เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 55 เทศกาลหยวนเซียว
ภายใต้สถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การเก็บเกี่ยวที่ติดต่อกันมานานกว่าสามปี ทำให้ต้าถังมีรากฐานที่แข็งแรง อำนาจของราชวงศ์ก็แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆ ต่างพากันยอมจำนนต่อเทียนเค่อหัน [2]พ่อค้าจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันออกมาจากพรมแดนของต้าถัง และเริ่มการบุกรุกครั้งที่สอง
ตำหนักว่านหมินที่สว่างไสวคืนนี้งดงามเป็นอย่างมาก แสงพระจันทร์กระทบลงบนหัวของมังกรดึกดำบรรพ์ ช่างงดงามราวกับพระราชวังบนสวรรค์ ราษฎรในฉางอันพากันอ้าปากค้าง ต่างมองดูด้วยสายตาหลงใหล
“งดงามใช่หรือไม่ ข้าเป็นคนทาสีของตำหนักว่านหมินเอง พวกเจ้าได้เห็นแค่โครงร่าง แต่ข้าเห็นมันทุกซอกทุกมุม พื้นของตำหนักล้วนแต่เป็นไม้สีทองดูราวกับทองคำ องค์ชายที่สามของตระกูลโจวค่อยๆ ถือกรวดขัดมันเองกับมือ ตั้งใจทำยิ่งกว่าเขียนคิ้วให้ภรรยาตัวเองเสียอีก”
“โม้อะไรกัน วันนี้ข้ากับฝ่าบาทดื่มเหล้าที่นี่ ได้ยินมาว่าแขกที่มาร่วมงานมีอายุรวมกันกว่าหมื่นปี บอกว่าจะมาแสดงความยินดีให้ต้าถังเจริญรุ่งเรือง”
“เหลวไหล ทำไมรวมกันได้หมื่นพอดี ไม่รู้ก็อย่าพูดจาเหลวไหล ไสหัวไปไกลๆ อย่ามาขัดขวางข้าดูทิวทัศน์ยามค่ำคืน”
“ได้ยินมาว่าหากไม่ถึงหนึ่งหมื่น ก็จะไปหาขุนนางมาเพิ่มอีก เอาให้ครบหนึ่งหมื่นจะไปยากอะไร ขุนนางต้าถังของเรามีเยอะกว่าสุนัขเสียอีก อยากจะหาใครสักคนที่เหมาะสมง่ายนิดเดียว”
อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ในรถม้าฟังเสียงเอะอะโวยวายของราษฎรที่อยู่ข้างข้างนอก ใบหน้าของเขาดำปี๋ราวกับก้นหม้อ ถูกต้อง อวิ๋นเยี่ยก็คือคนที่จะเอาไปเพิ่มคนนั้น รวมกันแล้วไม่ครบหนึ่งหมื่นปี ตัวเองถูกขุนนางกรมพิธีกรรมเรียกตัวไปชั่วคราว บอกว่าอายุของเหล่ากั๋วกงมากเกินไป ภายในท่านโหวมีเพียงท่านเท่านั้นที่เหมาะสม ขาดไปแค่ยี่สิบปี เจ้าคือคนที่สวรรค์สร้างมาจริงๆ
คืนนี้ตระกูลอวิ๋นจัดกิจกรรมชมสวน สวนดอกไม้ของตระกูลอวิ๋นเปิดต้อนรับชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้าน ข้างในเต็มไปด้วยโคมไฟ ในโคมไฟมีปริศนา หากทายปริศนาถูกก็สามารถเอาโคมไฟกลับไปได้ แต่มีป้ายที่อวิ๋นเยี่ยเขียนเองกับมือแขวนอยู่หน้าสวน เขียนไว้ว่าว่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษากับสุนัขห้ามเข้า
คืนเมื่อวานเปิดต้อนรับลูกศิษย์ของสำนักศึกษา สรุปคือโคมไฟในสวนไม่เหลือเลยสักอัน มืดสนิทราวกับบ้านผีสิง ลูกศิษย์ที่อยากได้โคมไฟที่ใช้ด้ายสีแดงคลุมของตระกูลอวิ๋นเตรียมกลับมาอีกในคืนนี้ ใครจะคิดว่าเขาไม่อนุญาตให้เข้าไปข้างในแล้ว
ฟังเสียงของเด็กน้อยที่กำลังทายปริศนาอยู่ในสวน พวกเขาก็กระวนกระวาย โง่จริงๆ หลิวปังหัวเราะ หลิวเป้ยร้องไห้ ปริศนานี้ยังต้องทายอีกหรือ เซี่ยงอวี่ตายแล้วหลิงปังหัวเราะ กวนอวี่ตายแล้วหลิวเป้ยร้องไห้ ตัวอักษรอวี่กับสื่อรวมกันก็คือชุ่ยไม่ใช่หรือ ไม่รู้ว่าเป็นคนโง่ของตระกูลไหนทายเป็นคำว่าหลิงของหลิงหลง หวังหลิ่งคือใครกัน
กระโดดตะโกนกันอยู่นอกสวน แม้แต่กับพวกหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามของตระกูลอวิ๋นก็ยังไม่มีอารมณ์จะเหลียวมองดู ไม่ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะแต่งตัวสวยสง่าแค่ไหนก็ตาม
เด็กอ้วนคนหนึ่งถือโคมไฟออกไปจากสวนดอกไม้อย่างเย่อหยิ่ง เอาโคมไฟให้แม่ของตัวเองที่นั่งกินดื่มอยู่กับเหล่าผู้หญิง จากนั้นเขาก็วิ่งกลับเข้าไปในสวนอีกครั้งท่ามกลางเสียงชื่นชมของเหล่าฮูหยิน กะจะกลับไปเอาโคมไฟของตระกูลอวิ๋นมาให้หมด
ลูกศิษย์ของสำนักศึกษามองดูโจทย์คณิตศาสตร์ง่ายๆ ที่เขียนอยู่ข้างบนแล้วตบหน้าผากของตัวเองเบาๆ มองดูองครักษ์ที่เฝ้าประตูแล้วพูดว่า “ข้าจะเข้าไปข้างใน ตระกูลอวิ๋นไม่ยุติธรรม เมื่อวานโคมไฟของพวกเรามีแต่ประโยคที่คลุมเครือและเข้าใจยาก ล้วนแต่เป็นโจทย์คณิตที่อาจารย์ไฮปาเทียไม่เคยสอนมาก่อน เหตุใดวันนี้ถึงมีแต่โจทย์ง่ายๆ เช่นนี้”
องครักษ์เฝ้าประตูที่ถูกมองไม่นึกโกรธเคืองอะไร เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “พวกท่านล้วนแต่เป็นคนที่มีความรู้ คำถามก็ต้องยากกว่าอยู่แล้ว วันนี้คนที่มามีแต่พวกชาวบ้านและเด็กๆ คำถามก็ต้องง่ายหน่อย ถึงแม้ว่าจะเป็นคำถามที่ยาก แต่พวกเจ้าก็เอาโคมไฟของตระกูลเราไปจนหมดไม่ใช่หรือ ที่บ้านมืดมิดทั้งคืน
ท่านดูสิ คุณหนูของตระกูลหันกำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้ท่าน ท่านไม่ไปพูดคุยกับนางหน่อยหรือ ผู้หญิงของตระกูลเราล้วนแต่เป็นหญิงที่สะอาดบริสุทธิ์ เห็นว่าท่านใช้ชีวิตไปวันๆ หากได้แต่งกับคุณหนูตระกูลหัน สินสอดทองหมั้นของนางอาจจะทำให้ท่านมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต”
ดูเหมือนว่าลูกศิษย์จะสังเกตเห็นผู้หญิงที่แต่งตัวงดงามและกำลังดื่มชากินขนมพวกนั้นแล้ว พวกเขาเกิดความสนใจขึ้นมาทันที พวกเขารู้จักชื่อเสียงของตระกูลอวิ๋นอยู่แล้ว ผู้หญิงพวกนั้นจะต้องเป็นผู้หญิงที่ดีแน่นอน ผู้หญิงที่ได้รับการอบรมจากฮูหยินของท่านโหว ลูกสาวของตระกูลทั่วไปไม่มีทางเทียบได้ แล้วอีกอย่าง มีอัญมณีของของหลี่จิ้งอยู่ข้างหน้า เหล่าลูกศิษย์ต่างโหยหาความรักที่หรูหราเช่นนี้ หากแต่งกลับไปเป็นภรรยาที่บ้านสักคนคงไม่เลว
ถูๆ ที่ใบหน้า กระแอมนิดหน่อย เห็นคนที่ถูกใจก็เดินเข้าไปข้างหน้า หยิบขนมที่อยู่ในชามของนางเข้าปาก กัดสองสามทีแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นกน้อยบินว่อน บินไปพักผ่อนริมแม่น้ำ หญิงงามที่เพียบพร้อม คือคู่ชีวิตของสุภาพบุรุษ ไม่ทราบว่าแม่นางอายุเท่าใด เคยแต่งงานกับใครแล้วหรือไม่”
แน่นอนว่าคำตอบที่ได้กลับมาไม่เหมือนกัน บางคนถึงกับถูกตบที่หน้า ผู้หญิงของตระกูลอวิ๋นไม่ใช่สาวใช้ที่ขายตัวเข้ามาอยู่ในจวน พวกนางล้วนเป็นผู้หญิงที่มีอิสระ เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถ ผู้หญิงในกวนจงมีนิสัยอารมณ์ร้อน เห็นแล้วถูกชะตาก็ดีไป แต่หากไม่ถูกชะตา พวกนางไม่เคยลังเลที่จะตบเข้าให้
ความสุขอยู่ที่จวนของตระกูลอวิ๋น ส่วนอวิ๋นเยี่ยที่อยู่ในตำหนักว่านหมินนั้นเหมือนตายทั้งเป็น อยู่กับชายเฒ่าเหล่านั้น ชายเฒ่าสายตาพร่ามัวก็มี พูดได้สองประโยคก็ต้องนอนพักก็มี เสียงตดเสียงเอะอะโวยวายไม่เคยแผ่ว คนที่อายุน้อยหน่อยก็เอาแต่ดื่มเหล้ากินเนื้อ ไม่สนใจว่าว่าขุนนางกรมพิธีกรรมจะพูดอะไร ชายเฒ่าเหล่านี้ล้วนแต่ถูกต้าถังตามใจจนเคยตัว งานเลี้ยงยังไม่ทันเริ่มก็วุ่นวายกันแล้ว
“ไอ้หนุ่ม มานี่ มาฉีกไก่ตัวนี้ให้ข้า” ชายเฒ่าที่อยู่ข้างๆ ยื่นไก่ตัวอ้วนมาให้อวิ๋นเยี่ยและสั่งให้อวิ๋นเยี่ยฉีกให้ตัวเองอย่างเย่อหยิ่ง
“ขอบพระคุณขอรับ แต่ข้าน้อยไม่หิว ท่านกินเถอะขอรับ!” อวิ๋นเยี่ยคิดว่าชายเฒ่าจะแบ่งไก่ให้ตัวเองครึ่งตัว เพราะว่าบนโต๊ะก็ยังมีไก่อยู่แล้วหนึ่งตัว
ชายเฒ่าเบิกตาแล้วพูดว่า “ใครจะแบ่งให้เจ้า ไก่ทั้งตัวข้ากินลำบาก กินครึ่งหนึ่งก่อน เหลือไว้ครึ่งหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยกินต่อ ลูกชายของข้าเป็นถึงซูพั่นของเขตฉางอัน”
ถึงแม้ว่าอยากจะเขวี้ยงไก่ทั้งตัวลงที่หน้าของชายเฒ่าซูพั่น แต่เมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าทำให้เขาไม่พอใจ อวิ๋นเยี่ยกัดฟันฉีกไก่ให้ชายเฒ่าคนนั้น แอบถ่มน้ำลายใส่เข้าไปข้างในแล้วยื่นให้ชายเฒ่า
ก่อนที่ชายเฒ่าจะให้อวิ๋นเยี่ยหาก้างปลาให้เขา อวิ๋นเยี่ยรีบลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องเดี่ยวเล็กๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขายอมที่จะไปรับใช้เหยียนจือทุย แต่ก็ไม่ยอมนั่งโต๊ะเดียวกันกับชายเฒ่าจอมปลอมคนนั้น
เหยียนจือทุยสถานะสูงส่ง แน่นอนว่าเขามีโต๊ะเป็นของตัวเอง กำลังจะงีบหลับ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาเขาก็พอใจเป็นอย่างมาก ผลักเนื้อหมูอ้วนๆ ออกไปให้เขาแล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม รีบกิน เนื้อชั้นดีเช่นนี้ ตอนนั้นฝานไคว่ก็เคยกินของสิ่งนี้ แล้วยังกินแบบดิบๆ เจ้าช่างโชคดี ข้าอยากกินมาตั้งนานแต่ไม่มีฟันจึงทำได้แค่ถอนหายใจ ของสิ่งนี้ต้องกินให้ได้รสชาติ รีบกินเร็วเข้า”
อวิ๋นเยี่ยก็หิวแล้วจริงๆ เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รับมันมากินทันที ทันใดนั้นเนื้อหมูทั้งชามก็ลงไปในท้องของเขาอย่างรวดเร็ว มีไขมันแต่ไม่เลี่ยน กรอบนุ่มละลายในปาก ช่างเป็นของดีจริงๆ
เหยียนจือทุยกลืนน้ำลายและพูดว่า “เป็นเช่นไร ข้าพูดไว้ไม่ผิดใช่หรือไม่ อาหารในพระราชวังก็มีแค่สิ่งนี้ที่ข้าชอบกิน ที่เหลือก็เหมือนกันหมด” ชายเฒ่าอายุยิ่งมากยิ่งเหมือนเด็กน้อย อวิ๋นเยี่ยชอบชายเฒ่าผู้นี้ทีเดียว
เขาหยิบลูกอมนมออกมาจากแขนเสื้อ เอาให้เหยียนจือทุยกินเม็ดหนึ่ง ชายเฒ่าชอบเป็นอย่างมาก เขาโยนลูกอมนมเข้าไปในปากที่ไม่มีฟันของตัวเองสามเม็ด กินเต็มปากเต็มคำ หลับตาดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของนม แล้วยังไม่ลืมที่จะเอาส่วนที่เหลือใส่เข้าไปในแขนเสื้อของตัวเอง ตบที่แขนเสื้อเบาๆ ด้วยความเคยชิน รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา “แสดงความยินดีกับต้าถังที่ยิ่งใหญ่” อวิ๋นเยี่ยก็หยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่ม ยังไม่ทันได้วางจอกลงก็มีคนตะโกนขึ้นมาอีกว่า “ขอให้ฝ่าบาทอายุยืนยาว!” อวิ๋นเยี่ยจึงต้องหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มต่อ
จอกเหล้าที่ทำมาจากทองสำริดยาวกว่าหนึ่งฟุต ข้างบนมีหูสองข้าง ใช้สองมือยกขึ้นมายังรู้สึกหนัก ไม่รู้ว่าหูสองข้างนั้นมีไว้เพื่ออะไร แค่รู้สึกว่ามันแทงเข้าไปในรูจมูกทุกครั้ง รู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก
เหยียนจือทุยนอนหลับอีกแล้ว ในปากยังมีลูกอมนมอยู่ ไม่กล้ารบกวนเขา ถึงแม้ว่ามังกรไฟในตำหนักจะลุกโชนแค่ไหน อวิ๋นเยี่ยก็ยังเอาเสื้อคลุมของตัวเองคลุมให้ชายเฒ่า ตัวเองค่อยๆ จิบรสชาติของเหล้าองุ่น แล้วยังสั่งให้ขันทีเอาน้ำแข็งมาให้ตัวเอง เหล้าองุ่นไม่ใส่น้ำแข็งมันไม่ค่อยมีรสชาติ
เขาจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ อยู่เฉยๆ อาจจะทำให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ สำหรับตำหนักว่านหมินนั้น อวิ๋นเยี่ยเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตอนนั้นกงซูเจี่ยไม่อนุญาตให้เขาเข้าใกล้ตำหนักนี้ บอกว่าเขาเป็นตัวซวยของการสร้างตำหนัก โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยระเบิดตำหนักห้องนอนของหลี่ซื่อหมินโดยไม่ได้ตั้งใจ เขายิ่งออกคำสั่งห้ามอวิ๋นเยี่ยอย่างเด็ดขาด นั่นก็คือไม่อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยพูดคำว่าตำหนักว่านหมินคำนี้
วันนี้กงซูเจี่ยไม่อยู่ เขาไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ เหล่าขันทีที่สวมหมวกสีดำกำลังยุ่งอยู่ในห้องโถง นางรำที่สวมชุดสีสันสวยงามกำลังเต้นรำ หลี่ซื่อหมินดื่มเหล้าอย่างมีความสุขอยู่บนที่นั่งที่สูงที่สุด ระฆังทั้งสองข้างของห้องโถงดึงดูดความสนใจของอวิ๋นเยี่ยขึ้นมา
นักดนตรีหญิงที่ถือค้อนเล็กๆ อยู่ในมือ เอียงหูฟังเพลงและเคาะเป็นจังหวะ หลี่ซื่อหมินขี้งก ระฆังควรเป็นทองสำริดไม่ใช่หรือ ทำไมระฆังของตำหนักว่านหมินถึงเป็นหินหยกได้เล่า
เขาหยิบถ้วยทองสำริดในมือไปเคาะไปที่หยกด้วยความอย่างรู้อยากเห็น เสียงที่ใสและไพเราะดังออกมา เดิมทีคิดว่าท่ามกลางบรรยากาศที่วุ่นวายเช่นนี้ใครจะมาฟังเพลง ทุกคนล้วนแต่มากิน มาดูสาวงามกันทั้งนั้น จะมีเพลงหรือไม่มีเพลงก็ไม่ต่างกัน
นักดนตรีหญิงคนนั้นตกใจจนหน้าซีด มองมาที่อวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำตา ขอร้องให้เขารีบออกไป การรบกวนบทเพลงคือความผิดที่ร้ายแรง
ต่างว่ากันว่าเล่นดนตรีผิดนิดหน่อย โจวหลางก็ฟังออก ตอนนี้หลี่หลางก็ไม่น้อยหน้า หลี่ซื่อหมินที่กำลังดื่มเหล้าอยู่มองมาที่เสียงระฆังทันที เขาเห็นอวิ๋นเยี่ยเมาเหล้าถือจอกตีระฆัง
หลี่ซื่อหมินยิ้มออกมา แต่ว่าความเย็นชาในสายตาของเขาก็ปรากฏขึ้นมาด้วย บึนปากใส่จั่งซุน จั่งซุนเห็นแล้วก็ตกใจจนอ้าปากค้าง ตอนนี้คนที่ตีระฆังอยู่ไม่ได้มีแค่อวิ๋นเยี่ยคนเดียว เหยียนจือทุยที่นอนหลับพึ่งตื่นก็ถือจอกเหล้าตีระฆังด้วย…
[1] เทศกาลหยวนเซียว เป็นการฉลองค่ำคืนแรกของปีตามปฏิทินจันทรคติจีน หยวนเซียว แปลว่า “ค่ำคืนแรก” มีความหมายว่าค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเป็นครั้งแรกหลังจากขึ้นปีใหม่หรือตรุษจีนนั่นเอง
[2] เทียนเค่อหัน มีความหมายว่า ข่านแห่งสวรรค์ ในที่นี้หมายถึงหลี่ซื่อหมิน