เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 51 การคาดเดาของหลี่ซื่อหมิน
พาอวิ๋นน้อยเดินเล่นไปทั่วเมืองฉางอัน และตอนนี้ลูกชายคนโตของตระกูลอวิ๋นที่ได้รู้จักกับพระชายาของรัชทายาทเป็นที่เรียบร้อย อวิ๋นน้อยผู้เย่อหยิ่งที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยไข่มุกนั่งเล่นของกำนัลที่ตัวเองได้รับอยู่บนรถม้า
เหล่าหนิวกะว่าเมื่อไหว้บรรพบุรุษแล้วจะไปอาศัยอยู่ที่ภูเขาอวี้ซัน ด้วยเหตุนี้อวิ๋นเยี่ยจึงภูมิใจในวิธีการชักชวนของตัวเองเป็นอย่างมาก ชายเฒ่าคนหนึ่งที่ไม่ยอมช่วยคิดว่าจะเอาหลี่ซื่อหมินออกมาจากบ่อโคลนของเกาจู้ลี่ วันๆ เอาแต่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา มันใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน อย่างไรก็ตามหากหลี่ซื่อหมินแพ้ถึงสามครั้ง ก็ไม่น้อยไปกว่าหยางก่วงแม้แต่น้อย หากช่วยได้ก็ควรจะช่วยสักครั้ง ให้มีทหารบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุดจึงจะดี
โลกช่างวุ่นวายจริงๆ ทำไมใครๆ ก็ถือดาบจะไปฆ่าคนปล้นชิงทรัพย์ ยังไม่ทันไปถึงหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันเข้าแล้ว จะมากเกินไปแล้ว นี่เป็นเขตแดนของตระกูลอวิ๋น หากจะฆ่าคนก็ไปเขตแดนของหลี่ซื่อหมิน ที่นั่นไม่มีใครสนใจ อย่ามาฆ่าคนในพื้นที่ตระกูลข้า
หลิวจิ้นเป่าตะโกนเสียงดังแล้วบุกเข้าไปในกลุ่มต่อสู้ สวมชุดเกราะทั้งตัว เก่งกาจกว่าผู้ใด เมื่อเขาบุกเข้าไปในกลางวงก็จะได้ยินเสียงดังแว่วมาว่า “สหายหลิว อวิ๋นโหวให้เจ้ามาช่วยข้าหรือ”
หลิวจิ้นเป่ายืนนิ่ง หลังจากที่ดูอย่างละเอียดอยู่นานจึงได้พบว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือซีถง ภายใต้การโจมตีของหน้าไม้ที่แข็งแกร่งจากองครักษ์ประจำตระกูลอวิ๋น ชายร่างยักษ์เหล่านั้นต่างก็แสดงสีหน้าไม่เต็มใจ
กำชับให้แม่นมดูแลลูกให้ดี จากนั้นอวิ๋นเยี่ยก็ลงไปจากรถม้า มองดูซีถงที่มีเลือดเปื้อนเต็มตัวก็ถึงกับพูดไม่ออก ชายที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดผู้นี้คงได้ยินว่าจี้หยกของอวิ๋นเยี่ยถูกปล้นไปที่เหอเป่ย ดังนั้นจึงคิดอยากจะไปเอากลับมาให้อวิ๋นเยี่ย
ซีถงยิ้มอย่างจริงใจ นำจี้หยกที่เปื้อนเลือดออกมาจากแขนเสื้อของเขา จับเชือกด้านบนจี้หยกแล้วยื่นให้อวิ๋นเยี่ย เหล่าชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่รอบๆ ถอนหายใจพร้อมกัน จี้หยกกลับมาสู่ตระกูลอวิ๋นแล้ว คนอื่นๆ หากคิดอยากจะครอบครองนั้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่ขุนนางธรรมดา แต่ในมือยังมีแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจทางทหาร ผลที่ตามมาของการรุกรานตระกูลอวิ๋นนั้นน่ากลัวเป็นที่สุด แม้แต่ชายสองคนที่แต่งตัวเป็นขันทียืนอยู่ข้างทางก็ยังทำหน้าเศร้า
อวิ๋นเยี่ยโผล่เข้ากอดซีถง รับจี้หยกมาจากมือเขา ยกขึ้นสูงแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ของไร้สาระเช่นนี้ ทำให้ชีวิตสหายข้าต้องเป็นอันตราย ข้าไม่ต้องการ!”
เมื่อพูดเสร็จก็โยนจี้หยกทิ้งเข้าไปในป่าที่อยู่ไกลๆ ชายฉกรรจ์เหล่านั้นไม่สนใจหน้าไม้ที่อยู่รอบๆ อีกแล้ว พากันบุกเข้าไปในป่า หมอบลงกับพื้นเพื่อหาจี้หยก
ซีถงหน้าซีดแต่ก็เปลี่ยนมาปกติอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเยี่ยจูงมือเขาไปที่หน้ารถม้า ให้แม่นมอุ้มอวิ๋นน้อยออกมา อวิ๋นน้อยกล้าหาญมาก เห็นซีถงที่เลือดเต็มตัวก็ไม่รู้สึกกลัว ยื่นมือไปหาอวิ๋นเยี่ยแล้วร้องเรียกพ่อไม่หยุด
อวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกมาไว้ในอ้อมกอดของซีถงแล้วพูดกับเขาว่า “นี่จึงจะเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลเรา ส่วนจี้หยกบ้านั่นไม่คุ้มกับการที่เจ้าต้องไปเสี่ยงอันตราย”
ซีถงเริ่มกังวลว่าคราบเลือดบนร่างกายของตัวเองจะทำให้เสื้อผ้าของอวิ๋นน้อยเปื้อน เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยพูดอย่างกล้าหาญก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความภาคภูมิใจในอดีตของตัวเอง ยกนิ้วขึ้นมาเขี่ยเล่นที่แก้มอ้วนๆ ของอวิ๋นน้อย
“สหายซีถง เจ้าดูคนเหล่านั้นคิดว่าเหมือนสุนัขหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่ผู้คนเหล่านั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นเพื่อค้นหาจี้หยกแล้วถามซีถง ตอนนี้จิตใจของเขานั้นสับสนเป็นอย่างมาก ทั้งรู้สึกซาบซึ้ง ทั้งรู้สึกเศร้า
“โลกใบนี้ไม่มีความเมตตาทำให้สรรพสิ่งกลายเป็นเครื่องบูชายันต์ ใครกันเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วใครกันที่ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน เมื่อครู่ข้าก็สู้สุดชีวิตไม่ใช่หรือ ถือได้ว่าเป็นสุนัขที่โหดร้ายที่สุดตัวหนึ่ง”
“ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้เป็นของตระกูลอวิ๋น เจ้าจะเสี่ยงชีวิตไปแย่งชิงกับพวกเขาหรือ หากของสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอวิ๋น คาดว่าเจ้าคงไม่แม้แต่จะหันไปมองด้วยซ้ำ บนโลกใบนี้สิ่งที่ทำให้เจ้าไม่คำนึงถึงชีวิต นอกจากมิตรภาพแล้วยังจะมีอะไรอีก”
“ไปกันเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน ไปอาบน้ำเสียหน่อย ข้าจะเข้าครัวทำเนื้อตุ๋นมันฝรั่งหม้อใหญ่ให้เจ้า แล้วยังมีเหล้าอีกสองไห เจ้ากับข้าไม่เมาไม่เลิก ทิ้งสงครามสุนัขพวกนี้ไว้ให้ผู้อื่นเถอะ”
หลังจากพูดถึงเรื่องที่จะทำเสร็จก็ขึ้นรถม้าพร้อมกับซีถงที่กำลังอุ้มอวิ๋นน้อย บังคับรถม้าไปทางหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นภายใต้การล้อมรอบขององครักษ์ ไม่หันกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลังเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ชายที่แต่งตัวเป็นขันทีเดินออกมาจากหลังต้นไม้ พลิกจี้หยกในมือเล่นแล้วพูดว่า “เห็นคนสำคัญกว่าสิ่งของเป็นลักษณะที่ดีที่ท่านโหวควรมี แต่ว่ากล้าพูดว่าข้าเป็นสุนัข ไอ้หนุ่ม รอให้ข้าทำงานที่ฝ่าบาทมอบหมายให้เสร็จก่อน แล้วข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้า” เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวเองไล่ตามจากฉางอันไปถึงเหอเป่ย จากนั้นก็ไล่ตามจากเหอเป่ยมาถึงฉางอัน มักจะช้าไปหนึ่งก้าวเสมอ ไฟโกรธในใจได้แผดเผาขึ้น มองดูชายฉกรรจ์ที่ล้อมรอบเขาเหล่านั้น มองหน้าไปที่ขันทีอีกคนเพียงชั่วครู่ เขาหัวเราะด้วยความโกรธแล้วบุกเข้าไปในฝูงชน…
ตระกูลอวิ๋นครึกครื้นเป็นอย่างมาก ทุกที่ถูกประดับไปด้วยสีแดง พ่อบ้านกำลังชี้นิ้วสั่งคนรับใช้ให้แขวนโคมสีแดงขนาดใหญ่สองโคมไว้หน้าประตู เด็กๆ ที่ถือขนมอยู่ในมือพากันวิ่งเล่นไปทั่ว มีคนรับใช้ออกไปซื้อเนื้อไก่ เป็ด และปลาเข้าบ้านอยู่เรื่อยๆ ใต้เท้าผู้ปกครองเขตหลานเถียนกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับเสมียนบัญชีในห้องโถงเขากำลังกังวลเรื่องที่ต้องล้มวัวของตระกูลอวิ๋นเป็นจำนวนมากในช่วงตรุษจีน
ซินเย่วคำนับซีถงด้วยรอยยิ้ม น่ารื่อมู่อุ้มลูกสาวออกมาพบกับซีถง ซีถงที่ไม่เป็นตัวของตัวเองยกสองมือขึ้นมาถูกัน ตัวเองไม่ได้พกของกำนัลมา รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“ท่านลุงได้ต่อสู้มาหลายพันลี้เพื่อตระกูลของเรา นับว่ามีคุณธรรมที่เปี่ยมล้น ข้าจะกล้ารับของกำนัลจากท่านลุงได้อย่างไร เชิญท่านลุงไปอาบน้ำล้างฝุ่นเสียก่อน จากนั้นค่อยมาดื่มเหล้ากับท่านพี่ของข้า พวกเจ้าสองคนได้พบกันอีกครั้ง ควรจะดื่มด้วยกันเสียหน่อย”
ซีถงยิ้มแล้วพยักหน้า เขาเข้ามาในเมืองอันหรูหราแห่งนี้โดยผ่านสภาพแวดล้อมการต่อสู้ที่ดุเดือด รู้สึกมึนงงอยู่เล็กน้อย ในมือยังถือดาบเล่มยาว ใช้ความมุ่งมั่นอย่างหนักกว่าจะวางลงได้
หลังจากอาบน้ำเสร็จหมอประจำตระกูลอวิ๋นก็ทำแผลให้เขา เปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มจากนั้นก็มาที่ศาลาหลังเล็ก เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินมาพร้อมกับยกอ่างขนาดใหญ่มาด้วย แล้วยังมีคนรับใช้เดินตามหลังอีกสองสามคน คนหนึ่งถือเตาขนาดเล็ก อีกคนหนึ่งอุ้มไหเหล้าสองไหในอ้อมแขน ส่วนคนที่เหลือพากันถือจานผักและผลไม้ การต่อสู้ที่ยากลำบากมาตลอดทางทำให้เขาแทบจะหมดแรง ตอนนี้เมื่อได้เห็นของอร่อยจะอดใจไหวได้อย่างไร แต่เห็นว่ามีคนรับใช้ยืนอยู่ข้างๆ จึงไม่อาจเสียมารยาท
อวิ๋นเยี่ยวางอ่างทองแดงลงบนเตาถ่านขนาดเล็ก ให้คนรับใช้ออกไป แล้วเปิดไหเหล้าด้วยตัวเอง ยื่นให้ซีถงหนึ่งไห ตัวเองเก็บไว้หนึ่งไห ซีถงหยิบไหเหล้าของอวิ๋นเยี่ยมาเพื่อดูตัวเลขโดยเฉพาะ แล้วนั่งลงด้วยความสบายใจ เห็นอวิ๋นเยี่ยชี้มาที่ตัวเองแล้วหัวเราะดังลั่น จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ถูกงูกัดเมื่อสิบปีก่อนจนตอนนี้ก็ยังกลัวเชือกอยู่
เนื้อวัวติดมันแร่บางๆ อร่อยเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนถอดรองเท้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นั่งลงบนเก้าอี้ วุ่นวายอยู่กับการใช้ตะเกียบคีบอยู่ในอ่างทองแดง ไม่สนใจพูดคุยกับใครทั้งนั้น มีเพียงแค่เสียงเคี้ยวเป็นเสียงทักทาย เหล้าสามสิบดีกรีเหมาะสำหรับการกระดกดื่มคำใหญ่ๆ เป็นอย่างมาก คนหนึ่งคนถือไหเหล้าที่ขนาดเท่าศีรษะแล้วกระดกเข้าปาก กินอาหารคำใหญ่ ผ่านไปไม่นานก็กินจนเหงื่อออกเต็มหัวไปหมด
อวิ๋นเยี่ยใส่พริกลงไปในเนื้อผัดมันฝรั่งอย่างสร้างสรรค์ ในรสชาติที่นุ่มนวลแฝงไปด้วยความเผ็ดเล็กน้อย แต่ว่าถูกปากทั้งสองคน ดังนั้นจึงพากันกินอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อกินจนเห็นก้นอ่าง อวิ๋นเยี่ยก็เริ่มไม่ไหวแล้ว นอนพิงเก้าอี้มองดูซีถงที่ยังคงกินไม่หยุด ปากกว้างเหมือนหลุมลึก ทั้งมันฝรั่งและเนื้อวัว แม้กระทั่งน้ำซุปก็ซดจนหมดเกลี้ยง
เมื่อมันฝรั่งชิ้นสุดท้ายในอ่างถูกกลืนลงท้องซีถงก็ได้เรอออกมาด้วยความอิ่ม เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้านแล้วใช้ไม้แคะฟัน เมื่อแคะฟันเสร็จก็ดื่มเหล้าอึกใหญ่เพื่อกลืนเนื้อหมูที่แคะออกมาลงไป ถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เหตุใดข้ารู้สึกว่าจี้หยกอันนั้นไม่เหมือนกับที่ข้าให้เจ้า”
“แน่นอนว่าไม่เหมือน จี้หยกนั่นเป็นจี้หยกเลียนแบบโบราณจากยุคเดียวกันที่ข้าหามาได้ ข้าได้แก้ไขลวดลายด้านบน หากเหมือนกันนั่นสิคือเรื่องแปลก”
ซีถงหัวเราะดังลั่น ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้านี่มันร้ายจริงๆ โยนกระดูกไปหนึ่งชิ้นให้พวกเสือที่จ้องมอง เจ้าไปแย่งกันเอาเอง ส่วนตัวเจ้าหลบอยู่ข้างหลังดูพวกสุนัขดุร้ายทะเลาะกัน สุดยอด สุดยอดจริงๆ”
“ข้าคิดมาเสมอว่าการใช้แรงไม่สู้การใช้หัวใจ การใช้สมองสามารถแก้ปัญหาได้ พวกเราไม่ควรใช้แต่กำลัง การทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเต็มไปด้วยเลือดไม่น่ามอง ซ้ำยังนำความแค้นมาสู่ตระกูลได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นการทำเช่นนี้จะละเอียดอ่อนกว่า”
“ละเอียดอ่อนอะไรกันล่ะ คนจะตายมากขึ้นกว่าเดิมน่ะสิ เจ้าไม่รู้หรอก แค่ข้าคนเดียวก็ฆ่าโจรภูเขาเหล่านั้นไปสามสิบกว่าคนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกคนที่คิดอยากจะฆ่าข้า เหตุใดคนสมัยนี้ถึงมีแต่คนบ้า ได้จี้หยกไปแล้วมีประโยชน์อะไร ก็เท่ากับว่ารนหาที่ตายไม่ใช่หรือ”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยกับซีถงกำลังกินข้าวกันอยู่ ขันทีสองคนนั้นก็ได้เข้าวังหลวงไปแล้ว สองคนนั้นไม่ได้คุกเข่าให้หลี่ซื่อหมิน ความจริงแล้วในบรรดาผู้คนที่ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าในต้าถัง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นไม่ใช่ขันที
หลังจากที่หลี่ซื่อหมินฟังเรื่องราวที่ขันทีเล่าอยู่เงียบๆ ก็หยิบกล่องจี้หยกขึ้นมา มองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วโยนจี้หยกออกไปข้างนอกหน้าต่างทันที ยิ้มแล้วปล่อยให้ขันทีออกไปด้วยความมึนงง
จั่งซุนออกมาจากด้านหลังแล้วพูดด้วยความรู้สึกแปลกใจว่า “เอ้อร์หลาง ท่านไม่ใช่ว่าอยากจะเห็นจี้หยกนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงโยนมันทิ้งไป ไม่อยากเห็นแล้วหรือ ท่านไม่ปรารถนาจะขอพรจากเซียนแล้วหรือ นั่นคือพรของราษฎรต้าถังเชียวนะ”
หลี่ซื่อหมินย่นจมูกแล้วพูดกับจั่งซุนว่า “อวิ๋นเยี่ยคนเจ้าเล่ห์ ครั้งนี้เขาได้ปั่นหัวพวกคนที่อยากจะมีชีวิตอยู่ยงคงกระพัน และต้องการจะรู้ว่ามีใครที่ให้ความสนใจกับไป่อวี้จิงบ้าง ครั้งนี้เราเหยียบเข้าไปในกับดักของไอ้หนุ่มโดยไม่ทันระวัง ช่างน่าโมโหเสียจริง จี้หยกนั่นต้องเป็นของปลอมแน่นอน”
“เป็นไปไม่ได้ หม่อมฉันเคยเห็นจี้หยกก็มีลักษณะเป็นเช่นนี้ ลวดลายด้านบนก็เหมือน อวิ๋นเยี่ยไม่มีทางหลอกหม่อมฉัน จี้หยกที่หม่อมฉันเห็นในตอนนั้นต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน”
จั่งซุนรับรองอย่างหนักแน่นต่อหลี่ซื่อหมิน
“ที่เจ้า หลี่เฉิงเฉียน และชิงเชวี่ยเห็นในตอนนั้นเป็นของจริง แม้ว่าเราจะมองความแตกต่างไม่ออก แต่เรากล้าบอกเลยว่าจี้หยกนี้เป็นของปลอมอย่างแน่นอน เห็นคนสำคัญกว่าสิ่งของอย่างนั้นหรือ เจ้าเด็กนั่นคู่ควรกับคำนี้หรือ เจ้าลองนึกภาพคนที่กล้าทำสัญญากับเราเพื่อเงิน จะมีจิตใจเช่นนี้อย่างนั้นหรือ เด็กคนนั้นแยกแยะอย่างชัดเจนระหว่างแคว้นเราและตัวเขาเอง หากเป็นของของเขา เกรงว่าแม้แต่ขนเส้นเล็กๆ ก็ไม่สามารถเอามันไปจากเขาได้ นอกจากว่าเขาจะยอมให้ ดังนั้นจี้หยกนี้ต้องเป็นของปลอมอย่างแน่นอน เรากล้าพูดได้เลยว่าจี้หยกของจริงจะต้องอยู่ในมือเขาเป็นแน่ เป็นไปได้มากว่าจะซ่อนอยู่ในห้องลับของสำนักศึกษา เด็กคนนั้นจะไม่ปล่อยให้ของอันตรายมาอยู่ในบ้าน”