เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 51
สุดท้ายปูนซีเมนต์ก็เกิดปัญหาขึ้น นี่เป็นเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลที่สุด ไม่มีอุปกรณ์ตรวจสอบ ได้แต่ประเมินจากประสบการณ์เท่านั้น ซึ่งเป็นการมอบอำนาจการตัดสินใจให้กับคนงานเผาหินอย่างเต็มที่ แต่ทว่าสำหรับมาตรฐานการผลิตแล้วก็อย่าได้ทำตามอำเภอใจ
ผู้ดูแลเตาเผาปูนซีเมนต์มารายงานตั้งแต่เช้าตรู่ว่า ปูนซีเมนต์ที่ออกมาจากเตาเผาเมื่อคืนนั้นไม่มีความเหนียว ได้ทำบล็อกทดสอบซีเมนต์แล้ว ตอนนี้ผ่านไปหกชั่วยามแล้ว เพียงแค่ใช้มือบีบก็แตกเป็นผง ซึ่งมันไม่สามารถนำไปใช้ได้เลย
เมื่อถามถึงสาเหตุผู้ดูแลก็อ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ชัดเจน อวิ๋นเยี่ยจึงไม่ถามอีก เพียงแค่สวมชุดผ้าป่านแล้วตรงมันยังโรงงานเตาเผา คนงานเตาเผาต่างก็นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่พูดอะไร ชายคนหนึ่งที่คล้ายคนของทางการกำลังยืนบ่นจู้จี้จุกจิก เนื่องจากค่อนข้างไกลจึงได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร เมื่อเข้ามาใกล้จึงได้ยินอย่างชัดเจน
“พวกทาสตาบอดอย่างพวกเจ้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง เพียงแค่ปูนซีเมนต์เตาเดียวก็เผาไม่ได้ จะเก็บพวกเจ้าเอาไว้ทำไม”
“เซี่ยจั่งกู้[1] แต่เดิมพวกเราเพียงแค่เพิ่มวัตถุดิบสามพันจินต่อเตา เมื่อวันก่อนท่านยืนกรานจะเพิ่มห้าพันจิน เมื่อไฟเผาไหม้ได้ไม่ทั่วก้อนหินย่อมต้องเสียเป็นธรรมดา ตอนนี้ท่านมาต่อว่าพวกเรามันไม่มีเหตุผล ผู้ดูแลไปเชิญโหวเหยียแล้ว อยากจะรู้ว่าท่านจะอธิบายอย่างไร”
เมื่อได้ฟังก็รู้ว่านี่เป็นคนเก่าคนแก่ของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น นับตั้งแต่ที่โหวเหยียฟาดขาของเจ้าของหมู่บ้านตระกูลหูจนหัก พวกเขาก็ไม่ค่อยหวาดกลัวต่อเจ้าหน้าที่ทางการเสียเท่าไร แต่ละคนเดินกร่างอยู่ในหมู่บ้าน เมื่อเห็นคนต่างหมู่บ้านกวักมือเรียกตัวเองจึงถอนหายใจ ฮึ แล้วจึงเดินจากไป แต่ละคนเป็นพวกดื้อด้าน พวกที่กล้าต่อปากต่อคำนอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอีก เซี่ยจั่งกู้เริ่มหน้าถอดสีขณะที่กำลังจะโวยวายก็เห็นว่าคนงานเตาเผาต่างพากันลุกขึ้นยืน เมื่อหันกลับไปมองจึงเพิ่งรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ข้างหลังเขา
“เจ้ากลับไปที่กรมโยธาได้แล้วและไม่ต้องมาอีก ถ้าหากเจ้ากรมจางต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องปูนซีเมนต์ ก็ให้เขาส่งคนที่ไม่สั่งการอย่างไม่แยกแยะมาและนำค่าชดเชยค่าเสียหายของเตาเผานี้มาคืนด้วย ที่นี่คือตระกูลอวิ๋นไม่ใช่กรมโยธา หากอยากวางอำนาจขุนนางก็กลับไปวางอำนาจที่นั่น”
เมื่อพูดจบก็ไม่สนใจจั่งกู้อีกและพูดกับคนงานเตาเผาว่า “พวกเจ้าโตมาด้วยอะไร ถูกคนอื่นสั่งให้ทำแบบมั่วๆ ก็ยังทำตาม เสียปูนซีเมนต์ไปหนึ่งเตาไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรเพื่อให้พวกเจ้ารู้จักจำ ว่าอย่าฟังคนอื่นสั่งอะไรอย่างเหลวไหล คนงานของตระกูลอวิ๋นหักค่าแรงสองส่วนของค่าจ้าง คนที่ไม่ใช่คนตระกูลอวิ๋นหักหนึ่งส่วน หากคราวหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก จะไล่กลับบ้านทันที เข้าใจไหม ตอนนี้ทุกคนไปทำงานต่อได้ เตรียมวัสดุเริ่มเผาใหม่”
คนงานเตาเผาไม่มีใครเกลียดอวิ๋นเยี่ย แต่กลับมองเซี่ยจั่งกู้ที่ทำให้พวกเขาได้เงินเดือนน้อยลงด้วยสายตาโกรธแค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในตระกูลอวิ๋นไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเองถูกหักเงินมากกว่าคนนอก พวกเขารู้สึกเพียงแต่ว่าทำให้หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นต้องเสียหน้า
การล้างเตาเผาและเตรียมวัตถุดิบเพื่อเผาใหม่เป็นงานที่เหนื่อยมาก อุณหภูมิในเตาเผาปูนซีเมนต์ตอนนี้ยังคงสูงอยู่มาก แต่ละคนเหงื่อออกเต็มหน้า และยังมีพวกที่ยังไม่รู้ถึงความร้ายกาจอยู่ถึงกับกล้าเอาออก ใส่หน้ากาก ถูกอวิ๋นเยี่ยด่าอย่างแรง ไม่ต้องการให้พวกเขาเป็นโรคปอดฝุ่นหินทรายในอนาคตเพราะนี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต
เมื่อถึงเวลาที่จะได้จุดไฟก็ถึงยามอู่[2]แล้ว อวิ๋นเยี่ยรีบกลับบ้านพร้อมด้วยฝุ่นที่ติดเต็มตัว เขาที่สวมชุดผ้าป่านไม่ได้มีความสง่าของโหวเหยียเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าสกปรกเลอะเทอะไม่ต่างอะไรกับคนงานเตาเผาที่อยู่ข้างๆ สักเท่าไร
คนงานเตาเผาเลิกงานแล้ว นี่ก็เป็นบรรยากาศที่โดดเด่นของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ชายสกปรกมอมแมมหลายร้อยคนเปิดอกเสื้อเดินจ้ำอ้าวด้วยเท้าเปล่า พูดคุยหยาบโลนและหัวเราะอย่างไร้กังวลเสียงโหวกเหวกตลอดทาง
“พี่ชายท่านนี้ ข้าขอรบกวนถาม” ชายร่างใหญ่ที่มีหนวดเครารุงรังเต็มใบหน้าได้เข้ามาขวางและพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“ไม่ทราบว่าพี่ชายท่านนี้มีกิจสำคัญอันใด” ขณะที่กำลังคุยสัพเพเหระอย่างสนุกสนานกับเหล่าคนงานเตาเผา จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ที่นี่คือหมู่บ้านของอวิ๋นเยี่ย หัวโจกของเภทภัยทั้งสามของฉางอันใช่หรือไม่” ชายฉกรรจ์ถามด้วยเสียงแหบและทุ้มต่ำ ในตอนนี้อวิ๋นเยี่ยจึงตั้งใจสังเกตผู้ชายที่แต่งกายเป็นชาวยุทธ์ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างละเอียด บนศีรษะใช้ผ้าสีน้ำเงินรัดผมไว้และจงใจไว้จอนผมให้ปลิวไปตามลม ที่เอวขาดสายหนังคาดเอวขนาดใหญ่ ด้านหลังสะพายดาบเล่มใหญ่ไว้ ลักษณะท่าทางน่าเกรงขาม
ผู้คนในหมู่บ้านได้ยินเขาพูดเช่นนี้ต่างก็พากันอึ้งไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตาโง่คนนี้จะมาทำอะไร คนงานเตาเผาหลายคนที่เป็นองครักษ์ได้แยกอวิ๋นเยี่ยให้ห่างออกจากชายคนนี้อย่างแยบยล
“ไม่ต้องกลัว ข้ามาที่นี่เพื่อกำจัดเภทภัย สี่วันก่อนข้าได้ขอพักอยู่ที่วัดกลางป่าแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ในตอนกลางคืนจึงเข้าไปดู เป็นผู้หญิงและเด็กกว่าสิบคนร้องไห้อย่างน่าสงสาร รอบด้านมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่ ข้าได้ยินพวกนางพูดถึงชื่อของคนเลวอวิ๋นเยี่ยอยู่เป็นระยะๆ จึงขี่ม้ารีบเดินทางหลายพันลี้ตั้งใจจะมาเจอคนเลวคนนี้โดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าเมื่อไปถึงเมืองหลวงสืบข่าวแล้วทำให้ข้าเกือบจะอกแตกตาย คนเลวคนนี้ยังเป็นหัวโจกของเภทภัยสามสิ่งแห่งฉางอันด้วย วันนี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้คนเลวนั่นลอยนวลอย่างเด็ดขาด ขอเพียงแค่บอกข้าว่าคนเลวตอนนี้อยู่ที่ใด ข้าซีถงจะต้องกำจัดเภทภัยให้พวกนางให้จงได้” พูดกล่าวดูดีมีคุณธรรม ช่างดูสง่างามน่าเกรงขาม
อวิ๋นเยี่ยถึงกับหายใจไม่ออก โกรธจนเป็นลมสลบไป
ชายฉกรรจ์ร้อยกว่าคนพร้อมใจกันจับชายที่ชื่อซีถงกดหมอบลงกับพื้นและใช้สายคาดเอวผูกไว้อย่างแน่น จากนั้นลงมือต่อยและเตะ กระหน่ำฟาดท่อนไม้ใส่ แม้แต่ท่านป่าที่เดินผ่านมาก็เข้ามาเตะด้วย
อวิ๋นเยี่ยดื่มน้ำคำโตจึงค่อยอาการดีขึ้น มองไปที่ชายร่างใหญ่ที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาซึ่งกำลังดิ้นรน จึงเดินเข้าไปถามว่า “เจ้าไปรู้มาจากไหนว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนเลว ผู้หญิงและเด็กเหล่านั้นพูดเองกับปากหรือ”
“คนเลว คนเลวที่ช่วยคนเลวด้วยกันทำเรื่องชั่วช้าเช่นพวกเจ้า แม้ข้าตายเป็นผีก็จะไม่ละเว้นพวกเจ้า” ผลที่ตามมาก็คือโดนต่อยอีกหลายหมัด ไม่ร้องแล้วแต่พูดอย่างเคียดแค้นว่า “หากพบความอยุติธรรมทุกคนย่อมทวงความเป็นธรรม ข้าคำนวณพลาดไป ไม่คิดว่าทั้งหมู่บ้านล้วนแล้วแต่เป็นคนชั่วทั้งนั้น ถ้าแน่จริงก็แก้มัดให้ข้าแล้วมาสู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง ดูสิว่าข้าจะเด็ดหัวสุนัขของพวกเจ้าได้ไหม”
คำพูดที่เลวทรามแน่นอนว่าก็ต้องโดนต่อยอีกรอบ หากอยู่บนถนนนั้นดูไม่ดีอวิ๋นเยี่ยจึงให้คนแบกชายคนนี้เข้าไปในห้องห้องหนึ่งและผูกติดอยู่กับเก้าอี้อย่างแน่นหนา
“ข้าก็คืออวิ๋นเยี่ยที่เจ้ากำลังตามหา ข้าก็คืออวิ๋นเยี่ยหัวโจกของเภทภัยทั้งสามของฉางอันอันลือชื่อ เพียงแต่ไม่เข้าใจเราไม่เคยมีความแค้นต่อกันทั้งก่อนหน้านี้และในปัจจุบัน เหตุใดเจ้าจึงต้องตามหาข้าและฆ่าข้าด้วย”
ดวงตาของซีถงแทบจะทะลักออกนอกเบ้าตา ร่างกายพุ่งมาข้างหน้าอย่างดุดัน ใช้ศีรษะกระแทกใส่อวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่ขยับตัวหลบเขาก็หน้าคะมำอยู่บนพื้น มีฟันสองซี่เพิ่มขึ้นมาบนพื้น เขาพยายามที่จะหงายหน้าขึ้น อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดสด เศษเลือดคำโตก็ถูกถุยออกมาเลอะชายเสื้อของอวิ๋นเยี่ยกระเด็นเป็นจุดเล็กๆ ใหญ่ๆ สีแดงเต็มไปหมด
อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็ไม่โกรธและไม่ให้คนทุบตีเขาอีก ให้เหล่าจวงที่รีบมาช่วยพยุงเขาขึ้นและใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดบนปากของเขา
“หากข้าเดาไม่ผิดละก็ เจ้าคงได้พบกับเด็กกำพร้าของตระกูลหลูเข้า พวกเขาถูกประหารทั้งครอบครัว ผู้ชายหนึ่งร้อยหกสิบกว่าคนถูกฆ่าตายทั้งหมด พวกนางถูกส่งไปยังโรงละคร เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนช่วยพวกนางออกมา”
ซีถงยังคงมีแววตาเช่นเดิม นั่งลงบนเก้าอี้อย่างองอาจผึ่งผาย ดูค่อนข้างน่าเกรงขาม ปิดปากสนิทโดยไม่มีคำพูดใดๆ
อวิ๋นเยี่ยพูดต่อไปว่า “ข้าเอง ข้าเสี่ยงกับการโดนฝ่าบาทลงอาญาพาพวกนางออกไป ตอนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าตามหาผิดคนแล้ว”
“แค่คำแก้ตัวข้างๆ คูๆ เจ้าคือหัวโจกของเภทภัยทั้งสามแห่งฉางอัน มีหรือจะใจดีเช่นนี้” ให้ตายสิ คนประเภทซีถงนี้เป็นพวกหัวดื้อหัวรั้น เหตุผลแรกที่เขาปักใจเชื่อไปแล้วก็จะยึดติดไปตลอดชีวิต เป็นพวกนักอุดมคติที่ยึดมั่น โลกของเขาค่อนข้างเรียบง่าย ดังนั้นมุมมองที่มีต่อโลกก็เรียบง่ายเช่นกัน คนไม่ดีก็จะต้องเป็นคนเลว
“ฉายาสามเภทภัยของฉางอันของข้าได้มาอย่างไร เจ้าต้องสืบข่าวในฉางอันให้ละเอียดชัดเจน เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด” อวิ๋นเยี่ยชื่นชมบุคคลประเภทนี้ ชื่นชมมาโดยตลอด คุณอาจจะสามารถพูดได้ว่าเขาไม่มีสมอง อาจกล่าวได้ว่าเขาโง่เขลา แต่อย่าได้สงสัยในความมุ่งมั่นของเขา การไม่ยอมประนีประนอมเป็นคุณสมบัติเด่นของคนเช่นนี้
อวิ๋นเยี่ยโบกมือส่งสัญญาณให้เหล่าจวงปล่อยเขาไป
“โหวเหยีย บุคคลคนนี้ไม่ประสงค์ดี หากส่งไปให้ทางการก็ต้องโดนตัดศีรษะอย่างแน่นอน ท่านอย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาด” เหล่าจวงรีบเกลี้ยกล่อมอวิ๋นเยี่ยไม่ให้ปล่อยเสือเข้าป่า
“คนประเภทนี้เริ่มมีน้อยลงเรื่อยๆ ยอมขี่ม้าเป็นระยะทางนับพันลี้เพื่อแก้แค้นให้กลุ่มผู้หญิงและเด็กที่ไม่รู้จัก มีน้ำใสใจคอของชาวยุทธ์โบราณ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่จะปล่อยเขาสักครั้ง หรือเจ้าก็เชื่อว่าโหวเหยียของเจ้าเป็นคนที่ชอบก่อกรรมทำเข็ญด้วย” อวิ๋นเยี่ยสะบัดมือและพูดกับซีถงว่า “ถ้าหากเจ้าสืบจนรู้แน่ชัดแล้วว่าข้ามีความผิดสมควรตาย ข้าก็จะรอให้เจ้ามาฆ่าข้า”
เมื่อพูดจบก็ก้าวเท้าเดินจากไป ไม่รู้ว่าที่บ้านจะชุลมุนวุ่นวายเพียงไหนแล้ว อวิ๋นเยี่ยกลัวว่าหากท่านย่ารู้เข้าจะร้อนใจจนเกิดโรคขึ้น
เหล่าจวงไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้แต่ต้องแก้เชือกให้ซีถง ยิ้มเจื่อนๆ และพูดกับเขาว่า “ให้ตายสิ เจ้ามันโชคดี ที่ได้มาเจอโหวเหยียของข้า ถ้าเป็นคนอื่นคิดว่าเจ้าคงได้ถูกถลกหนังลงมาทำเป็นหนังกลองแล้ว เจ้าไปสอบถามผู้คนโดยรอบดูว่ามีใครบอกว่าโหวเหยียของข้าไม่ดีบ้าง ปีนี้เกิดภัยพิบัติ หากไม่ใช่เพราะโหวเหยีย เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้ยังคงมีแรงพอที่จะเดินอีกหรือ ไม่กล้ากล่าวว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ถ้าจะบอกว่าชี้ทางรอดให้คนนับพันก็ไม่ถือว่าเป็นคำคุยโวอย่างแน่นอน ใต้หล้านี้มีคนโง่เช่นเจ้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือเลวร้าย”
เมื่อพูดจบเพียงยกเท้าขึ้นเตะดาบของซีถงก็ลอยกลับมาที่มือของเขา ส่งมันให้ซีถงและกล่าวว่า “หากจะฆ่าโหวเหยียข้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน ครั้งนี้เป็นเพราะโหวเหยียใจกว้าง คราวหน้าข้าจะต้องให้เจ้าเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้”
ซีตงไม่ได้พูดอะไร เดินขากะเผลกทีละก้าวๆ จากออกไป ทั้งสองข้างถนนเต็มไปด้วยชาวบ้านที่โกรธแค้น เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ โหวเหยียที่สวมชุดผ้าป่านจะเลวได้ถึงขั้นไหนกัน เขาต้องพิสูจน์
เกิดคลื่นยักษ์ขึ้นที่บ้านแล้ว เสียงร้องไห้ของท่านย่าดังจากลานด้านหลังดังมาถึงลานด้านหน้า หลานชายคือแก้วตาดวงใจของนาง แม้ว่าจะเป็นแผลเพียงเล็กน้อยก็แทบจะเอาชีวิตของนางแล้ว คราวนี้ได้ยินว่ามีคนลอบฆ่าจึงเป็นลมไปสองครั้ง เมื่อตื่นขึ้นมาก็ตามหาหลานชายไปทั่ว แลดูเลอะเลือนไปแล้ว
อวิ๋นเยี่ยรีบวิ่งไปกอดท่านย่าและบอกว่าไม่เป็นอะไร บอกว่าเป็นเพียงแค่การหยอกล้อกันเท่านั้น แล้วจ้องหน้าตาเขม็งมองพ่อบ้านที่พูดมาก
ท่านย่าคลำหาแผลบนตัวอวิ๋นเยี่ยไปทั่วร่าง ถามนั่นนี่โน่นอยู่เป็นนานจึงค่อยได้สติกลับมา จากนั้นก็ร้องไห้อีก หากมีผู้หญิงที่บ้านยิ่งมากยิ่งวุ่นวาย คนนี้เพิ่งปลอบเสร็จ คนนั้นก็เอาอีกแล้ว ไม่จบไม่สิ้น โชคดีที่อวิ๋นเยี่ยเองก็เคยชินแล้ว ไปอาบน้ำด้วยตัวเองปล่อยให้พวกนางร้องไห้ให้พอ
เมื่ออาบน้ำเสร็จก็พบว่าเหล่าจวงและหลิวจิ้นเป่าคุกเข่าอยู่ในห้องโถงด้านหน้า ท่านย่าใช้ไม้ไผ่ฟาดพวกเขา ฟาดอย่างไม่คิดชีวิต จอมโง่สองคนนี้ก็ไม่รู้จักหลบ ยืนกรานจะรับการโบยให้ได้ “ท่านย่าท่านระบายอารมณ์เถอะ แต่อย่าได้ให้กระทบกระเทือนถึงสุขภาพ ต่อลงไปหากหลานจะไปข้างนอกจะต้องพาพวกเขาไปด้วย”
ได้ยินหลานชายรับปากแล้วแม่เฒ่าจึงยอมเก็บไม้ไผ่ขึ้น เพิ่งคิดขึ้นได้และถามอวิ๋นเยี่ยถึงต้นสายปลายเหตุ หลังจากที่รู้สาเหตุแล้วก็คิดอะไรไม่ออกนั่งอึ้งอ้าปากค้าง หลานชายตัวเองเป็นเด็กที่ดีที่สุดแท้ๆ เหตุใดจึงกลายเป็นสามเภทภัยแห่งฉางอันไปได้ อีกทั้งยังเป็นหัวโจกของสามเภทภัยแห่งอีกด้วย
ในเวลานี้ซีถงที่ยืนอยู่บนเนินเขาด้านนอกหมู่บ้านสาบานว่า หากเขาใส่ร้ายอวิ๋นเยี่ย เขาจะใช้ชีวิตมาชดใช้ แต่ถ้าหากอวิ๋นเยี่ยทำร้ายผู้บริสุทธิ์จริงๆ เช่นนั้นจะฆ่าเขาแล้วฆ่าตัวตายเพื่อทดแทนบุญคุณที่เขาปล่อยตัวเองในครั้งนี้
สายลมบนเขาพัดผ่าน ดูเหมือนจะพัดพาความรู้สึกอันสูงส่งที่โง่เขลาที่สุดอันเข้มข้นจนแยกแยะไม่ออกไปกับสายลมด้วย