เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 45
การเก็บตัวอยู่บ้านในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวนั้นรู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่ง อวิ๋นเยี่ยสวมกางเกงขาสั้นและเสื้อกั๊ก นั่งยองๆ บนเก้าอี้ สองมือขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ ใช้เวลาไม่นานนัก ภาพวาดเสมือนจริงสถาปัตยกรรมของราชวงศ์ถังก็ค่อยๆ ปรากฏทีละภาพด้วยฝีมือของอวิ๋นเยี่ย วัสดุย้อมสีที่จะนำมาใช้วาดภาพต้องค่อยๆ ลงสี อิฐสีแดงกระเบื้องสีเขียว อาคารใหญ่โตหรูหรา
ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทรงเจดีย์ก็ดี โครงสร้างคานไม้แปก็ดี แต่โครงสร้างที่ทำจากไม้นั้นง่ายต่อการดึงดูดแมลง ไม่ว่าจะทำการป้องกันดีเพียงไหน ก็สามารถใช้ได้เพียงไม่กี่ปี ปลวกนั้นน่ารังเกียจจริงๆ ขอเพียงแค่มีสภาพอากาศชื้นเพียงไม่กี่วันก็มากันเป็นฝูงใหญ่ ทั้งยังถือเป็นกองทัพอากาศอีก มันจะกางปีกบินไปยังที่ที่เหมาะ จากนั้นสลัดปีกทิ้งแล้วก้มหน้าก้มตากัดกินไม้อย่างดุดัน ไม่นานนัก ท่อนไม้ที่เปลือกนอกดูแล้วยังคงสวยงามเป็นปกติแต่เนื้อในนั้นกลับไม่เป็นชิ้นดี โดยไม่รู้ว่ามันจะหักโค่นลงมาในเวลาไหนที่คุณไม่ทันตั้งตัว จึงคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่จับนกในสมัยยังเป็นเด็ก จากนั้นมองดูหลังคาบ้านที่สูงใหญ่เหนือศีรษะ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าเขาเป็นนกที่น่าสงสารตัวนั้น
สามสิ่งชั่วร้ายอันลือชื่อฉางอัน ฉันเป็นคนแรก ก็ไม่รู้ว่าการจัดอันดับนี้มาจากไหน ฉันไม่ได้ทำอันตรายคนอื่นเสียหน่อย อย่างมากที่สุดก็หลอกพวกคนเขลา เช่น ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก อยากมากก็ให้พวกเขากินตั๊กแตนไม่กี่ตัว ซึ่งมันมีโปรตีนสูง ฉันทำไปก็เพื่อพวกเขา ไม่รู้จักดีชั่วเอาเสียเลย
สำหรับในตอนนี้ หากฉันจะเขียนรายงานสักฉบับก็ต้องเรียกหัวหน้าราชเลขาทั้งสามสำนักมาร่วมวิเคราะห์พร้อมกันและถูกจำกัดการตัดสินใจ เพียงแค่จะสร้างบ้านไม่กี่หลังบนเขาอวี้ซันไม่ใช่หรือ ป่าเขารกร้างนอกจากฉันยังจะมีใครมาที่นี่กัน
ก็จริงอยู่ ฉันยอมรับว่าแม้จะสร้างบ้านจำนวนมากไปเสียหน่อย แต่ก็เพียงหลายร้อยห้องเท่านั้น คุณจะไม่อนุญาตให้ฉันเหลือพื้นที่ไว้เผื่อการขยายตัวของสำนักศึกษาในอนาคตบ้างเชียวหรือ ซึ่งในชื่อนั้นมีคำว่า “ราชนิกูล” อยู่ด้วย อยากหลอกคุณก็ไม่สามารถทำได้จริงไหม
สุนัขพันธุ์ชิสุ นั่นเป็นเพราะตระกูลเจ้าไม่ได้มีการอบรมสั่งสอนที่ดี เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย ก็เป็นผู้ชายนี่ บางครั้งการออกไปสังสรรค์บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่ามันอาจจะทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ค่อยดีนักหากบอกว่าไปหอโคมเขียว แต่แม่เสือที่บ้านเจ้า ก็ไม่ควรใช้สุนัขพันธุ์ชิสุเหมือนเป็นสุนัขตำรวจถูกไหม จับสามีตนเองห่อผ้าห่มแล้วมัดไว้ทั้งยังไม่ให้ใส่เสื้อผ้า ดึงหูลากกลับบ้าน การอุ้มสุนัขปิดร่างกายส่วนล่างก็เพราะความจำเป็น จะให้เดินเปลือยป่าวบนถนนได้อย่างไรกัน อย่างไรเสียมีอะไรปกปิดบ้างก็ดีกว่าการกลับบ้านทั้งอย่างนั้นจริงไหม ใครจะคิดถึงตอนที่โดนกัดเข้าให้ สวรรค์ ถึงเป็นผู้ชายก็รู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่ดี
เหล่าผู้หญิงที่ออกเรือนแล้วในเมืองฉางอันเริ่มเลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิสุที่บ้านจนเป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งนี่คือความทุกข์เศร้าของผู้ชาย
ภาพแบบแปลนวาดเสร็จแล้ว แน่นอนว่าต้องหาคนที่จะแสดงความคิดเห็น อาจารย์อาวุโสหลายๆ ท่านนั้นคือตัวเลือกที่ดีที่สุด จึงรีบถือภาพแบบแปลนไปหาบรรดาอาจารย์ที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ ตอนนี้ใบชาสูตรลับของอวิ๋นเยี่ยเริ่มส่งมอบให้เหล่าอาจารย์ในปริมาณที่น้อยลง แต่ละคนถือถ้วยชาใหญ่พร้อมฝาปิด แง้มฝาถ้วยขึ้นเล็กน้อยและซดชาเป็นระยะๆ ด้วยท่าทางที่สบายอกสบายใจ…
หลี่กังมองดูภาพภาพแบบแปลนแล้วถึงกับอึ้งไปเกือบหมดวัน อวี้ซัน หยวนจางและหลีสือเองก็ไม่พูดอะไร มันสมองของอวิ๋นเยี่ยหมุนรอบโลกไปแล้วหลายครั้ง พวกเขาก็ยังไม่พูดอะไรนิ่งเหมือนตุ๊กตาปูนปั้น โบกมือตรงหน้าพวกเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ขณะที่กำลังตั้งใจจะสาดด้วยน้ำเย็น เหลาหลี่เอ่ยปากแล้ว “โครงการที่ยอดเยี่ยมและใหญ่โตเช่นนี้ เจ้าหนุ่ม เจ้าวางแผนจะใช้เวลากี่ปีในการสร้าง ใช้เงินหลวงเท่าไร ใช้กำลังคนเท่าไร ราขสำนักจะอนุญาตหรือ นี่เป็นโครงการที่สามารถทำให้ประเทศล่มจมได้เลย เจ้าคงทำได้เพียงฝันเท่านั้นไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ เพียงแค่สถานที่ก็ใหญ่กว่าวังหลวงแล้ว เจ้ายังรวมพื้นที่เขาอวี้ซันเข้ามาด้วย ภายในรัศมีสิบลี้ สิ่งที่เจ้าสร้างน่ะไม่ใช่สำนักศึกษาแต่เป็นเมืองเมืองหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถเทียบเคียงได้กับเมืองฉางอันเสียด้วยซ้ำ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้สำเร็จ”
“เงินไม่ขาด คนไม่ขาด วัสดุไม่ขาด ทำไมเจ้าจึงคิดว่าข้าน้อยจะไม่สามารถสร้างสำนักศึกษาเช่นนี้ได้ ข้าน้อยจะต้องทำให้สำเร็จในระหว่างที่ยังชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เริ่มต้นในปีนี้ โครงการในส่วนแรกใช้เงินเพียงหนึ่งแสนก้วนก็สามารถทำให้แล้วเสร็จได้ ใช้เวลาสามปี ในปีนี้ถึงปีหน้าเป็นช่วงเวลาของการก่อสร้างเป็นหลัก เนื่องจากประสบภัยพิบัติจะต้องมีคนมากมายเต็มใจที่จะมาเขาอวี้ซันเพื่อของานทำหาเลี้ยงครอบครัวอย่างแน่นอน หากข้าน้อยไม่ฉวยโอกาสนี้เพื่อหาแรงงานแล้วจะให้รอถึงเมื่อไหร่กัน” อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“เจ้าหนุ่ม ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าไปเอาเงินมาจากไหน หากเจ้าบอกว่าเจ้ามีความมั่นใจ ข้าก็เชื่อว่าเจ้าจะสามารถหาเงินมาได้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าเอาเงินมาจากต้าถังมากถึงเพียงนี้ แล้วราชสำนักจะทำเช่นไร หากจำเป็นต้องใช้เงินแต่ไม่มีเงินจะทำอย่างไร” เหลาหลี่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล จากการที่ใกล้ชิดกันเป็นเวลาครึ่งปี เหลาหลี่ไม่เคยสงสัยในความสามารถด้านการหาเงินของอวิ๋นเยี่ยเลย เขาเพียงแต่กังวลแทนราชสำนัก ข้าราชการระดับสูงเมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วก็เหมือนเด็กที่ยังไม่โต โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง
“พวกท่านมีมุมมองเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองเช่นนี้หรือ เพียงแค่พวกท่านที่คิดเช่นนี้ หรือทุกคนก็คิดเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างหวาดระแวง
“ข้าเชื่อเจ้า สำหรับมุมมองเรื่องเงินของราชสำนักนั้นเหมือนกับข้า แตกต่างกันเพียงแค่บางคนรู้จักที่จะนำไปใช้เท่านั้นเอง” หลี่กังรีบอธิบาย อวี้ซัน หยวนจางและหลีสือทั้งสามต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน พวกเขาต่างก็มีพื้นเพเป็นข้าราชการย่อมต้องเข้าใจดี
“ฮ่าๆๆ รวยแล้ว รวยแล้ว สำนักศึกษาของข้าสามารถสร้างเสร็จได้เร็วขึ้นตั้งยี่สิบปี พวกท่านทั้งสี่จะต้องได้เห็นโรงเรียนที่ใหญ่โตที่สุดในต้าถังหรือในประวัติศาสตร์ ข้าจะรับสมัครนักเรียนหนึ่งหมื่นคนและรับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายร้อยคน ตอนนี้กำลังกลุ้มว่าว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ตอนนี้เหมือนจะมีงานให้ทำแล้ว ข้าจะรีบวางโครงการเดี๋ยวนี้เลย” หลังจากพูดจบก็แทบจะวิ่งหนี อาจารย์ทั้งสี่จึงรีบรั้งไว้ ตื่นเต้นจนสั่นเทาไปทั้งร่าง ดูเหมือนว่าที่รั้งไว้ไม่ใช่อวิ๋นเยี่ย แต่เป็นเสือโคร่งที่ดุดัน
“เจ้าห้ามทำเช่นนี้ สำนักศึกษายังเป็นเพียงช่วงเริ่มก่อตั้งเท่านั้น หากเจ้าสร้างโรงเรียนเสร็จแล้ว ไม่มีนักเรียนไม่มีครู เช่นนั้นยังจะเรียกว่าสำนักศึกษาอีกหรือ” คำพูดของหลี่กังทำให้ปณิธานอันแรงกล้าของอวิ๋นเยี่ยดับสิ้นลงในทันที
นั่นสิ การสร้างอาคารนั้นง่าย แต่จะหาครูที่ดีได้จากไหนกัน จะไปหานักเรียนได้จากไหน ในสำนักศึกษามีลูกศิษย์เพียงร้อยกว่าคนก็ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสี่คนนี้เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว หากเป็นหนึ่งหมื่นคน หากอยู่ในยุคปัจจุบันนี่เป็นเพียงโรงเรียนขนาดกลาง แต่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากในต้าถัง ฉันเบลอแล้วจริงๆ อวิ๋นเยี่ยเขกศีรษะตนเองอย่างแรงไปสองที ร่างกายดูเหมือนจะหมดแรงทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการสร้างเสริมภูมิปัญญาให้กับชาวบ้าน นี่ก็เป็นความปรารถนามาตลอดชีวิตของพวกข้าเช่นกัน มีแขกจำนวนตั้งมากมาย โต๊ะอาหารเจ้าใหญ่เพียงไหนก็ไร้ประโยชน์ ค่อยเป็นค่อยไป มันจะดีขึ้นเอง ปีนี้ข้าอายุเจ็ดสิบปีแล้วยังไม่ร้อนรนเลย ตอนเจ้าอายุเพียงสิบหกปี เหตุใดต้องร้อนใจด้วย การร้อนใจเกินไปรังแต่จะทำให้เสียการ ระยะนี้เจ้าค่อนข้างจะกระวนกระวาย ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นในฉางอัน เพียงแค่อยากให้เจ้าสงบจิตใจลง อย่าใจร้อน เข้าใจไหม เจ้าเป็นความหวังของชายชราอย่างพวกข้า ข้าไม่เคยรู้สึกว่าการเผยแพร่ความรู้ไปทั่วหล้าจะอยู่ใกล้เรามากถึงเพียงนี้มาก่อน มักรู้สึกเสมอว่ามันอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว หากก้าวข้ามไปแล้วก็จะเห็นแสงสว่าง เจ้าไม่ควรที่จะเสี่ยง ถ้าหากต้องเสี่ยงก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของชายชราอย่างพวกเรา” หลี่กัวนั่งยองๆ ลงลูบศีรษะอวิ๋นเยี่ยเบาๆ คำพูดที่ฟังดูเพ้อฝันเหมือนภาพลวงตา เขาราวกับว่ากำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในทุ่งร้างแห่งความหวัง
สภาพจิตของคนคนหนึ่งที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายทำให้สิ้นเปลืองพลังงานของร่างกายมากที่สุด พยายามยืนอยู่หลายครั้ง สุดท้ายได้เหล่าอาจารย์ช่วยพยุงไว้จึงยืนนิ่งได้
“เสียทีที่ข้ามีทักษะสูงส่ง หากแต่ไม่มีที่ไหนที่จะให้แสดงออกมาได้ ช่างเถอะ พวกเราก็ค่อยๆ ดำเนินการไป ข้ารู้สึกเพลียเล็กน้อย ขอตัวกลับไปนอนพัก พวกท่านเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พูดจบก็โค้งตัวเก้าสิบองศาให้อาจารย์ทั้งหลาย จากนั้นก็ค่อยๆ เดินกลับไป
“เหลาหลี่ เหตุใดเจ้าถึงเชื่อว่าเขาจะหาเงินได้มากพอที่จะนำมาขยายสำนักศึกษาได้ หนึ่งแสนก้วนเทียบเท่ากับภาษีถึงสิบมณฑล เขาไม่สามารถทำได้” อาจารย์หยวนจางเอ่ยปากพูดแล้ว เขาไม่แยแสต่อราชสำนัก เรื่องหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในฉางอันยังมีหลายสิ่งที่ไม่ชัดเจน
“ข้าเล่าเรื่องที่ว่าเด็กคนนี้ใช้แผ่นเหล็กขนาดเล็กสี่แผ่นหาเงินจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันก้วนได้ในหนึ่งวันให้พวกเจ้าฟังแล้วหรือยัง” ทั้งสามคนรีบส่ายศีรษะ
หลี่กังจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันให้สหายเก่าทั้งสามฟังอย่างละเอียด ทั้งสามได้ฟังแล้วถึงกับควันออกหู ใครจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยจะวางหลุมพรางเหล่าขุนนางทั้งหลายไว้ก่อนหน้าแล้ว ใช้วิธีที่เรียบง่ายที่ยิ่งกว่าเรียบง่าย หยิบเงินหนึ่งหมื่นหกพันก้วนจากมือของเหล่าขุนนางไป ทั้งยังเอาไปแบบต่อหน้าต่อตาโดยที่ทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออกอีกด้วย
“นี่เป็นเพียงครั้งแรกเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขายังมีแผนต่อมาอีก เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนนี้หากเป็นฎีกาของเจ้าหนุ่มคนนี้ต่างก็จะคิดหน้าคิดหลังให้ดี จากนั้นก็มอบให้เพียงครึ่งเดียว หน่วยงานใดได้รับฎีกาการทำงานของเขา หน่วยงานนั้นก็เปรียบเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ ดังนั้นหากเขาบอกว่าจะหาเงินได้หนึ่งแสนก้วน พวกเจ้าก็จงเชื่อไว้จะเป็นการดีที่สุด เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคร้าย”
ทั้งสี่คนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ แม้ว่าจะรู้สึกตลกขบขัน แต่พวกเขาก็รู้สึกโล่งอก มีคนหนุ่มเช่นนี้สำนักศึกษาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป ซึ่งนี่จะเป็นการประหยัดแรงได้มากเลย พวกเขาถนัดในการสอนและให้ความรู้ผู้อื่น แต่กลับไม่ถนัดเรื่องการหารายได้และสิ่งของ อีกทั้งสิ่งที่สำนักศึกษาขาดไม่ได้เลยก็คือเงิน พวกหนอนหนังสือจะถนัดในการหาแหล่งหารายได้ได้อย่างไร คงจะได้แต่ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างเท่านั้น
“เห็นทีว่าคฤหาสน์ริมแม่น้ำตงหยางของข้านั้นคงจะต้องค่อนข้างเล็กเป็นแน่ เสาะหาช่างวาดที่เก่งกาจมาก็ไร้ประโยชน์แล้ว ภาพแบบผังของเจ้าหนุ่มนั่นวาดได้ดีมาก เหลาหลี่เจ้าคิดว่าอย่างไร” อาจารย์อวี้ซันเหมือนจะตระหนักได้จึงถามหลี่กัง
“เรื่องคฤหาสน์เราก็อย่าได้ไปยุ่งเลย ตั้งใจสอนหนังสือให้ดีก็พอแล้ว เจ้าหนุ่มนั่นจะเป็นคนจัดการให้เรียบร้อยเองและจัดการได้ดีกว่าที่เจ้าคิด…”
แสงจันทร์ยามค่ำคืนในฤดูร้อนมีเสน่ห์ชวนหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง เหม่อมองดวงจันทร์อยู่เป็นเวลานาน ดวงจันทร์ของต้าถังนั้นค่อนข้างสว่างกว่าดวงจันทร์ในยุคปัจจุบันจริงๆ สามารถเห็นหลุมปุปะบนผิวดวงจันทร์อย่างเลือนราง แสงจันทร์สีเงินสาดส่องบนพื้นกว้าง รวมถึงสาดส่องมาที่ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยด้วย
รีบร้อนไปจริงๆ นับตั้งแต่กลับจากฉางอันก็ไม่มีเวลาไหนที่ได้สงบจิตใจอย่างจริงจัง ความโกรธแค้นในอกไม่เคยได้ระบายออกไปเลย เพียงแค่อัดแน่นพองบวมอยู่ในใจ ตอนนี้เริ่มส่งผลต่ออารมณ์ของตัวเอง ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ใช่ความรู้สึกวิตกกังวลที่ฉันควรจะมี เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไรดี บางทีอาจารย์อาจจะพอรู้ก็เป็นได้ เขามีชีวิตอยู่จนอายุเจ็ดสิบปีคงจะถึงขั้นจอมเจ้าเล่ห์แล้วกระมัง
ความโดดเดี่ยวและความอึดอัดแพร่กระจายอยู่ในห้องและค่อยๆ ส่งผลต่อห้องข้างๆ
ผู้ที่อยู่ในห้องข้างๆ คือหลี่เค่อ เขารู้สึกหดหู่อย่างมากในตอนนี้ เขาเลิกคิดที่จะเอาชนะหลี่ไท่คนวิปริตคนนั้น ในด้านการเรียนแล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักเพียงไหนก็มักจะต่ำกว่าเขาอยู่ขั้นหนึ่ง อาจารย์บอกว่าคนบางคนมีความสามารถในการเรียนรู้มาแต่กำเนิด เขาไม่จำเป็นต้องพยายามสักเท่าไรก็สามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งสิ่งนี้คือพรสววรค์
แต่ท่านแม่บอกว่าสายเลือดของเขานั้นถือเป็นสายเลือดที่สูงส่งที่สุด รวบรวมสายเลือดของฮ่องเต้ทั้งสองแห่ง ซึ่งหาที่เปรียบมิได้ แต่ในสำนักศึกษาดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีวันสามารถตามรอยเท้าของหลี่ไท่ได้ทัน ดูเหมือนเขาจะเดินไปไกลแล้วเหลือไว้ให้เพียงแค่เงาให้ข้าเท่านั้น
ครั้นเปิดหน้าต่างออกด้วยความโกรธเคือง ก็บังเอิญเห็นอวิ๋นเยี่ยเองก็เปิดหน้าต่างเช่นกัน ทั้งสองคนที่หงุดหงิดเช่นเดียวกันต่างก็ถอนหายใจพร้อมกันแล้วก็ปิดหน้าต่างอีกครั้ง…
ในคืนที่ร้อนอบอ้าว มีเพียงจั๊กจั่นส่งเสียงร้องและหิ่งห้อยกำลังส่องแสงเต้นรำอยู่บนพุ่มหญ้า ค้างคาวบินไม่ยอมหยุดอยู่บนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ เสียงลมพัดต้นสนบนภูเขาดังขั้น ราวกับเสียงกลองรบที่เร่งเร้าผู้คน…!!