เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 53
กิจการล่องแพไม้ไผ่บนแม่น้ำตงเหอเริ่มปรากฏ ตอนนี้เมื่อถึงวันหยุดพักผ่อนก็จะมีผู้คนมากมายมาล่องแพไม้ไผ่ไปตามระลอกน้ำบนลำน้ำใสๆ ที่เห็นถึงก้นลำธาร ผ่อนคลายความเครียดไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พิงศีรษะบนลำไม้ไผ่สีเขียว เงี่ยหูฟังเสียงของน้ำที่แพไม้ลอยผ่านที่เดิมก็เป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะเป็นที่สุด เมฆสีขาวราวปุยฝ้ายที่อยู่เหนือศีรษะเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ ประเดี๋ยวเหมือนม้าหนุ่มห้อตะบึง ประเดี๋ยวเหมือนกระต่ายขาวนั่งยองๆ
ไม่ต้องการทั้งเหล้าและน้ำชา ต้องการเพียงแค่ร่างหนังห่อหุ้มที่ว่างเปล่าหนึ่งใบ ภูเขานี้ สายน้ำนี้ เมฆที่สีสันสดใสนี้สามารถเติมเต็มหัวใจที่เหนื่อยล้าและว่างเปล่าของคุณได้
ผู้คนไปมาคับคั่ง มีหญิงสาวอวดโฉมไว้แต่งแต้ม มีชายหนุ่มร้องเพลงประกอบ กลิ่นหอมลอยชวนเย้ายวนจากอาภรณ์ที่ร่ายรำ เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย
ฉันต้องการเพียงภูเขานี้ สายน้ำนี้ เมฆขาวนี้
อวิ๋นเยี่ยผิดไปแล้ว เพราะเขายังต้องช่วยพยุงแพไว้ เสี่ยวชิวถูกแขวนติดอยู่บนไม้ถ่อแพแล้ว กอดไม้ถ่อแพมองดูแพที่กำลังจะลอยไปตามลมพลางร้องไห้ ซินเย่ว์สองมือลนลานคว้าเสื้อเสี่ยวชิวไว้ไม่ยอมปล่อยมือ นางเองก็ใกล้จะตกลงไปอยู่แล้วเช่นกัน
ผู้หญิงโง่สองคนไม่รู้จักปล่อยไม้ถ่อแพหรืออย่างไร อวิ๋นเยี่ยยกปลายไม้ถ่อแพขึ้นและถ่อกลับมา ต้องออกแรงอย่างมากจึงช่วยเสี่ยวชิวลงจากไม้ถ่อแพได้ ทำอะไรไม่ใช้ความคิดจึงได้ปักไม้ถ่อแพเข้าไปที่ซอกหิน ถูกแขวนอยู่บนนั้นก็สมควรแล้ว
ฉากบรรยายที่งดงามถูกทำจนเละเทะไปหมด ซินเย่ว์ยังมักพูดเสมอว่านางเฉลียวฉลาด ที่ว่าเฉลียวฉลาดคือเช่นนี้เองน่ะหรือ แขวนตัวเองไว้บนไม้ถ่อแพแล้วก็เหวี่ยงแขนขาเหมือนลิง
ผู้หญิงที่อยู่บนแพไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามจึงจะเรียกว่าฉลาดเฉลียว พับแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนขาวๆ ร้องเพลงและเต้นรำ ดึงดูดฝูงหมาป่าในสำนักศึกษาให้โห่ร้องอย่างลืมตัว
“ห้ามดู” ซินเย่ว์หมุนหน้าของอวิ๋นเยี่ยให้หันกลับมา ผมสีดำขลับของนางติดที่รัดผมบุษราคัมที่ด้านบนฝังประดับด้วยแก้วคริสทัลมากมาย เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องมันจึงเป็นประกายสุกสกาว เมื่อเห็นของสิ่งนี้อวิ๋นเยี่ยจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาถูกหมั้นหมายแล้ว
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ต้องพูดถึงเมื่อสามวันก่อน หลังจากที่ซินเย่ว์มาอยู่ในห้องของอวิ๋นเยี่ยเป็นเวลานานอีกครั้ง เขาถูกบรรดาอาวุโสบังคับลากไปริมน้ำและเริ่มบทสนทนาที่เต็มไปด้วยการล่อลวงและการคุกคาม
“เจ้าหนุ่ม เจ้าได้กำไรแล้ว หลานสาวผู้งดงามของเหล่าซินสนใจเจ้า ว่าอย่างไร จะหมั้นหมายเมื่อไหร่ ” คำพูดของหลี่กังเหมือนหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่ฟังดูราวกับบังคับให้แต่งงาน โดยไม่ได้ดูเลยว่าตาเฒ่าวัยเจ็ดสิบปีจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน มีการบังคับหมั้นหมายเช่นนี้ด้วยหรือ
“คนหนุ่มสาวควรจะต่างคนต่างอยู่ ชายโสดหญิงสาวอยู่ในห้องเดียวกัน เหล่าซินเจ้าก็วางใจไปได้ หากเป็นข้าใช้กฎบ้านจัดการไปตั้งนานแล้ว ยังจะมีเรื่องดีเช่นการยกหลานสาวให้แต่งงานกับเขาเช่นนี้อีกหรือ ” อาจารย์หยวนจางพูดสำทับอยู่ด้านข้าง
ซุนซือเหมี่ยวผู้ซึ่งไม่มีอะไรได้เดินมาจากข้างๆ พูดแทรกว่า “ซินเย่ว์เด็กคนนี้รูปร่างหน้าตาดี เปิดเผยจริงใจเหมือนชาย เจ้าหนุ่มได้แต่งกับนางก็ถือเป็นวาสนาแล้ว ตระกูลอวิ๋นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีทายาทสืบทอดหน้าที่การงานของตระกูลแล้ว” เหล่าซุนคำนึงถึงระยะยาวแทนตระกูลอวิ๋น
“เจ้าหนุ่ม ชื่อเสียงของหลานสาวเขาถูกเจ้าทำให้มัวหมอง ตอนนี้เจ้าไม่ได้พูดอะไรเลยหรือเป็นเพราะดูถูกตาเฒ่าอย่างพวกเรา แต่ก็ช่างเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะเก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับบ้านเกิดที่เหอซี ใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่น จะไม่กลับว่าวุ่นวายกับเรื่องราวทางโลกอีกเลย” สีหน้าอาจารย์หลีสือเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ช่างขายหน้ายิ่งนัก ยังโชคดีที่อยู่ต่อหน้าสหายเก่าไม่กี่คนเท่านั้น มิฉะนั้นข้าจะยังมีหน้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกหรือ! ” ยกมือทุบอกกระทืบเท้าซึ่งเป็นท่าไม้ตายที่เด็ดที่สุดของอาจารย์อวี้ซัน
เบื้องหน้าเขาปรากฏใบหน้าที่คุ้นเคยของหลี่อันหลานขึ้นแวบหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ถูกซ่อนอยู่ในความมืดมิดอันไร้ขอบเขต แม้ว่าจะบอกว่ามีความรู้สึกเหมือนหลอกใช้ความรู้สึกของฝ่ายหญิง แต่อวิ๋นเยี่ยก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สามารถได้แต่งงานกับซินเย่ว์ถือเป็นวาสนาของข้า หาได้มีความคิดเป็นอื่นไม่ พวกท่านกังวลมากไปแล้ว”
ในใจค่อนข้างเจ็บปวด แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม
ซินเย่ว์เป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง ได้แต่งงานกับนางถือว่ามีวาสนาจริงๆ แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกดีใจเลย อวิ๋นเยี่ยถามตัวเอง
เหล่าผู้อาวุโสทำถึงขั้นนี้ก็ถือว่าเป็นขีดสุดด้านศีลธรรมของพวกเขาแล้ว หากลังเลแม้เพียงน้อยนิดก็จะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะต่อสำนักศึกษาหรือตนเอง
เมื่ออวิ๋นเยี่ยรู้สึกถึงบรรยากาศที่เบาบางลง จึงกลับสู่ความนุ่มนวลเหมือนปกติ
“ข้าก็บอกแล้ว เย่ว์เอ๋อร์เป็นเด็กดีเช่นนี้ แล้วจะมีใครอยากผลักไสไล่ส่งกัน เรื่องที่วันนี้พวกข้าเสียหน้ามากมายเช่นนี้ เจ้าหนุ่ม เจ้าห้ามพูดอะไรออกไป ไม่เช่นนั้นจะตีเจ้าให้ขาหัก” อาจารย์หยวนจางเตือนอวิ๋นเยี่ยอย่างดุดัน
ไม่มีใครสนใจเขาอีก เหล่าอาวุโสพูดคุยหัวเราะพากันกลับสำนักศึกษา ดูเหมือนอาจารย์อวี้ซันจะกำลังรับการแสดงความยินดีของพวกเขา
“ยังไม่ได้คุยอะไรเกี่ยวกับการหมั้นเลย พวกท่านรีบกลับเกินไปหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยเกรงว่าพวกเขาจะให้ตัวเองแต่งงานในวันพรุ่งนี้ซึ่งน่าอับอายกว่าหวงสู่เสียอีก
หลี่กังแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีคำพูดที่ดี “เห็นแก่ที่เจ้ายังมีหน้ามีตาอยู่บ้าง จึงได้บอกเจ้าก่อน ไม่เช่นนั้นล่ะก็ คำสั่งของบิดามารดา คำมั่นของแม่สื่อ มีหรือจะให้เจ้าได้อ้าปากแทรกแซงได้ เรื่องนี้พวกข้าจะไปหารือกับแม่เฒ่าเอง เจ้าก็สงบปากได้แล้ว ตั้งใจทำงานเจ้าให้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นให้มากนัก”
เข้าใจคนบ้านตัวเองเป็นอย่างดี ท่านย่า ป้าสะใภ้ อาหญิง พี่สาว ผู้หญิงกลุ่มใหญ่ ว่างมากไม่มีอะไรทำจึงได้จับกลุ่มคุยจ้อถึงเรื่องของนายหญิงของตระกูลอวิ๋นในอนาคตควรจะเป็นเช่นไร ตอนนี้มีประเด็นให้คุยแล้วที่บ้านจะไม่วุ่นวายจนถล่มทลายหรือ
แน่นอนว่าท่านย่าใช้วิธีการที่รวดเร็วที่สุดทำการหมั้นให้กับอวิ๋นเยี่ย ทั้งยังมอบที่รัดผมบุษราคัมที่เป็นมรดกตกทอดประจำตระกูลอวิ๋นให้กับซินเย่ว์ด้วย ในครานี้จึงทำให้อาจารย์อวี้ซันซึ่งเดิมยังไม่ค่อยพอใจอารมณ์ดีเป็นปลิดทิ้ง มองไปที่รัดผมที่ส่องประกายอยู่บนเส้นผมของหลานสาวแล้วถึงกับดื่มสามจอกติดๆ พอใจมากกับอวิ๋นเยี่ยที่รู้จักเลือก
ซินเย่ว์ติดที่รัดผมเดินอวดทั่วสำนักศึกษาและได้รับการชื่นชมจากบรรดาผู้หญิงทั้งหมด ตนเองเสแสร้งแกล้งทำเป็นเขินอายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อกลับถึงห้องก็นั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองมองซ้ายมองขวา หนึ่งชั่วยามผ่านไปจึงยอมถอดออกด้วยความอาลัยอาวรณ์ ห่อด้วยผ้าไหมแล้วเก็บลงไปในกล่องเครื่องสำอางจากนั้นวางไว้ในที่ลับตาที่สุด ใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ้มอยู่ครู่หนึ่งจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดหน้าที่แดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าคิดถึงเรื่องอะไร
สองคนบนริมแม่น้ำตงหยางต่างก็มีความในใจ คนหนึ่งเมื่อหันมาเห็นอีกฝ่ายก็หน้าแดงก่ำขึ้นครั้งหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็เหมือนห่านยื่นทื่อสติเลื่อนลอยไปที่อื่น มีเพียงเสี่ยวชิวผู้น่าสงสารที่พยายามก้มตัวถ่อแพควบคุมไม่ให้ไปชนเข้ากับฝั่ง
น้ำในแม่น้ำนั้นตื้นมาก สูงเพียงเอวของคนเท่านั้น สะอาดใสเห็นก้นลำธาร ไม่มีปลาใหญ่มีเพียงปลาตัวเล็กขนาดเท่านิ้วมือว่ายน้ำเล่นอยู่ ซินเย่ว์ปล่อยปอยผมยาวๆ ลงมาเล็กน้อยและหมอบลงบนแพหยอกเล่นกับปลาน้อย เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นครั้งคราว
หญิงสาวอายุสิบหกปีในราชวงศ์ถังมีพัฒนาการได้อย่างดีมาก เมื่อมองดูส่วนโค้งเว้าที่สมบูรณ์แบบของซินเย่ว์ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกหิวกระหายเล็กน้อย จึงพยายามข่มความคิดอันชั่วร้ายที่อยู่ในจิตใจตน จู่ๆ ก็นึกสนุกจึงหมอบลงบนแพข้างๆ ซินเย่ว์ แบ่งปอยผมมาส่วนหนึ่งหยอกล้อปลาน้อย
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สำนักศึกษาอวี้ซันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเหล่าชนชั้นสูงในเมืองฉางอัน แม่น้ำตงหยางที่ยาวไม่ถึงสิบลี้เต็มไปด้วยแพไม้ไผ่ บ้างก็เป็นชายชราที่หนวดเคราเต็มหน้า บ้างก็เป็นหญิงสวมหมวกทรงกรวยปกปิดด้วยผ้าบาง แน่นอนว่ายังมีบรรดาพ่อพวงมาลัยไล่ตามจับผีเสื้อน้อยๆ เหล่านี้บางคนที่ยากจนที่เกิดมาพอมีความสามารถติดตัวอยู่บ้างก็มาปรากฏตัวอยู่ริมแม่น้ำนี้เช่นกัน ในมือถือหนังสือปากก็ไม่รู้ว่าท่องอ่านกลอนอะไรมั่วไปหมด หวังว่าจะดึงดูดความสนใจของเหล่าชนชั้นสูงที่อยู่บนฝั่งน้ำนั้นได้
อวิ๋นเยี่ยและซินอวี้นั้นสะดุดตามาก ไม่ใช่เพราะทั้งสองเป็นหนุ่มรูปงามและหญิงสาวสวย แต่เพราะทั้งสองเล่นกันอย่างสนุกสนานมาก ดูไร้เดียงสามากๆ เสียงหัวเราะดังอย่างสนุกสนาน ทำให้บัณฑิตเอ่ยปากไม่ออก ทำให้หญิงสาวปรารถนา
ซินเย่ว์บอกับอวิ๋นเยี่ยว่าที่บ้านเกิดในเจี้ยนหนานยังมีแม่น้ำสายเล็กๆ อยู่ ทุกครั้งที่ถึงฤดูร้อนนางชอบนั่งหน้าบ้านดูพวกเด็กผู้ชายว่ายน้ำเล่น มันน่าสนุกมาก
อวิ๋นเยี่ยนั่งพึมพำเบาๆ ซินเย่ว์ฟังอยู่เป็นนานจึงฟังรู้เรื่อง เขาพึมพำว่า “ขาดทุน ขาดทุน ขาดทุนจริงๆ “
“ขาดทุนอะไรกัน เจ้าเสียเงินไปหรือ ” ซินเย่ว์ประหลาดใจมาก
“เจ้าดูเด็กผู้ชายพวกนั้นว่ายน้ำ ข้าเลยรู้สึกขาดทุนมาก”
“เพราะอะไร ขาดทุนอะไร” ซินเย่ว์ไม่เข้าใจความหมายแฝง
“ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กว่ายน้ำเล่นในแม่น้ำ ล้วนแล้วแต่ไม่ใส่กางเกง เปลือยกายล่อนจ้อน ตอนนี้คิดขึ้นมาคิดว่าน่าจะต้องมีผู้หญิงที่รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนเจ้าแอบดู จึงได้บอกว่าขาดทุนมากอย่างไรล่ะ” อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“คนบ้า เหน็บแนมข้าหรือ” ซินเย่ว์ที่เหมือนคนบ้าคลั่งหยิกที่แขนของอวิ๋นเยี่ยอย่างแรง เสียงร้องโอดครวญของอวิ๋นเยี่ยและเสียงหัวเราะด่าของซินเย่ว์ดังกระจายไปทั่วผืนน้ำ
หลีสือที่ยกเก้าอี้โยกวางบนแพไม้ไผ่ พูดกับอวี้ซันที่เอนนอนอ่านหนังสืออยู่ว่า “เหล่าซิน นั่นหลานสาวเจ้า ส่งเสียงโหวกเหวก เจ้าไม่ดูแลหน่อยหรือ”
“ทำไมต้องดูแลด้วย สามีนางยังร้องโอดครวญอยู่ข้างๆ ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีความเห็นอะไร ข้าจะสนใจไปทำไม ก็เพียงแค่เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มสาวเท่านั้นเอง อย่างไรเสียยัยหนูตอนนี้แซ่อวิ๋น ไม่ใช่แซ่ซินแล้ว สอนไว้แล้ว เป็นวาสนาของเจ้าหนุ่มนั่น หากหมอนั่นตามใจจนเสีย เขาก็รับเอง” อาจารย์อวี้ซันอยู่ในท่าทีปล่อยวางไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
หลังจากหยอกล้อกันอยู่นานครึ่งวัน ก็เริ่มท้องร้อง เมื่อเห็นคนอื่นกำลังกินอาหารกันบนแพอย่างมีความสุข ดื่มอย่างเอร็ดอร่อย มีเพียงพวกเขาสามคนที่ไม่ได้นำอาหารมา เสี่ยวชิวเริ่มท้องร้องแล้ว ซินเย่ว์ไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน แม้หิวก็ไม่ยอมลงจากแพไม้ไผ่ ตั้งใจที่ว่าต่อลงไปจะอยู่บนแพไม้ไผ่แล้ว
อวิ๋นเยี่ยทำอะไร จึงได้แต่กระแอมให้คอโล่ง ตะโกนเรียกหวงสู่ที่พาภรรยาและลูกมาเล่นน้ำ
วันนี้เป็นวันหยุดของสำนักศึกษา ทุกคนกำลังพักผ่อน หวงสู่รู้สึกอิจฉาเหล่าชนชั้นสูงมาโดยตลอดที่เมื่อพวกเขามีเวลาว่างก็จะมาล่องแพ เมื่อไปหาผู้ดูแลเพื่อขอแพไม้ไผ่ ผลที่ได้คือถูกถ่มน้ำลายใส่ บอกว่าแพไม้เตรียมไว้ให้สำหรับชนชั้นสูงของสำนักศึกษาเท่านั้น โจรปล้นสุสานอย่างเจ้าจะเอาแพไม้อะไร ไม่เห็นหรือว่านักเรียนในสำนักศึกษาอีกหลายคนกำลังรอรับแพอยู่ เจ้าอยากขอแพหรือ ก็ได้ รอไปจนเที่ยงคืนเถอะ!
เมื่อเช็ดน้ำลายบนใบหน้าแล้ว หวงสู่โกรธมาก ก็เพียงแค่แพไม้ผุๆ ไม่ใช่หรือ ถึงขั้นที่ตาเฒ่าต้องถุยน้ำลายใส่เต็มหน้าด้วยหรือ ทั้งยังให้รอถึงเที่ยงคืนอีก ให้ตายสิ นั่นมันเป็นเวลาที่ปล้นสุสานต่างหาก ใครเขาล่องแพกลางดึกกันบ้าง
หวงสู่ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพเช่นกัน จึงให้คำมั่นสัญญากับภรรยาและลูกว่าแม้ต้องตายก็จะทำให้ได้ ไม้ไผ่อยู่ที่เชิงเขามีมากมายก่ายกอง จึงเลือกตัดต้นที่ปล้องใหญ่ๆ สิบกว่าต้น ทำอยู่ข้ามคืนจึงได้แพไม้ใหญ่หนึ่งแพ วันนี้บนแม่น้ำแพของบ้านเขาจึงสะดุดตามากที่สุด
เมื่อได้ยินโหวเหยียเรียกจึงรีบถ่อเข้ามา ทั้งครอบครัวสามคนคารวะโหวเหยีย
“มีของกินไหม ข้าจะหิวตายอยู่แล้ว”
ไม่ต้องพูดถึง หวงสู่เตรียมไว้อย่างดี มีทั้งไก่และเนื้อ ทั้งยังมีปลาแห้งทอดกรอบ เหล้าข้าวหมักก็ไม่ขาด อิงเหนียงทำขนมแป้งทอดกรอบอร่อยที่สุด
“โหวเหยีย สำนักศึกษาของพวกเราทำไมถึงหยุดพักร้อนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ” หวงสู่ถือโอกาสที่โหวเหยียเปลี่ยนอารมณ์จึงถามขึ้น
“ทุกปีจะหยุดพักร้อนสองเดือน ปิดหนึ่งครั้งในช่วงฤดูร้อนและหนึ่งครั้งในช่วงฤดูหนาว เพียงแต่ปีนี้พักร้อนก่อนล่วงหน้าหลายวัน” อวิ๋นเยี่ยพูดกับหวงสู่
“ทำไมจึงต้องหยุดก่อนกำหนด เหล้าหมักบ้านข้ายังขายไม่หมดเลย” อิงเหนียงพูดแทรกขึ้นมา
“เพราะมีดาวทำลายล้างจะมาเยือน เพื่อไม่ให้สำนักศึกษาต้องพบกับความโชคร้าย จึงได้แต่สั่งปิดเทอม เหล้าหมักบ้านเจ้าส่งไปยังโรงงานเตาเผา ต้องขายหมดอย่างรวดเร็วแน่”
ในอดีตประตูทางเข้าสำนักศึกษาที่อึกทึกคึกคัก วันนี้กลับเงียบเหงาเศร้าสร้อย สวี่จิ้งจงมองดูสำนักศึกษาที่ว่างเปล่าไม่มีคน แล้วมองไปที่สัมภาระบนรถคันใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วส่ายศีรษะ…