี่ปีนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เลวเลยทีเดียว ความสามารถในการซึมซับและผสมผสานของชาวต้าถังนั้นน่าทึ่งมาก ชอบบทเพลงฉิวฉือ ชอบการร้องเพลงและระบำของชาวทะเลทราย ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมชาวต้าถังต่างก็ชอบทั้งนั้น หลังจากที่เอามาดัดแปลงก็ได้กลายเป็นของชาวต้าถัง หากใครกล้าพูดว่าไม่ใช่ก็จะถูกหลี่ซื่อหมินตัดหัว
อวิ๋นเยี่ยชอบยุคที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงยินดีกับการปกครองของหลี่ซื่อหมิน การเชื่อฟังก็ดี สรรเสริญเยินยอก็ดี นี่คือสิ่งที่เขาเคารพในตัวผู้นำที่แข็งแกร่งจากใจจริง ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะเหมาะเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ในชาติก่อนยังนึกอิจฉาทายาทข้าราชการรุ่นที่สองเป็นอย่างมาก รับช่วงต่อจากพ่อที่จากไปเร็วทั้งที่ยังไม่ทันได้สมปรารถนา เมื่อมายังต้าถัง ตัวเองกลับได้เป็นข้าราชการรุ่นแรก เขาแค่อยากจะให้ครอบครัวสืบทอดต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ถือสาหากอีกหนึ่งพันห้าร้อยปีแผ่นดินนี้จะยังคงมีเจ้าของเป็นคนแซ่หลี่
ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยรู้เลยว่าการเมืองคืออะไร เห็นเพียงแต่ว่าได้เปลี่ยนผู้นำไปคนแล้วคนเล่า คิดอย่างโง่เขลาว่าการเมืองเป็นการสืบทอดอำนาจ แต่ว่าสืบทอดอำนาจอย่างไรนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นแต่ว่าคนที่อยู่บนโต๊ะนั้นแต่ละคนต่างมีใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางใจดี คิดว่าพวกเขาต่างมีความสุข
ตอนนี้เมื่อเฮ่อเทียนซังไม่มีอะไรทำก็จะชอบมาที่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อขอดื่มน้ำชา แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะให้ใบชาเขาเพียงพอสำหรับดื่มเป็นเวลาหนึ่งปีแต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนนิสัยนี้ ดูเหมือนว่าหลังจากที่พบกันครั้งที่แล้วเขาก็ถือว่าตัวเองเป็นเพื่อนของอวิ๋นเยี่ยไปโดยปริยาย มาดื่มชาก็ไม่ได้มามือเปล่า ทุกครั้งจะนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ติดมาด้วย หรือบางครั้งก็เป็นขนมเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งก็เป็นกระต่ายป่าที่ถูกหักคอ อวิ๋นเยี่ยคิดว่านี่เป็นนิสัยที่ดีที่ควรพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนฉิวหรันเค่อที่เมื่อมาถึงก็เอาแต่ร้องตะโกนจะกินเหล้าตลอดเวลา เมื่อดื่มเสร็จก็พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็มักจะต้องให้รถม้าตระกูลอวิ๋นส่งเขากลับไปที่จวนของหลี่จิ้ง
“คราวที่แล้วได้ยินเกี่ยวกับทฤษฎีโดมิโนของอวิ๋นโหว ข้าน้อยกลับไปคิดอยู่นาน พบว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก สิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ มักจะมาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เพื่อปกปิดเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ พวกเราต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่กว่าเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อื่น ในปัญหามักจะมีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เสมอ พวกเราไม่สามารถปิดบังได้ตลอดไป ดังนั้นการฆ่าคนและการก่ออาชญากรรมจึงไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวมีแผนการที่ดีในการแก้ปัญหาเล็กน้อยเหล่านี้หรือไม่”
“ไม่มีทาง การปกปิดและหาข้อแก้ตัวเป็นนิสัยของทุกคนอยู่แล้ว คิดเสมอว่าสิ่งเล็กน้อยจะถูกปกปิดไว้ได้ ใครจะรู้ว่ากลับกลายเป็นล้มเหลว ยิ่งคนที่ฉลาดก็ยิ่งอยากเล่นกล แสดงความโง่เขลาของตัวเองต่อพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเหตุนี้เราจึงถูกเรียกว่ามนุษย์ และเราต้องบูชาบรรพบุรุษหรือพระพุทธเจ้า รวมไปถึงเทพต่างๆ”
“ผู้น้อยน้อมรับคำสั่งสอน ว่าแต่ว่าจี้หยกของท่านจนมาถึงตอนนี้ได้พรากชีวิตคนไปมากกว่าห้าสิบคนแล้ว ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวมีความคิดเห็นอย่างไร” เฮ่อเทียนซังยกมือคำนับขอคำแนะนำ
“พวกขโมยคิดจะขโมยของ ใครจะไปห้ามได้ เรื่องนี้ต้องโทษสายตรวจรักษาความปลอดภัยของสถานที่อย่างเจ้า ไม่ยอมตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เป็นเจ้าที่บกพร่องในหน้าที่”
เมื่อพูดจบทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะ เฮ่อเทียนซังหัวเราะแล้วพูดว่า “ทำไมผู้น้อยจึงมีความรู้สึกว่าอวิ๋นโหวกำลังรอดูเรื่องตลกอยู่เสมอ คนในครอบครัวท่านหลังจากที่ในตอนแรกกังวลกับการหาตัวซ่านอิง ตอนนี้ครอบครัวของท่านก็กลับมาสู่ชีวิตที่สงบสุขทันที ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องชื่นชมความสามารถที่เหนือชั้นของอวิ๋นโหวที่ไม่ถูกสิ่งภายนอกทำให้ต้องสั่นคลอน บางทีผู้น้อยอาจจะคิดมากไป”
“เจ้าไม่ได้คิดมากไปหรอก ความคิดเห็นของเจ้านั้นแม่นยำมาก ข้ากำลังดูการแสดงของลิง ตระกูลขุนนางทั้งฉางอันกำลังทำการแสดงให้ข้าดู ข้าจะไม่ดูได้อย่างไร จี้หยกอยู่ในมือข้าเป็นเวลานานที่สุด แต่ข้าก็ไม่สามารถไขปริศนาของมันได้ บางทีคนอื่นอาจจะมีวิธี การที่ไขปริศนาด้านในไม่ได้ สำหรับข้าแล้วจี้หยกชิ้นนั้นก็เป็นเพียงแค่แผ่นหยกธรรมดาเท่านั้น ถึงแม้ตระกูลข้าจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็ไม่ได้เห็นจี้หยกอยู่ในสายตา ดังนั้นข้าสามารถนั่งอยู่บนหอชมวิวได้ ไม่มีความปรารถนาใดๆ ข้าไม่หวังจะมีชีวิตเป็นอมตะ ข้าแค่หวังว่าจะมีชีวิตที่สบายในชาตินี้ ความฝันที่ต้องการจะมีอายุยืนก็ให้คนอื่นทำไปเถอะ”
เฮ่อเทียนซังพยักหน้า ยกนิ้วโป้งชมความใจกว้างของอวิ๋นเยี่ย ฉิวหรันเค่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำปากขมุบขมิบ ตัวเองพึ่งจะให้จี้หยกอวิ๋นเยี่ยไป ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเพิกเฉยต่อชื่อเสียงและโชคลาภ
“ติงเหยี่ยนผิงช่างเก่งกาจเสียจริง แต่ว่ามีขาเพียงข้างเดียวทำให้ทักษะของเขาลดลงเป็นอย่างมาก ภายใต้การไล่ล่าและสกัดกั้นของคนหนึ่งร้อยคนก็ยังสามารถนำจี้หยกหนีไปถึงเหอเป่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเสียชีวิตอย่างไร” เฮ่อเทียนซังทำท่าทางลึกลับกระซิบกับอวิ๋นเยี่ย
“จะตายอย่างไรล่ะ โหดร้ายสุดก็แค่ศพถูกชำแหละเป็นชิ้นๆ จะเป็นอย่างอื่นไปได้อีกล่ะ” อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าติงเหยี่ยนผิงตายแล้ว เขาตายตั้งแต่ได้จี้หยกไป ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงไม่จำเป็นต้องถาม
“ตอนที่ติงเหยี่ยนผิงกำลังจะตายเขาได้กลืนจี้หยกลงท้องไป จี้หยกนั่นขนาดเท่าฝ่ามือ ไม่รู้ว่าเขากลืนลงไปได้อย่างไร แต่ว่ากลืนลงไปแล้วจะทำไรได้ ก็ถูกคนอื่นผ่าท้องเอาจี้หยกออกมาอยู่ดี แล้วเอาศพไปให้สัตว์ร้ายในถิ่นอันตราย สงสารวีรบุรุษที่จิตใจเกิดความโลภในชั่ววูบทำให้กลายเป็นศพไร้ที่ฝัง ตอนนี้จี้หยกตกไปอยู่ในมือของโจรป่าในเหอเป่ย ผู้น้อยว่าจุดจบของโจรป่าเหล่านั้นคงมาถึงแล้ว”
เฮ่อเทียนซังเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดื่มชาและกินขนมหนึ่งชิ้น ส่งเสียงด้วยความสบายใจแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ผู้น้อยไม่เคยเห็นขนมแบบนี้มาก่อนเลย ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวจะมอบให้เป็นของขวัญได้หรือไม่ ผู้น้อยจะเอากลับไปให้แม่และเด็กที่บ้านลองชิม”
“ไร้ยางอายจริงๆ เจ้าเอาไปตั้งสามครั้งแล้วพึ่งจะมาขอเอาตอนนี้ ถ้าข้าบอกไม่อนุญาตเจ้าก็จะไม่เอาไปอย่างนั้นหรือ แล้วก็มักจะใช้แม่กับลูกมาเป็นข้ออ้างตลอด ทำให้ข้าว่าเจ้าไม่ได้”
เฮ่อเทียนซังนำขนมที่อยู่บนโต๊ะใส่ลงในกล่องอาหารที่ตัวเองนำมาอย่างระมัดระวัง แล้วยังเทลูกอมในจานที่หลานหลิงตั้งใจทำขึ้นมาอีกด้วย จากนั้นปิดฝากล่องแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ผู้น้อยไม่เคยมีนิสัยชอบเอาของคนอื่น เพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งหากมีคนมาขอร้องจะทำให้ยากที่จะปฏิเสธ แต่หากเป็นครอบครัวท่านต่อให้ข้าเอาไปมากแค่ไหนก็ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งใดควรปฏิเสธก็จะปฏิเสธ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด แม่ของข้าท้องไม่ดี แต่ละมื้อกินน้อยมาก มีเพียงขนมเช่นนี้เท่านั้นที่ถูกปากมากที่สุด แล้วข้าจะไม่เอากลับไปได้อย่างไร”
“อย่างนั้นเองหรือ ในเมื่อท่านป้าสุขภาพไม่ดี เช่นนั้นก็ควรจะเอาไปเยอะๆ ของพวกนี้เย็นชืดหมดแล้ว ข้าจะบอกให้คนครัวไปทำมาใหม่ ร่างกายผู้อาวุโสควรจะได้รับการดูแลอย่างดี”
เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดถึงแม่ เฮ่อเทียนซังก็ลุกขึ้นยกมือคำนับด้วยความขอบคุณ จากนั้นก็พูดกับฉิวหรันเค่อที่เอาแต่ดื่มเหล้าว่า “ท่านพระภิกษุ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ารู้ภาษาต่างประเทศใช่หรือไม่”
ฉิวหรันเค่อหัวเราะแล้วพูดประโยคที่ไม่มีใครฟังเข้าใจ จากนั้นตัวเองก็หัวเราะดังลั่นเหมือนได้ใจ
“เขากำลังด่าเจ้า” อวิ๋นเยี่ยนอนราบบนโต๊ะขณะพูดกับเฮ่อเทียนซัง
“ท่านรู้ได้อย่างไร หรือว่าท่านเข้าใจประโยคเหล่านี้” เฮ่อเทียนซังประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ข้าไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าตอนที่ข้าอยู่กับอาจารย์ มีชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มน่ารำคาญเป็นอย่างมาก ข้าเลยด่าเขาเป็นภาษาต้าถัง ด่าไปก็หัวเราะไป ท่าทางเหมือนกับพระภิกษุผู้นี้เปี๊ยบ”
เฮ่อเทียนซังพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกเขาด่าสักสองประโยคก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพียงแค่เขาเข้าใจจริงๆ ก็พอ ถึงจะเป็นลัทธิบูชาไฟก็ช่างเถอะ คนเหล่านี้นับว่าเป็นผู้ที่เคร่งครัดในความศรัทธา แต่ลัทธิมาณีกีนั้นไม่เหมือนกัน คนเหล่านี้มักจะต้องการทำลายระเบียบเก่าเสมอ ตั้งระเบียบใหม่ขึ้นมา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ช้าก็เร็วมันจะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพของต้าถัง ดังนั้นจึงต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม นี่คือความหมายที่ข้าถามท่านเมื่อครู่นี้ ข้ามีป้ายคำสั่งของฝ่าบาทอยู่ในมือ จะทนต่อพวกอันธพาลที่ทำชั่วในประเทศของเราได้อย่างไร”
สำหรับคนที่จงรักภักดีอย่างเฮ่อเทียนซังก็ยังรู้จักการปรับตัว อวิ๋นเยี่ยชื่นชมเป็นอย่างมาก ยกนิ้วโป้งให้เป็นการชื่นชม ทั้งสองคนนั่งมองดูพระที่เมามายไปด้วยกัน
“ก็แค่ฆ่าคนไม่ใช่หรือ ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว ไปกันเดี๋ยวนี้เลย เจ้าอวิ๋น กลอนที่อ่านวันนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ‘ออกจากประตูซีเหมินยามเช้า กลับมาบ้านยามค่ำคืน’ เป็นประโยคที่ดีมาก ไพเราะกว่าบทกวีที่นักปราชญ์ห่วยๆ เหล่านั้นแต่งขึ้นมาเสียอีก พวกเราไปฆ่าให้สนุกกันเถอะ”
เมื่อฉิวหรันเค่ออยู่ในฉางอันก็เหมือนกับจอมยุทธ์ที่ไม่สามารถแสดงฝีมือได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องยั้งมือไว้ กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้หลี่จิ้ง หลายวันมานี้เขาได้รู้สถานการณ์ของหลี่จิ้งเป็นอย่างดี หากอยากจะไป หลี่จิ้งก็คงยากที่จะได้เจอเขาอีก หลี่จิ้งต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ช่วงนี้หงฝูก็ป่วยอีกแล้ว เขาจึงต้องอยู่ที่ฉางอัน ดื่มจนเมาอยู่ที่บ้านตระกูลอวิ๋นทั้งวัน เหมือนเสือนอนอยู่บนเนินเขาที่แห้งแล้ง ตอนนี้ได้ยินเฮ่อเทียนซังชวนเขาไปฆ่าคน มีหรือที่จะไม่ไป
หลังจากส่งสองคนที่บอกว่าจะไปฆ่าคนไปแล้ว เมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับไปที่สวนหลังบ้านก็เห็นไฮปาเทียและซินเย่วนั่งดื่มชาอยู่ใต้ชายคาบ้าน ไฮปาเทียชอบเครื่องดื่มชาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาที่อวิ๋นเยี่ยใส่ดอกมะลิลงไป ไม่รู้ว่าเอาไปจากซินเย่วเท่าไหร่แล้ว
เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินมาก็ยกถ้วยชาตัวเองขึ้นมาเป็นการทักทาย วันนี้นางได้รับเชิญจากซินเย่วให้ไปเที่ยวดูละครเรื่องใหม่ล่าสุดที่ฉางอันด้วยกัน ที่นั่งดื่มชากันในตอนนี้ก็เพื่อฆ่าเวลายามบ่าย
ไม่มีเวลามาสนใจผู้หญิงคนนี้ อวิ๋นเยี่ยหันไปมองดูหอซิ่วโหลของต้ายา ตัดสินใจจะไปสั่งสอนซ่านอิงเสียหน่อย เจ้านี่เอาแต่อยู่ในหอซิ่วโหลของต้ายาไม่ยอมออกไปไหนมาสามวันแล้ว
[1] ซางยัง ขุนนางนักปฏิรูปในสมัยราชวงศ์โจวแต่สุดท้ายถูกประหารชีวิตเพราะมีส่วนทำให้ชนชั้นสูงเสียประโยชน์
[2] ฉาวชั่ว ขุนนางผู้หนึ่งที่มีจุดจบไม่ดีนัก
[3] หวังอานสือ ขุนนางนักปฏิรูปแห่งราชวงศ์ซ่ง
[4] จางจวีเจิ้ง ขุนนางที่วางรากฐานให้สมัยราชวงศ์หมิงรุ่งเรือง