เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 20
หายนะของเมืองเซียงเฉิง
หัวแกะยี่สิบเอ็ดหัวกองอยู่ข้างๆ หญิงเลี้ยงแกะ ทั้งยังถูกเรียงเป็นรูปพีระมิด หนังแกะก็วางไว้ข้างๆ นาง กองเป็นกองสูง แววตานางค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น มองดูอวิ๋นเยี่ยไม่กะพริบตา เห็นทหารเสริมสองคนแบกถุงจำนวนหนึ่งเข้ามา จึงลุกพรวดขึ้นมาและเปิดถุงดู ถุงแต่ละใบเต็มไปด้วยเม็ดข้าวสีเหลืองอร่าม นางกอดถุงไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ตาโตๆ จ้องหน้าอวิ๋นเยี่ยเหมือนลูกแกะน้อยที่น่าสงสาร
อวิ๋นเยี่ยชี้เนื้อแกะที่กำลังถูกย่างอยู่แล้วชี้ไปยังถุงที่นางกอดอยู่ สองมือยื่นนิ้วมือออกมาข้างละนิ้วประกบเข้าด้วยกันเพื่อบอกให้รู้ว่าแกะหนึ่งตัวต่อเสบียงหนึ่งถุง นี่เป็นภาษามือที่ชาวฮั่นกับชาวเผ่าหูใช้ในการค้าขายเป็นประจำ
หญิงเลี้ยงแกะกอดถุงกระโดดขึ้นอย่างมีความสุข ลูบๆ ที่ถุงนี้แล้วมองดูถุงนั้น เปิดออกดูทุกถุง ทั้งยังหยิบข้าวเปลือกด้วยมือที่สกปรก โยนเข้าปากสองสามเม็ด ด้วยท่าทางที่ดูแย่สุดจะบรรยาย ทันใดนั้น เหมือนนางจะคิดอะไรบางอย่างได้ เหงื่อก็ไหลลงไปแล้ว ไม่นานนักก็โกรธจนควันออกหู วิ่งวนไปวนมาอยู่ตรงนั้น ก็ไม่รู้ว่าลืมสิ่งสำคัญอะไรไป
หญิงเลี้ยงแกะเตะปิรามิดหัวแกะด้วยความหงุดหงิด เห็นหัวแกะกลิ้งไปมาเกลื่อนพื้น นางก็ดีใจขึ้นอีกครั้ง นางหยิบหัวแกะขึ้นมาแล้วเดินมาด้านหน้าอวิ๋นเยี่ย กลิ่นสาบแกะจากร่างกายนางโชยมาจนอวิ๋นเยี่ยเกือบจะเป็นลมสลบไป
หัวแกะหนึ่งหัววางอยู่ที่ปลายเท้าอวิ๋นเยี่ยอย่างเรียบร้อย หญิงเลี้ยงแกะชี้ไปที่ถุงเสบียงอาหารอีกครั้ง
คิดอยู่ค่อนวันอวิ๋นเยี่ยจึงเข้าใจ ให้ตายสิ หญิงเลี้ยงแกะนับเลขไม่เป็น ถุงยี่สิบเอ็ดถุงนางนับไม่รู้เรื่อง ต้องการใช้หัวแกะหนึ่งหัวแลกเสบียงทีละถุงข้าวให้ชัดเจน ซึ่งทำให้เขานึกถึงบทละครเวทีที่มีชื่อเสียงในยุคปัจจุบัน คนโง่ที่ขายไข่เป็ดตะโกนเสียงดังว่า “สองฟองห้าเหมา หนึ่งหยวนไม่ขาย” ช่างเหมือนกับหญิงเลี้ยงแกะที่อยู่ตรงหน้าที่มีความน่าสนใจเช่นเดียวกัน
นับเลขไม่เป็น แต่ก็ยังกลัวว่าจะถูกหลอกลวง อวิ๋นเยี่ยทำอะไรไม่ถูกก็ต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเมื่อเห็นดวงตากลมโตที่น่าสงสารคู่นั้น จึงได้แต่เอาถุงหนึ่งใบวางไว้ข้างหน้าหัวแกะ หญิงเลี้ยงแกะก็เอาหัวแกะมาอีกหัว อวิ๋นเยี่ยก็นำถุงเสบียงมาอีกหนึ่งใบ…
เมื่อการค้าที่น่าเบื่อที่สุดในโลกเสร็จสิ้น ในที่สุดอาหารเย็นก็เสร็จแล้ว หญิงเลี้ยงแกะได้กลิ่นอาหารก็น้ำลายไหลโดยไม่ลังเล จ้องดูชามข้าวของทหารเสริม ผู้มาเยือนหิวแล้ว เหล่าจวงจึงตักข้าวชาวใหญ่ส่งให้กับหญิงเลี้ยงแกะ นางไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ใช้ตะเกียบด้วย นางใช้มือโกยข้าวเข้าปาก ร้อนจนต้องยิงฟันอ้าปากก็ไม่ยอมลดความเร็วลง ไม่นานนักข้าวทั้งชามก็ลงสู่กระเพาะนาง นางยังคงมองชามข้าวของอวิ๋นเยี่ย แม้แต่หนึ่งในสามของข้าวอวิ๋นเยี่ยก็ยังกินไม่หมด เขาไม่มีความกล้าพอที่จะกินข้าวภายใต้สายตาของหมาป่าตัวนี้ จึงได้แต่ส่งชามให้กับหญิงเลี้ยงแกะ…
หญิงสาวชาวเผ่าหูเมื่ออิ่มหมีพีมันแล้วก็มอบเสบียงให้อวิ๋นเยี่ยดูแลอย่างใจกว้าง ก่อนจะแบกเสบียงสองถุงขึ้นมาแล้วถือไม้ง่ามเดินหายเข้าไปในความมืดอันไร้ขอบเขต
หมาน้อยนั้นน่าสงสาร ปวดใจจนแม้แต่ตั๊กแตนป่นคลุกข้าวที่เป็นของชอบที่สุดก็กินไม่ลง ในความคิดของเขา สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าบั้นท้ายผู้หญิงคนหนึ่งนั่งทับที่ศีรษะก็คือถูกหญิงชาวเผ่าหูเอาบั้นท้ายนั่งทับศีรษะ เขารู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ปณิธานอันมุ่งมั่นห้าวหาญเมื่อตอนจากหมู่บ้านมาได้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้นภายใต้บั้นท้ายของหญิงสาวชาวเผ่าหู
เหล่าจวงติดตามหญิงชาวเผ่าหูกลับมา ตรงนั้นมีกระท่อมที่เล็กมากๆ เพียงหนึ่งหลังและฝังอยู่ครึ่งหนึ่งอยู่ในพื้นดิน เขามองดูรอบๆ อย่างละเอียด มีเพียงครอบครัวหญิงเลี้ยงแกะเพียงครอบครัวเดียว ซึ่งก็คือชาวบ้านทั่วๆ ไปสี่คน เป็นชาวเผ่าหูสองคนและเด็กชาวเผ่าหูสองคน พวกเขาไม่มีม้าและไม่มีวัวและแกะอีก เขาอยู่ด้านนอก ได้ยินเพียงเสียงของเด็กผู้หญิงชาวเผ่าหูพูดเจื้อยแจ้ว ดูเหมือนจะตื่นเต้นมาก
ไม่ต้องให้เหล่าจวงบอกก็รู้ว่า ชาวเผ่าหูสี่คนที่เดินมานั่น เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเหมือนกัน ที่เท้าผูกหนังวัวไว้หนึ่งผืนก็ถือเป็นรองเท้าแล้ว นี่เป็นคนเลี้ยงแกะที่ยากไร้ครอบครัวหนึ่ง พวกเขาไม่มีแม้แต่ม้าซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุด ไม่น่าแปลกใจที่หญิงเลี้ยงแกะจะต่อสู้เพื่อแกะยี่สิบเอ็ดตัวกับองครักษ์ตระกูลอวิ๋นที่มีอาวุธครบมือ เมื่อไม่มีแกะเหล่านั้นแล้ว เพียงแค่สามวันครอบครัวเขาก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้แล้ว
ดูเหมือนคนเลี้ยงแกะชราจะพูดไม่ได้ เพียงลูบหน้าอกเพื่อขอบคุณอวิ๋นเยี่ย เด็กชายตัวเล็กข้างหลังก็ผอมมาก เมื่อเห็นเสบียงอาหารกองอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ทุกคนในครอบครัวก็ดึงใบไม้มาสานเป็นแผ่นกระดานลื่น ดูแล้วคล้ายกับรถลากเลื่อน นำเสบียงอาหารวางไว้ข้างบนแล้วลากกลับไปด้วยความยากลำบาก
เมื่อเห็นครอบครัวของพวกเขาจากไปไกลแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงนั่งลง ถ้าเขาเป็นทหารที่แท้จริง เขาควรฆ่าหญิงเลี้ยงแกะให้ตายอย่างเด็ดขาดเมื่อตอนที่พบกับนาง เชื่อว่าคงไม่มีใครในกองทัพคัดค้าน พวกเขาไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ กับชาวเผ่าหูเลย หากจะถามว่าใครในต้าถังบ้างที่ไม่เคยมีบุญคุณความแค้นกับชาวเผ่าหูเลย เห็นทีจะมีเพียงอวิ๋นเยี่ย ในยุคปัจจุบันเขามีเพื่อนทำปศุสัตว์มากมาย พวกเขาเป็นคนเปิดเผย ไร้เดียงสา ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ หลังจากดื่มเหล้านมแพะคารวะฟ้าดิน อวิ๋นเยี่ยมักจะดื่มเป็นคนแรกเสมอ เขาทำไม่ลง แม้ว่าเหล่าจวงจะแนะนำหลายครั้งแล้ว อวิ๋นเยี่ยยังคงดื้อดึงที่จะปฏิเสธคำแนะนำของเขา ก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด พระเจ้าจึงจะรู้
วันนี้เป็นวันที่หกของการเข้าสู่ทุ่งหญ้า กล่าวคือตามแผนที่วางไว้กองทัพของไฉเซ่าควรจะบุกเข้าไปในเมืองเซียงเฉิงได้แล้ว เมื่อเมืองแตก ถนนติ้งเซียงย่อมต้องเกิดความสงบแล้ว ส่วนข่านเจี๋ยลี่ก็มีแต่ต้องหนีเข้าป่าลึกไป และสิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือกองทัพใหญ่ของหลี่จี
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนเนินสูงมองไปยังทิศทางของเมืองเซียงเฉิง ไม่มีเงาคน เขากังวลมากเกี่ยวกับความปลอดภัยของเฉิงฉู่มั่ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเหล่าจวงก็ไม่ยอมให้กองทัพเคลื่อนไปข้างหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว กองทัพหลบซ่อนอยู่ระหว่างภูเขาและหน่วยสืบข่าวออกไปสามกลุ่ม ไม่มีกลุ่มไหนกลับมาเลย ทำให้อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างร้อนใจ ถามเหล่าจวงว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ทำไมป่านนี้แล้วยังไม่มีใครกลับมาอีก”
“โหวเหยียอย่าได้ร้อนใจไป พวกเขาเพิ่งจะออกไปแค่สองชั่วยาม จะให้กลับมายังเร็วเกินไป ท่านไปนอนพักเอาแรงที่กระโจมสักครู่ เมื่อคืนท่านไม่ได้นอนทั้งคืน”
“ข้าจะนอนหลับได้อย่างไรกัน เฉิงฉู่มั่วเป็นหรือตายก็ไม่รู้ ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว หากเกิดอะไรขึ้น จะให้อธิบายกับตระกูลเฉิงอย่างไรดี”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดกันอยู่นั้น เหล่าจวงจู่ๆ ก็ผลักอวิ๋นเยี่ยตกเนินเขา แล้วตัวเองก้มหมอบลงบนพื้น ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังหงุดหงิด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาสั่นสะเทือน เสียงดังดั่งฟ้าร้องดังมาจากด้านบน
“เกิดอะไรขึ้น” อวิ๋นเยี่ยถามเหล่าจวงอย่างเสียงดัง
“โหวเหยียซ่อนตัวให้ดี มีทหารม้าจำนวนมากกำลังเข้ามา อย่างน้อยก็ต้องหลักหมื่น นี่ไม่ใช่กองทัพของแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่ไม่ได้มีทหารม้าจำนวนมากถึงเพียงนี้” หลังจากฟังเหล่าจวงพูดจบ ในหัวของอวิ๋นเยี่ยก็แข็งค้างไปในทันที หรือจะบอกว่าเฉิงฉู่มั่วถูกดักซุ่ม?
ครั้นปีนขึ้นมาบนเนินเขามองไปในระยะไกล เห็นเพียงรอยคลื่นบนกำแพงหิมะค่อยๆ ม้วนเป็นเกลียวมาจากท้องฟ้า ด้านบนมีจุดสีดำหลายๆ จุดกำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นเป็นองครักษ์ของตระกูลอวิ๋น หัวใจของอวิ๋นเยี่ยหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม หวังว่าองครักษ์ของบ้านเขาจะสามารถวิ่งได้เร็วขึ้นอีกหน่อย เพื่อหนีกองทหารม้าที่บ้าคลั่งเหล่านั้นให้พ้น
ไม่ถูกสิ องครักษ์ของเขาไม่ได้กำลังหนีเอาชีวิตรอด แต่ยิ่งดูเหมือนดีใจมากกว่า คนที่อยู่ด้านหน้าสุดที่สวมเกราะสีดำทั้งชุดคือเฉิงฉู่มั่วไม่ใช่หรือ เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจที่ดังมาแต่ไกล เสียงจากหลอดลมตระกูลเฉิงถึงกับดังกลบเสียงฝีเท้าม้า เสียงที่แสบแก้วหูเมื่ออวิ๋นเยี่ยได้ฟังก็รู้สึกเสมือนว่ามันคือพระราชโองการที่อยู่เหนือหัว ใจที่หล่นไปที่ตาตุ่มกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมแล้ว ปลอดภัยก็ดีแล้ว!
คราวหน้าจะไม่รับหน้าที่เป็นแม่นมเช่นนี้อีกแล้ว นี่ไม่ใช่งานที่คนเขาทำกัน การเป็นแม่นมให้ชายวัยเติบใหญ่ทำให้อวิ๋นเยี่ยปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด นอกจากนี้ชายคนนี้จะไม่เคยรับฟังสิ่งที่ดีเข้าหูเลย เพียงแค่ออกจากฉางอัน ก็จะมีพฤติกรรมเหมือนกับม้าที่หลุดจากบังเ**ยน
ทหารเสริมตั้งค่ายอยู่ด้านหลังเนินเขาไว้เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ศัตรูบุกมาถึงพวกเขาก็จะโจมตี กงซูเจี่ยได้ตั้งธนูขนาดใหญ่ไว้บนเนินเขาพร้อมกับลูกธนูขนาดใหญ่สามดอก แต่ละดอกใหญ่ขนาดนิ้วมือ ด้วยความช่วยเหลือของทหารเสริมสองคน เขากำลังใช้ขาล็อกเพื่อขึงเอ็นธนู จากเสียงที่ดังออกมา อวิ๋นเยี่ยประเมินได้เลยว่าพลังของธนูยักษ์นี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่
สิ่วที่ใช้โจมตีสามอันถูกวางอยู่ในทางที่ถูกเซาะเป็นร่อง คมของสิ่วที่ยาวฉื่อกว่าสะท้อนความน่ากลัวที่ดูมืดมนสมกับที่เป็นอาวุธสำหรับฆ่าคนจริงๆ ภายในระยะหกร้อยเมตรไม่มีอะไรที่ทำลายไม่ได้ พลังอันทรงพลังของมันสามารถลากแม้กระทั่งม้าศึกหนึ่งตัวให้ลอยขึ้นไปได้ เมื่อคนเผชิญหน้าเข้ากับอาวุธเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับกระดาษหนึ่งแผ่นที่ถูกเสียบ ซึ่งนี่ก็คือรถหน้าไม้ที่มีชื่อเสียง ใครจะคาดคิดว่าตระกูลกงซูยังมีอาวุธสังหารเช่นนี้อยู่ โชคดีที่ตระกูลกงซูนั้นเป็นพันธมิตรที่ดีตั้งแต่ต้น หากยั่วโมโหพวกเขาจนต้องถูกของประเภทนี้จ่ออยู่ที่หลัง อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่คิดก็เหงื่อไหลท่วมตัวแล้ว
ซึ่งนี่ยังไม่จบ กงซูนอนลงบนพื้น ใช้เท้าเตะตรงปีกธนูของหน้าไม้อันเล็กอย่างไม่สุดแรงเกิด ร่างกายเอนหงายไปด้านหลัง หลังจากเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดที่ชวนให้เสียวฟันเงียบลง ในที่สุดสายธนูก็ถูกขึงไว้บนตัวหน้าไม้เสร็จแล้ว ลูกธนูเหล็กยาวประมาณหนึ่งเมตรก็ถูกกงซูเจี่ยใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว หันด้านหน้าของหน้าไม้ออกไปให้ตรงกับเนินเขาที่อยู่ด้านนอก อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าหากมีศัตรูปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ สิ่งที่รอเขาอยู่จะเป็นชะตากรรมที่น่าเศร้าอย่างที่สุด
ม้าศึกของเฉิงฉู่มั่วเนื้อตัวเปียกแฉะหยุดอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย รูจมูกที่หนาโตหายใจอย่างกระหืดกระหอบ มุมปากม้าศึกก็เริ่มมีฟองสีขาว เขากระโดดลงจากม้าอุ้มอวิ๋นเยี่ยหมุนวนรอบหนึ่งจึงค่อยปล่อยเขาลง
“เสี่ยวเยี่ย ไม่คิดว่าเจ้าจะมาได้ ทำไมจึงไม่ใช่เซวียว่านเช่อ” ยังคงมีท่าทีเอื่อยเฉื่อยเหมือนเดิม
“เหตุการณ์มีการเปลี่ยนแปลง แม่ทัพเซวียไม่สามารถออกจากเมืองซั่วฟางได้ จึงต้องให้ข้าส่งเสบียงเสริมมาให้พวกเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง ยึดครองเมืองเซียงเฉิงได้แล้วหรือ” อวิ๋นเยี่ยอยากรู้สถานการณ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการบรรยายของเฉิงฉู่มั่วผู้ที่มีข้อมูลโดยตรง
“ฮ่าๆๆ สะใจ สะใจจริงๆ เสี่ยวเยี่ยเจ้าไม่รู้อะไร พวกเราถึงเมืองเซียงเฉิงเมื่อหลายวันก่อน หลังจากพักหนึ่งคืน ยังไม่ทันฟ้าสาง ท่านผู้บัญชาการก็มีคำสั่งให้บุกโจมตีทันที โดยบอกว่าจะจู่โจมโดยไม่ให้เขาตั้งตัว คิดไม่ถึงว่าในช่วงวิกฤตเช่นนี้ คนอย่างข่านเจี๋ยลี่ยังคงนอนหลับอยู่ กำแพงที่สูงไม่ถึงหนึ่งจั้งถูกพวกเราโจมตีได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ผู้บัญชาการก็สั่งให้พวกเราวางเพลิงเพื่อทำให้ชาวเผ่าหูยิ่งวุ่นวายมากขึ้น หากข่านเจี๋ยลี่ผู้นี้สามารถจัดทัพได้ในเวลานี้ นับว่าเขายังมีคุณสมบัติพอที่จะแลกชีวิตกับพวกเราในเมือง ใครจะรู้ว่าเขากลับฉวยโอกาสที่วุ่นวายแล้วหนีไป ผู้บัญชาการจึงให้พวกเราอยู่ในเมืองรื้อค้นเป็นเวลาสองวัน ทำให้เมืองเซียงเฉิงกลายเป็นกองซากปรักหักพังอย่างแท้จริง ชาวเผ่าหูในเมืองไม่ได้หนีไปไหน ล้วนแล้วแต่กลายเป็นผีใต้คมดาบ” เฉิงฉู่มั่วพูด มือเท้าตวัดกวัดแกว่งทำท่าทีประกอบ
“ที่น่าขำที่สุดคือเมื่อพวกเราค้นเมืองจนทั่วและเตรียมที่จะล่าถอย กลับมีกองทัพต้าถังบุกเข้ามาลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิง เพียงแต่จำนวนน้อยไปหน่อย น่าจะประมาณสองร้อยคน คนที่นำกำลังมาชื่อว่าซูติ้งฟาง เมื่อเห็นพวกเราลูกตาแทบจะถลนออกมา ผู้บัญชาการบอกว่าเมืองเซียงเฉิงมอบให้เขาจัดการ ทหารซั่วฟางไม่เคยทำให้กองกำลังพันธมิตรผิดหวัง จึงทิ้งม้าศึกห้าร้อยไว้ให้พวกเขาแล้วพาพวกเรากลับเมืองซั่วฟาง เจ้าดูฝูงม้าที่อยู่ด้านหลังข้า ม้าศึกหนึ่งหมื่นสามพันตัวเชียวนะ ล้วนแล้วแต่ยึดมาได้ทั้งหมดเลย”
เมื่อมองดูเฉิงฉู่มั่วที่ร่าเริง เขาพูดถึงม้าศึก พูดถึงการยึดทรัพย์ แต่ไม่ได้พูดถึงเชลยศึก ซึ่งสันนิษฐานว่าพวกเขาคงตายไปแล้วด้วยคมดาบของไฉเซ่า
นี่คือชัยชนะของต้าถังและก็คือหายนะของเมืองเซียงเฉิงเช่นกัน…