เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 49
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ที่บ้านดูเหมือนว่าจะมีคนเพิ่มขึ้นสองคน ขณะที่ออกไปข้างนอกในตอนเช้ามักจะพบกับซินเย่ว์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ ในตะกร้าไม้ไผ่ของเสี่ยวชิวมักจะมีขนมถั่วเขียวที่อวิ๋นเยี่ยชอบมากใส่อยู่เสมอ รีบร้อนคารวะทักทายและต่างคนต่างไป ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร
ขณะกินข้าวเที่ยง พ่อครัวตระกูลอวิ๋นจะมาส่งอาหารตรงเวลาเสมอ ในเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่อวิ๋นเยี่ยกับเหล่าอาจารย์จะได้พูดคุยกัน หลังจากที่ไม่ใส่ใจในคำสอนโบราณที่ว่าต้องไม่พูดคุยระหว่างทานอาหาร อาจารย์รู้สึกว่าปริมาณอาหารที่ตัวเองกินนั้นเพิ่มขึ้น
เมื่อกินอาหารเสร็จและเตรียมที่จะพูดคุยสัพเพเหระ ก็มีหญิงสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น รินชาหอมที่ชงได้กำลังดีให้พวกเขา ได้รับคำชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันจากทุกคน จากนั้นยกมือปิดหน้าและถอยออกไป
ในลานแห่งนี้ไม่มีใครดื่มน้ำแกงมันๆ อีกแล้ว ซึ่งนี่ทำให้จ้าวเหยียนหลิงเจ็บปวดอย่างมาก เฉพาะเวลาที่เขาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น จึงค่อยต้มชาดื่มเพื่อลิ้มรสชั้นเลิศของชาที่อยู่ในปาก
ซินเย่ว์เล่นโยนลูกบอลอยู่กับเสี่ยวยาอยู่ที่ลานด้านหน้าด้วยความสนุกสนานทั้งคู่
ซินเย่ว์กับอาหญิงกำลังคุยเรื่องการทำขนมกันอยู่ในครัว ทักษะการทำขนมของจวนอวิ๋นนั้นพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ซินเย่ว์นั่งตัดเย็บเสื้อผ้ากับป้าสะใภ้อยู่ในสวน ทั้งยังแลกเปลี่ยนความเห็นเป็นครั้งคราว ด้วยเหตุนี้อวิ๋นเยี่ยจึงมีเสื้อนอกลายปักสู่ซิ่วหนึ่งชุดซึ่งสะดุดตามาก
ซินเย่ว์พูดคุยกับท่านย่าอยู่ในเรือนหลัง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ทำให้ท่านย่าหัวเราะเสียงดังเป็นระยะๆ พวกวนางแลดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีมาก
จนกระทั่งวันหนึ่งอวิ๋นเยี่ยพบว่าชาในห้องหมดแล้ว จึงตะโกนเรียกอี้เหนียงให้นำน้ำร้อนมาเปลี่ยน คนที่เปิดมู่ลี่เข้ามากลับกลายเป็นซินเย่ว์ที่ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยอาการเขินอาย เปลี่ยนน้ำชาให้อวิ๋นเยี่ยที่ยังคงตกตะลึงเสร็จแล้วจึงกลับออกไป หลังมู่ลี่ไม้ไผ่ยังมองเห็นแผ่นหลังอันงดงามที่เดินผ่านลานไปได้รางๆ คลอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะของอี้เหนียง
อวิ๋นเยี่ยไม่แปลกใจที่ซินเย่ว์รุกเข้าหาผ่านทางบรรดาผู้หญิงในบ้าน เพียงแต่แปลกใจที่นางสามารถรุกได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เห็นทีว่าคุณภาพของผู้หญิงที่บ้านจะต้องได้รับการปรับปรุงเสียแล้ว อาหญิงที่ยากแก่การเข้าหา ป้าสะใภ้ที่ไม่ค่อยมีเหตุผล ความละเอียดรอบคอบของท่านย่าหายไปไหนกันหมด
เมื่อวานยังเห็นนางอยู่กับเสี่ยวตงด้วย แกว่งชิงช้ายิ่งแกว่งยิ่งคึกคัก สุดท้าย เสี่ยวตงแอบไปขุดขนมที่ฝังในพื้นออกมาให้ซินเย่ว์กิน สามารถหลอกเสี่ยวตงให้นำอาหารที่ซ่อนมามอบให้นางช่วยเก็บรักษาได้ เพียงแค่จุดนี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าจวนอวิ๋นถูกเงามืดขนาดใหญ่ปกคลุม ซึ่งเงามืดนั้นก็เหมือนซินเย่ว์มาก
โต๊ะอาหารนั้นนั่งไม่ได้เลย ผู้หญิงในบ้านพากันห้อมล้อมซินเย่ว์ คนนี้คีบเนื้อไก่ให้ คนนั้นตักน้ำแกงให้ ปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยที่ปกติจะเป็นผู้ที่ได้เสพสุขเช่นนี้โมโหโกรธาเป็นอย่างมาก ชามข้าวนั้นว่างเปล่าเป็นเวลานานไม่มีใครใส่ใจ เสี่ยวยายังนำกระดูกไก่ใส่ในชามอวิ๋นเยี่ยและบอกว่าเคี้ยวไม่ได้ พี่ชายช่วยกินหน่อย เขาจึงวางชามและตะเกียบไว้บนโต๊ะอาหาร โหวเหยียอย่างเขายืนกรานว่าจะไม่กินอาหารที่คนอื่นไม่กินแล้วส่งมา จึงตั้งใจจะไปที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรบางอย่างกินรองท้อง คิดไม่ถึงว่าห้องครัวจะคึกคักมากเช่นนี้ มีคนรับใช้และสาวใช้อยู่เต็มไปหมด
เสี่ยวชิวนั่งกินข้าวอยู่กับพวกสาวใช้ คนหนึ่งถือชามขนาดใหญ่ซึ่งใหญ่กว่าศีรษะเสียอีก ตักข้าวจนเต็มชาม กับข้าวด้านบนเป็นเนินสูงเหมือนยอดเขา ก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยท่าทีที่ไม่สนใจคนรอบข้าง อิสระกว่าการอยู่ที่บ้านของนางอีก
ห้ามขายหน้าคนอื่นเด็ดขาด นวดท้องที่ยังไม่อิ่มวิ่งโซซัดโซเซออกไปยังลานด้านนอกดูสภาอเนจอนาถ
เหล่าผู้อาวุโสไม่มีอะไรทำจึงตากลมเย็นอยู่ใต้ต้นไม้ แต่ละคนสวมเสื้อและกางเกงขาสั้น สวมรองเท้าแตะที่เป็นพื้นไม้ นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้โยก ในมือก็โบกพัด วางกาน้ำชาเล็กๆ ไว้บนม้านั่งเตี้ยๆ หากคุยมากจนคอแห้งก็ยกปากของกาน้ำชาใส่ปากดื่มหนึ่งคำ ถ้าหากร้องบทงิ้วจีนอีกสักสองประโยค อวิ๋นเยี่ยคงคิดว่าเขาอยู่ที่ปักกิ่ง
“อายุยังน้อยอยู่ อย่าได้มารวมตัวขลุกอยู่กับชายชราเลย ไปหาเรื่องสนุกทำเถอะ” ยังไม่ทันได้เดินไปถึงด้านหน้าก็ถูกพวกเขาไล่เหมือนกับไล่สุนัขแล้ว
อวิ๋นเยี่ยจึงมาหาซุนซือเหมี่ยว โดยบอกว่าผู้อาวุโสยังไม่ได้รับปากว่าจะพักอยู่ที่นี่ จึงฉวยโอกาสที่ยังว่างอยู่ไปหาเขาเพื่อพูดคุย ดูว่าจะสามารถรั้งให้นักพรตชราพักอยู่ที่นี่ได้หรือไม่
จึงตามแสงแดดสุดท้ายที่พยายามส่องผ่านเข้าไปที่ห้องของเหล่าซุน ภายในห้องนั้นกลิ่นยาฉุนมาก จนทำให้ปวดตา เพิ่งจะเข้าไปก็ต้องวิ่งออกมา ไม่รู้ว่าเหล่าซุนกำลังทำอะไรอยู่ ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งหั่วจู้เองก็วิ่งออกมาด้วยน้ำตานองหน้าดูแล้วน่าสงสารมาก หลังจากรออยู่เป็นนานจึงเห็นเหล่าซุนเดินออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อยปากก็บ่นพึมพำว่า “ล้มเหลวอีกแล้ว”
“นักพรตกำลังทำอะไร ทำไมจึงดูเอิกเกริกเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยถามด้วยความสงสัย ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจสภาพของลานบ้านแห่งนี้เสียเท่าไร หลายๆ คนดูแปลกประหลาดไป เช่น เหล่าซุนที่เที่ยวค้นหายาสมุนไพรทุกชนิด เพื่อจะสกัดยาไป๋เย่าที่เหมือนของอวิ๋นเยี่ยให้ได้ ตามที่เขาบอกก็เกือบจะประสบความสำเร็จแล้ว
ส่วนอาจารย์หลีสือขอเพียงมีเวลาว่าง เขาก็จะไปเดินวนเวียนอยู่ที่โครงกระดูกนั้นเพื่อศึกษาอย่างละเอียด ห้ามถาม หากใครก็ตามที่ถามก็จะหงุดหงิดใส่คนนั้น มีนักเรียนมารายงานว่าอาจารย์หลีสือกำลังแอบขโมยกินกระดูกมังกร และยังแอบวาดโครงกระดูกเวลาไม่มีคนอยู่อีกต่างๆ นานา ราวกับจะมรรคผลแล้ว
อาจารย์หยวนจางได้ถามคำถามเหมือนกับไม่ได้เจตนามากมายหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องไป๋อวี้จิง ทั้งยังรู้สึกอายที่จะถามว่าเขาจะมีโอกาสไปที่นั่นหรือไม่
อวี้ฉือต้าส่าได้ขุดเนินดินที่อยู่ข้างหน้าเพียงลำพังจนไม่เหลือสภาพเดิม โดยบอกว่าจะสร้างคูน้ำรอบเมืองเพื่อใช้ในการวางแผนกองกำลังทหารและเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับต้วนเหมิ่งให้ตายกันไปข้างหนึ่งที่นี่
ตอนนี้หลี่ไท่ชอบที่จะนำผ้าผูกไว้กับก้อนหินแล้วโยนมันขึ้นไปบนฟ้า มองไปที่ชายผ้าทั้งสี่ด้านที่ทำให้ก้อนหินค่อยๆ หล่นลงพื้น โดยเริ่มต้นด้วยหินก้อนเล็กๆ แล้วค่อยๆ กลายเป็นก้อนหินหนักหนึ่งจิน สองจิน ห้าจิน เมื่อวานนี้เห็นองครักษ์ของเขาแบกหินก้อนโตหนักหนึ่งร้อยสิบจินปีนขึ้นชะง่อนผาด้วยความยากลำบาก…
เหล่าซุนไม่ได้ยินสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยถาม หรือจะบอกว่าเขาไม่อยากจะสนใจอวิ๋นเยี่ย รีบเดินจ้ำอ้าวกลับเข้าไปในห้อง
นี่เป็นเวรกรรมอะไรกัน!
ไม่มีใครสนใจก็ช่าง อวิ๋นเยี่ยจึงกลับไปที่ห้องครัวบังคับให้แม่ครัวนำเนื้อแพะที่ดีที่สุดให้เขา วางหม้อเล็กๆ ไว้บนเตาดินเผาสีอิฐแดงที่ไว้ใช้ต้มชา เตรียมตัวจะทำเนื้อแพะหม้อไฟ เต้าหู้ ผักใบเขียวและเห็ดป่าอีกจำนวนหนึ่ง ไม่ชวนใครทั้งสิ้นกินเพียงลำพัง วันนี้ฉันอารมณ์เสียมาก ตนไม่เชื่อว่าจะกินเนื้อแพะห้าจินไม่หมด
มีเหล้าองุ่นหมักซ่อนอยู่ใต้เตียงหรือจะบอกว่าขโมยมาจากบ้านของหลี่เซี่ยวกง กาเหล้าทองเหลืองใส่เหล้าไว้เต็มกา วางแช่ในน้ำที่ตักขึ้นมาจากบ่อ อีกครู่หนึ่งจะได้ดื่มอย่างอร่อย
เขาไม่ชอบกินเนื้อแพะหม้อไฟน้ำใส เช่นนั้นก็กินน้ำพริกเผา แม่ครัวส่งเนื้อแพะที่หั่นเป็นชิ้นบางๆ มาให้ ต้นหอมซอย ผักสีเขียวสดดูแล้วชวนน่ารับประทาน เต้าหู้ขาวหั่นเป็นเส้นยาวๆ กระเทียม ซอส เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะปลอบใจตัวเองให้เต็มที่สักหน่อย
มักมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังจะอ้าปากนั้น หลี่เค่อก็ผลักประตูเดินเข้ามาด้วยความโมโหแล้วตะโกนเสียงดังว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว” สีหน้าดูตื่นเต้นลนลาน
ในพริบตากลับพบหม้อไฟจึงลืมความเศร้าในทันที หยิบตะเกียบเงินคู่หนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วจุ่มลงในหม้อควานหาชิ้นเนื้ออย่างไม่เกรงใจ
“เกิดอะไรขึ้น เจ้าจึงได้ร้อนใจเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยกังวลว่าจะเกิดเหตุ อย่างไรเสียพวกเครื่องจักรก่อสร้างเบื้องต้นเหล่านั้นไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก
“ไม่มีอิฐแล้ว มันคืบหน้าเร็วเกินไป อิฐนำมาไม่ทันใช้ ซีเมนต์ที่เจ้าเผาก็ใกล้จะหมดแล้ว พวกเราก่อหินเสร็จหมดแล้ว ขาดก็แต่อิฐและซีเมนต์ที่อยู่ในเตาเผา ซีเมนต์นั้นยังพอว่าเพราะทุบเป็นผงให้ละเอียดก็ใช้ได้ แต่ก้อนอิฐนั้นจนหนทาง ไม่เกินสามวันคงต้องหยุดทำงาน” กินเนื้อแพะไปสองคำ หลี่เค่อโดนลวกปากจนต้องแลบลิ้นออกมา สูดหายใจพลางพูดอย่างคนติดอ่าง แต่สายตากลับไม่ละออกจากเนื้อแพะที่กำลังเดือดลอยในหม้อ
เตาเผาอิฐของตระกูลอวิ๋น นับตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่แรงงานเผาหินที่ไม่สะเพร่าเผาได้หินหลิวหลีออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจนได้รับรางวัลจากเจ้าของบ้านแล้ว เรื่องนี้ก็โด่งดังไปทั่วทั้งโรงงานเตาเผา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มักเผาสิ่งแปลกประหลาดบางอย่างออกมาอยู่เรื่อยๆ ชั้นวางของโบราณในห้องอวิ๋นเยี่ยเต็มไปด้วยหินที่รูปร่างพิลึกพิลั่น มีหินชนิดหนึ่งที่ถูกเผาจนไหม้ เมื่อทุบจนละเอียดแล้วผสมน้ำในชั่วข้ามคืนมันก็แข็งตัว อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าสิ่งนี้คงจะเป็นซีเมนต์แน่เลย จึงทดลองอีกครั้งหลายร้อยครั้งก่อนที่จะจับจุดได้ ตอนนี้กำลังเผาเป็นจำนวนมาก กระบวนการต่อไปมีความซับซ้อน ต้องทุบหินก้อนใหญ่แล้วทุบให้เป็นละเอียด จากนั้นนำไปใส่แท่นโม่หินบดให้เป็นผงจึงจะใช้ได้ ซึ่งความมั่นใจของอวิ๋นเยี่ยในการสร้างบ้านด้วยหินก็มาจากจุดนี้
เมื่อรอจนอวิ๋นเยี่ยได้สติกลับมา เขาพบว่าหลี่เค่อกินจนนั่งไม่ลงแล้ว และกำลังคลายสายรัดเอวออก ส่วนเนื้อแพะบนโต๊ะเล็กๆ หายไปมากกว่าครึ่ง ผักสดและเต้าหู้ก็หายไปเกินครึ่ง ตอนนี้ที่กำลังนั่งเกาะโต๊ะก้มหน้าก้มตากินคือหลี่ไท่
“เมื่อครู่เห็นอวิ๋นโหวกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ข้าเห็นเสี่ยวไท่ยังไม่ได้กินอาหารเย็นจึงเรียกเขามากินอาหารอร่อยด้วยกัน นี่สิจึงจะเป็นการกินข้าว ในที่สุดข้าก็ได้กินอาหารจริงๆ สักมื้อไม่ใช่ของเหลือ” หลี่เค่อไม่ยี่หระต่อแววตาของอวิ๋นเยี่ยที่กำลังพ่นไฟอยู่ อธิบายอย่างไม่ร้อนรน
หลี่ไท่ที่กำลังควานหาเนื้อแพะอยู่ก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้ ชื่นชมความใจกว้างของพี่สามที่ไม่เห็นแก่ตัว
ช่างเถอะ วันนี้ไม่ใช่วันดีที่จะกินอาหาร รอให้หลี่ไท่ทำลายเนื้อแพะชิ้นสุดท้ายจนหมด ทั้งสามจึงออกจากห้อง ลมเย็นในยามเย็นได้พัดผ่านและพัดความหงุดหงิดสุดท้ายของอวิ๋นเยี่ยไป ยืนอยู่บนที่สูง แม่น้ำตงหยางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ระลอกคลื่นสีเขียวใส อาคารสามชั้นสิบกว่าหลังตั้งตระหง่านอยู่ริมสองฝั่งน้ำ ถึงแม้จะมีแต่โครงสร้าง แต่ก็ดูเป็นรูปเป็นร่างมาก ทำให้ผู้คนอดชื่นชมไม่ได้ สถานที่ก่อสร้างที่มีเสียงดังอึกทึกในที่สุดเงียบลง กลุ่มกระท่อมที่อยู่ในภูเขามีควันไฟลอยคลุ้งขึ้น ซึ่งเป็นเหล่าคนงานที่กำลังทำอาหาร คิดว่าพวกเขาที่ทำงานหนักเป็นเวลาหนึ่งวัน ในตอนนี้ต่างก็ถือชามข้าว ในใจบางทีอาจลืมเรื่องภัยพิบัติที่น่ากลัวนั้นชั่วคราว
“เสี่ยวเยี่ย อยู่มาจนป่านนี้ นี่คือสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดที่ข้าเคยทำมา ห้องพัก ห้องโถง ห้องประเภทต่างๆ ที่สวยงามค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นจากมือของข้า เจ้าไม่รู้ว่าข้ามีความสุขเพียงไหน ข้าถึงกับต้องรู้ว่าบ้านแต่ละหลังจำเป็นต้องใช้วัสดุอะไรบ้าง ทั้งยังสามารถประมาณการได้ว่าบ้านแต่ละหลังจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ มีเพียงข้าที่รู้ว่าบ้านเหล่านี้หลังสร้างเสร็จแล้วจะใหญ่โตโอ่อ่างดงามเพียงใด เราตกลงกันแล้วว่าเจ้าต้องเหลือไว้ให้ข้าหนึ่งหลัง ฤดูใบไม้ร่วงของเขาอวี้ซันนั้นสวยงามที่สุด ถึงตอนนั้นข้าจะพามารดาข้ามาพักที่นี่สักช่วงหนึ่ง ให้นางได้มีความสุขด้วย”
“ฮึ ช่างฝันหวาน อาคารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ในการใช้ ปีหน้าเราจะเปิดลงทะเบียนรับนักเรียนจำนวนมาก ถึงตอนนั้นจะนักเรียนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคนและจะมีอาจารย์หนึ่งร้อยคน ข้ายังกังวลว่าอาคารจะไม่เพียงพอ จะมีห้องว่างสำหรับเจ้าที่ไหนกัน”
“ก็เพียงแค่กินอาหารของเจ้าไม่ใช่หรือ ต้องใจคอคับแคบเช่นนี้หรือ ข้าจ่ายเงินคืนให้ดีหรือไม่” หลี่เค่อชวนทะเลาะด้วยความหัวเสีย
อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจความคิดงี่เง่าของเด็กน้อย ดึงหลี่ไท่แล้วเดินกลับ ประตูทางเข้าลานบ้านคึกคักมาก หวงสู่สองสามีภรรยากำลังเก็บแผงขายเหล้า ใบหน้ายิ้มแย้มมองเงินที่กำไรมาได้ไม่น้อย บรรดาอาจารย์ก็เพิ่งกลับจากเดินเล่นริมแม่น้ำ ตลอดทางพูดคุยหัวเราะเฮฮา นักเรียนในสถานศึกษาวิ่งเล่นหยอกล้อกันที่หน้าประตู จ้าวเหยียนหลิงและอาจารย์รุ่นที่สองกำลังพูดคุยเกี่ยวกับอาคารริมแม่น้ำตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างเต็มที่ อวิ๋นเยี่ยยิ้มและเดินผ่านฝูงชน ขณะที่กำลังจะเข้าไป กลับได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้น “อวิ๋นซื่อซยง!”
เมื่อหันกลับไปมองกลับเป็นซินเย่ว์ นางถือกล่องอาหารด้วยอาการขวยเขิน บิดไปมาอยู่เป็นเวลานานจึงส่งกล่องอาหารใส่มืออวิ๋นเยี่ยได้ นางพูดเสียงหวานว่า “ท่านยังไม่ได้ทานข้าวเย็น ข้าตั้งใจปรุงอาหารสองสามอย่างให้โดยเฉพาะ ท่านลองชิมดู” เมื่อพูดจบก็ยกมือปิดหน้าวิ่งกลับไป
นักเรียนในสถานศึกษาเอ็ดตะโรโห่ร้องกันอยู่ครู่หนึ่ง บรรดาอาจารย์ก็พากับลูบเคราพยักหน้า หวงสู่สองสามีภรรยาสีหน้าแสดงความยินดี
“ไม่ดี!” อวิ๋นเยี่ยร้องตะโกนอยู่ในใจ ฉันลืมคุณหนูที่เลื่องชื่อเรื่องความใจกล้าในแดนกวนจงไปได้อย่างไร ทำเช่นนี้แล้วฉันยังจะสามารถสู่ขอคนอื่นได้หรือ