เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 57 ในที่สุดฤดูหนาวก็มาถึง
สีหน้าของเหยียนจือทุยมีความโหยหา ผ่านไปไม่นาน เขาก็พิงผนังรถม้าและพูดว่า “ข้ายังจะมีชีวิตอยู่ถึงสิ้นปีนี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ข้าคงไม่กล้าคาดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งร้อยปี ฤดูใบไม้ผลิที่รุ่งโรจน์ ฤดูร้อนที่ยาวนาน การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวที่เยือกเย็น ทุกสรรพสิ่งเป็นเช่นนี้ มนุษย์ก็ควรเป็นเช่นนี้ ข้าพยายามอดทนต่อความหนาวเย็นในฤดูหนาว หากหิมะตกข้าก็อาจจะจากไป ภาพบรรยากาศอันงดงามที่เจ้าบรรยาย ข้าคงไม่มีวันได้เห็น หากเจ้าเห็นมัน มีอะไรพิเศษก็อย่าลืมเอาไปเผาไว้หน้าหลุมศพของข้า ให้ข้าได้มีความสุขกับเขาบ้าง”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกขอรับ หากท่านตาย ไม่รีบไปเกิดเป็นคนมัวไปอยู่ในหลุมศพทำไมเล่า โลกที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง ตอนนั้นไปเกิดเป็นคนก็จะคุ้มค่าที่สุด ชาตินี้ท่านลำบากมาแล้วตั้งร้อยปี ชาติหน้าท่านจะต้องได้ไปเกิดเป็นนักเขียนบทกวีแน่นอน บทกวีที่ได้รับความนิยมอาจจะมาจากพู่กันของท่านก็ได้ ถึงตอนนั้นท่านมีความสุขอยู่ที่หอนางโลม อย่าลืมเรียกข้าไปด้วย บอกใบ้นิดหน่อยก็พอ ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าตอนที่เราเจอกันกะพริบตาข้างซ้ายหรือตาข้างขวาดีขอรับ”
“ฮ่าๆๆ” เหยียนจือทุยหัวเราะออกมา ตบที่หน้าอกของตัวเองเบาๆ แล้วพูดว่า “พูดคุยกับเจ้าช่างสบายใจเสียจริง พวกเด็กๆ ในตระกูล ไม่มีใครกล้าพูดคำว่าตายต่อหน้าข้า มีแค่เจ้าเท่านั้นที่ไม่กลัว ได้เลย หากมีวันนั้น ข้าจะไม่กินซุปเมิ่งผัวชามนั้นตอนที่ข้ามสะพานไน่เหอ และข้ายังจำอดีตที่ผ่านมาได้ ข้าจะบอกใบ้ให้เจ้า ฮ่าๆๆ”
ตระกูลของเหยียนจือทุยมีบ้านอยู่ในตรอกซิ่งฮว่าฟาง ตั้งอยู่ในส่วนลึกของป่าต้นหลิว เมื่อดอกหลีฮวาเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่คงเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างแน่นอน อวิ๋นเยี่ยพยุงเหยียนจือทุยลงจากรถม้า เตรียมรถเข็นไว้เรียบร้อยแล้ว เขาพึมพำและเข็นรถเข้าไปทางประตู ชายเฒ่าไม่ได้เหลียวหลังกลับมามอง แค่ยกมือขึ้นมาโบกก็ถือว่าเป็นการบอกลา
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ใต้ต้นหลีฮวา กระทั่งประตูบ้านของเหยียนจือทุยปิดลงเขาถึงได้เดินกลับไปขึ้นรถม้า ใบไม้สองสามใบสุดท้ายบนต้นหลีฮวาที่อยู่ข้างหลังถูกลมหนาวพัดร่วงหล่นลงมา ปลิวว่อน ก่อนจะถูกลมพัดขึ้นไปบนฟ้าแล้วค่อยๆ หายไปในความมืด ไม่รู้ว่าไปหล่นอยู่แห่งหนไหน
ซินเย่วนั่งอยู่บนโต๊ะเล็กๆ เอามือเท้าคางรอท่านพี่กลับบ้าน เดิมทีน่ารื่อมู่ก็รออยู่เหมือนกัน แต่เมื่อครู่นางกำลังให้นมลูก ลูกดื่มนมเสร็จก็นอนหลับ สุดท้ายน่ารื่อมู่ก็เผลอหลับไปด้วย หน้าอกที่อวบอิ่มเผยออกมาข้างนอก ให้ตายสิ บนนั้นยังมีน้ำนมอยู่หยดหนึ่ง ซินเย่วที่ทนเห็นไม่ได้ นางลุกขึ้นไปเอาเสื้อคลุมมาให้น่ารื่อมู่ ขณะที่ลูกน้อยนอนอยู่ข้างท่านแม่ แต่น่ารื่อมู่กลับกอดหมอนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ซินเย่วส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ อุ้มลูกน้อยไปไว้ในเปล แล้วตัวเองก็กลับมานั่งรอที่โต๊ะอีกครั้ง
ประตูเปิดออก อวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา เขามีกลิ่นอายของความหนาวเย็น เห็นว่าซินเย่วกำลังจะลุกขึ้น เขาก็โบกมือ ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก เอาไปแขวนไว้บนไม้แขวน เข้าไปผิงไฟข้างเตา จากนั้นก็ถูมือเบาๆ และเดินมากระซิบข้างๆ ซินเย่ว “ทำไมยังไม่นอน จะเที่ยงคืนแล้ว หากข้าไม่ถือโอกาสออกมาพร้อมกับชายเฒ่าเหยียนจือทุย ตอนนี้ข้าคงยังอยู่ที่ตำหนักว่านหมิน ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องรอข้ากลับมา งานเลี้ยงในวังจัดถึงฟ้าสางก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ซินเย่วรินชาให้ท่านพี่ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านไม่กลับมาใครจะนอนหลับ ไม่เหมือนคนที่อยู่บนเตียงคนนั้น ให้นมลูกอิ่มแล้วแม้แต่เสื้อก็ไม่รู้จักสวมใส่ นอนกอดหมอนอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจลูกเลยแม้แต่น้อย”
“นางก็นิสัยเช่นนั้น ถึงตอนนี้ก็ยังมีนิสัยเด็ก ต้นฤดูใบไม้ผลิให้นางพาลูกกลับไปฉ่าวหยวน ข้าไม่ค่อยวางใจสักเท่าไหร่ แต่หากไม่มีลูกอยู่ด้วย น่ารื่อมู่ก็น่าสงสารเกินไป คงต้องเป็นเช่นนั้น ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องพวกนั้นดีกว่า ข้าเหนื่อยเหลือเกิน พรุ่งนี้ต้องรีบกลับไปยังเขาอวี้ซัน รีบนอนเถอะ”
ซินเย่วตอบรับ เอากะละมังข้างเตาไฟไปเติมน้ำร้อนมาล้างเท้าให้อวิ๋นเยี่ยข้างเตียง เมื่อก่อนอวิ๋นเยี่ยไม่ชอบให้ใครมาล้างเท้าให้ตัวเอง แต่สองสามปีมานี้เขากลับค่อยๆ ชินไปแล้ว ไม่ใช่ซินเย่วก็เป็นน่ารื่อมู่ ตอนที่อยู่ที่หลิ่งหนาน หลี่อันหลานก็ทำเช่นนี้ นี่คือวิธีแสดงความสนิทสนมของต้าถัง ไม่ใช่การบังคับ ตอนที่ซินเย่วกับน่ารื่อมู่อยู่เดือน อวิ๋นเยี่ยก็ล้างให้พวกนางตั้งบ่อยครั้ง แต่ต่อมาก็ไม่ล้างให้แล้ว เพราะว่าล้างให้ครั้งหนึ่งพวกนางก็เอาแต่ร้องไห้ น่ารำคาญ
น่ารื่อมู่ที่นอนหลับอยู่ดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าท่านพี่กลับมาแล้ว นางโยนหมอนทิ้งแล้วมุดเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย เสื้อที่พึ่งคลุมก็กระจัดกระจายอีกครั้ง ซินเย่วล้างเท้าให้ท่านพี่ เห็นเขายุ่งอยู่กับการคลุมเสื้อให้น่ารื่อมู่ นางไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อเขาอดไม่ได้ที่จะเอาหน้าอกที่ขาวอวบคู่นั้นมากินเป็นซาลาเปา…
การเลี้ยงไก่ในเมืองเป็นนิสัยที่ไม่ดีนัก ฟ้ายังไม่สว่างมันก็ส่งเสียงขันไม่หยุดหย่อน เมื่อคืนอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้นอนเต็มอิ่ม ลูกสาวร้องไห้กลางดึก แม่นมจะปลอบเช่นไรก็ไม่ยอมหยุดร้อง น่ารื่อมู่อุ้มก็ร้อง ป้อมนมก็ไม่ได้ พึ่งจะยัดหัวนมเข้าไปในปากก็ถ่มอกมาทันที น่ารื่อมู่กระวนกระวายเดินไปเดินมา แต่พออวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกสาวนางก็หยุดร้องทันที ช่างน่าอัศจรรย์ เป็นเพราะอะไรอวิ๋นเยี่ยก็ไม่รู้เหมือนกัน
“คงเป็นเพราะท่านพี่กลับมาดึกเกินไป เอาสิ่งที่ไม่สะอาดกลับมาด้วย ทำให้ลูกตกใจ ข้า แม่นม และน่ารื่อมู่ล้วนแต่เป็นผู้หญิง มีความเป็นหยิน ควบคุมปีศาจไม่ได้ มีแค่ท่านพี่ที่สามารถกำจัดปีศาจร้ายได้ พรุ่งนี้ต้องเชิญพระอาจารย์มาเป็นพยาน”
ฟังคำพูดเหลวไหลของซินเย่ว อวิ๋นเยี่ยก็พูดออกมาด้วยความไม่พอใจ “เจ้าแน่ใจหรือว่าลูกไม่ได้ตกใจเสียงร้องเมื่อคืนของเจ้า” น่ารื่อมู่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว ใช้นิ้ววาดความสูง บอกซินเย่วว่าเมื่อคืนนางร้องดังแค่ไหน
ซินเย่วมุดเข้าไปในผ้าห่มด้วยความโมโหแล้วยังไล่น่ารื่อมู่ออกไป เหลือไว้เพียงอวิ๋นเยี่ยที่อุ้มลูกนั่งงีบหลับอยู่ข้างเตียง ลูกร้องไห้อีกแล้ว ช่วยไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยต้องอุ้มลูกเดินไปเดินมา ปากก็ยังต้องร้องเพลงกล่อมลูกไปด้วยถึงได้เงียบเสียงลง
เมื่อลูกสาวหลับไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ง่วงเป็นอย่างมาก กำลังจะนอนหลับ ไก่ตัวผู้ตัวนั้นก็เริ่มขันออกมา ทำเอาอวิ๋นเยี่ยแทบอยากจะพุ่งเข้าไปในเล้าไก่ บิดคอของมันให้ตายแล้วโยนเข้าไปห้องครัวทำเป็นมื้อกลางวัน
เมื่อฟ้าสว่าง ลูกสาวหลับไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็หลับไปแล้ว ซินเย่วเห็นว่าท่านพี่ยังไม่ตื่น ช่วยไม่ได้ นางบอกกับองครักษ์ว่าวันนี้ท่านโหวยังไม่กลับเขาอวี้ซัน พรุ่งนี้ค่อยกลับ
ถึงจะไม่กลับเขาอวี้ซันแต่อวิ๋นเยี่ยก็นอนหลับต่อไม่ได้แล้ว เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนาน คนอยู่ที่ไหนก็ต้องมีเจี๋ยเย่วอยู่ที่ประตู มันคือขวานยาวที่มัดด้วยด้ายสีแดงจำนวนมาก รูปร่างแปลกประหลาด เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ซึ่งหมายความว่านายท่านอยู่ที่บ้าน และหากนายท่านอยู่ที่บ้านก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีแขก แขกทั่วไปปฏิเสธไปก็ได้ บอกว่านายท่านไม่สบายไม่สะดวกที่จะพบแขก แต่แขกที่ชั่วร้ายบางคนไม่มีทางสนใจ อย่างเช่นคนอย่างจั่งซุน
จั่งซุนไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ยังมีสีหน้าสดใส ผู้หญิงที่อายุจะสี่สิบแล้ว แต่ยังมีพละกำลังเช่นนี้ช่างน่านับถือจริงๆ จั่งซุนมาแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง เขาพูดคุยอยู่กับจั่งซุน ตัวเองหดตัวอยู่บนเก้าอี้ราวกับแอ่งโคลน พยายามยืนหยัดรับมือกับจั่งซุนเพื่อที่เสร็จแล้วตัวเองจะได้กลับไปนอนต่อ
“พึ่งจะไม่กี่ปี ชายหนุ่มคนหนึ่งกลับไปอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนที่อ่อนโยนก็ไม่รู้จักมารยาทเสียแล้ว เช้าตรู่ก็ทำตัวราวกับแอ่งโคลน ซินเย่ว เอากะละมังน้ำเย็นมาให้เขา ให้เขามีสติสักหน่อย” จั่งซุนเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยตอบคำถามเเบบส่งๆ นางก็โมโหขึ้นมาทันที ซินเย่วไม่กล้าขัดคำสั่ง ทันใดนั้นนางก็ไปเอากะละมังน้ำเย็นมาให้ท่านพี่เช็ดหน้า
อวิ๋นเยี่ยที่ทันใดนั้นก็มีสติขึ้นมา เขายิ้มแห้งและพูดว่า “ท่านหญิง เมื่อคืนลูกสาวของกระหม่อมร้องไห้ทั้งคืน ต้องให้กระหม่อมอุ้มถึงจะไม่ร้อง ไม่มีใครรับมือกับเด็กน้อยได้เลย จนถึงฟ้าสางนางถึงได้ยอมหยุดร้อง”
ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ สีหน้าของจั่งซุนก็ดีขึ้นไม่น้อย นางถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าเอาหยกไปซ่อนไว้ที่ไหน ข้าอยากดูมันอีกครั้ง บทเพลงที่เจ้าร้องเมื่อคืน มันวิเศษราวกับบทเพลงของเทพเซียนจริงๆ ดังนั้นข้าจึงอยากดูมันอีกครั้ง”
“ท่านหญิง หยกยังอยู่ที่กระหม่อมแต่กระหม่อมซ่อนมันเอาไว้ ท่านอยากดูย่อมไม่มีปัญหา ถึงแม้ว่าจะมอบให้ท่านกระหม่อมก็ยินยอม แต่หากฝ่าบาทเห็นมันเข้าคงไม่ใช่เรื่องดี ทางที่ดีที่สุดคือให้ท่านดูแล้วเราต้องทุบมันให้เป็นผุยผงเสีย ทุบมันให้สลายไป ใครก็ไม่ต้องไปคิดถึงดินแดนเทพเซียน”
อวิ๋นเยี่ยรำคาญแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีสถานที่แบบนั้นอยู่จริง ก็เอาแต่พูดว่ามี แล้วแต่ละคนยังจริงจัง ต้องสละชีวิตของตัวเองที่นั่นถึงจะพอใจ คนที่ตายไปก็ล้วนแต่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จทั้งนั้น”
จั่งซุนลังเล นางรู้ดีว่าสามีของนางเป็นคนเช่นไร หากได้หยกมาครอบครองจริงๆ หลงเข้าไปในนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องที่ดี ตอนนี้สามีของนางยังไม่อยากลดตัวลงมาขอหยกจากอวิ๋นเยี่ยด้วยตัวเอง ยังคงอยากจะรักษาหน้าของตัวเองเอาไว้ แต่เมื่อวันไหนหากเขาไม่สามารถยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้อีกต่อไป หากไม่เกิดเรื่องใหญ่คงเป็นเรื่องแปลก”
“ดีเหมือนกัน ข้าไม่ดูแล้ว เจ้าซ่อนมันไว้ให้ดี อย่าให้มันหายไปอีก หายไปครั้งหนึ่ง คนบนโลกต้องตายไปตั้งมากมาย ตอนนี้ข้าสั่งให้ในพระราชวังห้ามพูดถึงหยกปลอมนั่นอีก เพราะมีคนเห็นมันแค่ไม่กี่คน ปิดปากพวกเขาไม่ใช่เรื่องยาก”
ได้ยินจั่งซุนพูดง่ายเช่นนี้ ในหัวของอวิ๋นเยี่ยก็เต็มไปด้วยภาพของโศกนาฏกรรม เมื่อก่อนตอนที่ดูละครในรั้วในวัง แค่นางสนมตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจก็ต้องมีคนตายตั้งมากมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผนที่ลึกลับอย่างไป๋อวี้จิง หรือว่ามีคนจำนวนมากถูกโยนลงไปในบ่อน้ำแล้ว? ไม่แปลกที่คนในวังดื่มน้ำที่มาจากน้ำพุบนภูเขา มีแค่คนที่หมดหนทางถึงได้ดื่มน้ำแช่ศพในบ่อน้ำ
เห็นอวิ๋นเยี่ยกลัวจนตัวสั่น จั่งซุนก็ตบโต๊ะและพูดว่า “คิดอะไรเหลวไหล ข้าเป็นคนโหดเ**้ยมที่ชอบฆ่าคนเช่นนั้นหรือ หยกอันเดียวไม่ได้มีค่ามากกว่าชีวิตคน หรือว่าในใจของเจ้าข้าคือผู้หญิงที่เลวร้ายเช่นนั้น?”
อวิ๋นเยี่ยพึมพำเบาๆ “ครั้งก่อนที่ระเบิดตำหนัก กระหม่อมยังเห็นท่านถือมีดเปื้อนเลือดอยู่ในมือ ทำเอากระหม่อมตกใจจนไม่กล้าเดินไปข้างหน้า หากวันไหนท่านอารมณ์เสียขึ้นมา แทงกระหม่อม กระหม่อมคงตายไปอย่างไม่ยุติธรรม”
อวิ๋นเยี่ยพูดจนจั่งซุนพูดไม่ออก เคาะโต๊ะเบาๆ และเดินไปรอบๆ จู่ๆ ก็มาอยู่ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย ทันใดนั้นก็ยื่นมือออกมาบิดหูของอวิ๋นเยี่ยอย่างแรง อวิ๋นเยี่ยเจ็บจนร้องโอดโอยออกมา
“เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า ปฏิบัติต่ออาจารย์เช่นนี้ช่างไม่เคารพอาจารย์ วันนี้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า ท่านโหวที่พร้อมจะเกิดตายไปกับประเทศชาติ กลายเป็นคนเช่นเจ้าได้เช่นไร พระเจ้ามีตาหามีแววไม่ วันนี้กล้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนี้ ต่อไปคงจะกล้าด่าทอฝ่าบาท แต่ว่า ดูเหมือนว่าเจ้าเคยด่าเขาแล้วใช่หรือไม่ ตีเจ้าสักทีคงไม่ถือว่าผิดใช่หรือไม่”