เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 22
ขาดทุนย่อยยับ
ไฉเซ่าเรียกเหล่าเหอมาถามเรื่องบ้านอย่างละเอียด คิดว่าเหล่าเหอเอากำไรมากเกินไป ทหารของเขาขาดทุนเกินไป โดยบอกว่าตรงนั้นล้วนเป็นบ้านเก่า อยู่ได้ไม่กี่ปีพวกเขาก็ต้องสร้างใหม่ เว้นเสียแต่ว่าเหล่าเหอจะเสนอวิธีแก้ปัญหาให้เขาได้ มิฉะนั้นเขาจะเปลี่ยนรางวัลที่จะให้แก่ทหารทั้งหมดเป็นหอกดาบที่มีคุณภาพดีกว่า
เหล่าเหอร้องไห้คร่ำครวญ มาหาอวิ๋นเยี่ยช่วยหาวิธี เขาจะเอาหอกดาบไปทำอะไร เขาไม่ได้คิดที่จะกบฏเสียหน่อย แต่สัญญาได้ลงนามไปแล้ว หากทำตามวิธีของไฉเซ่า เขาจะไม่ได้กำไรแม้แต่สลึงเดียว มิหนำซ้ำบางทีเขาอาจจะยังขาดทุนอีกด้วย ทุกวันนี้การค้าของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่น มีหรือจะรับเรื่องการขาดทุนที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้ บทที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเอ็ดของเขาคือต้องรักษาดินแดนให้ได้มากขึ้น ไฉเซ่าไม่เข้าใจเหตุผลลึกๆ เพียงแต่มองเห็นทหารของเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ ทั้งยังมีพื้นที่กว้างขวางมากขึ้น
เมื่อคนเราอารมณ์ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นที่น่าพอใจไปหมด ไฉเซ่าบอกรูปแบบบ้านให้เหล่าทหารฟังและได้รับเสียงโห่ร้องเต็มที่ประชุม สำหรับพวกเขา การมีทรัพย์สินในฉางอันถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ เมื่อคิดว่าหากไม่มีงานอะไรก็ไปเดินเล่นในเมืองฉางอัน ไม่ต้องทนฟังเสียงตีฆ้องร้องป่าวตามท้องถนนเหมือนเพื่อนบ้านคนอื่นๆ จนต้องออกนอกเมืองโดยไม่คิดชีวิต หากหนีไม่ทันก็จะถูกจับกลับมาเฆี่ยนตี ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ขอเพียงไปที่ตรอกตุนฮั่วก็สามารถนอนในบ้านของตัวเองและนั่งฟังดนตรีได้อย่างสบายใจ
เป้าหมายสูงสุดของการแสวงหาผลงานทางทหารก็เพื่อรางวัลไม่ใช่หรือ การเป็นทหารตัวเล็กๆ ที่ต้องการสร้างผลงานทางทหารเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ครั้งนี้รบชนะ อีกทั้งรางวัลที่ท่านผู้บัญชาการจะให้ก็มากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในฐานะทหารหลวง พวกเขาเป็นลูกหลานของเกษตรกรที่มีฐานะในละแวกไม่ไกลจากเมืองฉางอัน เพียงแต่การเป็นทหารของพวกเขาสามารถลดภาษีของครอบครัวได้ จึงได้พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา เมื่อมีบ้านก็สามารถอาศัยอยู่ในเมืองฉางอันได้ สิ่งแรงจูงใจนี้ สำหรับพวกเขาแล้วถึงกับเอาชีวิตเข้าแลกได้เลย
เสียงฝีเท้าม้าที่เดินทางกลับดูเหมือนจะสดชื่นขึ้นมาก ทหารต่างรอคอยที่จะกลับไปยังค่ายทหารโดยเร็วที่สุดเพื่อรอการแจกจ่ายรางวัล เช่นนี้แล้วพวกเขาก็จะได้มีบ้านที่ฉางอันหนึ่งหลังแล้ว ได้ยินว่าเป็นอาคารสองชั้นด้วย
ม้าศึกหมื่นกว่าตัวเดินกรูเข้าเมืองซั่วฟางราวกับน้ำหลาก ดึงดูดความสนใจของชนเผ่าเล็กๆ จำนวนมาก พวกเขาโผล่ออกมาจากสถานที่ที่คาดไม่ถึง กระโดดขึ้นขี่ม้าศึกตัวหนึ่งแล้วหนีไป ถึงแม้ว่าหลายคนจะตายภายใต้ลูกดอกของหน้าไม้ แต่ก็มีคนที่ทำสำเร็จมากมาย ทหารของกองทัพถังโกรธมาก ในสายตาของพวกเขาม้าศึกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของที่อยู่อาศัยของตนเองในฉางอัน เพียงสองวันถูกชาวเผ่าหูขโมยม้าไปหนึ่งร้อยกว่าตัว ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ ให้ตายสิ วันนี้เจ้าขโมยหน้าต่างข้าไป พรุ่งนี้ก็ขโมยประตูข้า หากขโมยเช่นนี้ต่อไป ข้ายังจะมีเหลืออีกหรือ
ชาวเผ่าหูที่ถูกจับได้แรกเริ่มจะถูกตัดศีรษะ จากนั้นก็เริ่มตัดเอว ต่อมาเริ่มใช้ห้าม้าแยกร่าง ศพที่ขาดกระจายถูกม้าศึกลากไปทั่วพื้นหิมะ ตลอดทางที่ผ่านมา อวิ๋นเยี่ยเห็นทุกส่วนของร่างกายคนไม่น้อยกว่าสิบคน ทหารหลวงที่ทำหน้าที่เปิดทางก็เตะทิ้งไม่สนใจ โดยเตะศีรษะหรือต้นขาไปบนพื้นหิมะที่ด้านข้างของถนนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
เฉิงตงไข้ลดลงและมีสติดีขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่ายาแก้อักเสบได้ผลดีต่อร่างกายคนโบราณเป็นอย่างมาก ร่างกายของพวกเขาไม่มีอาการดื้อยา ปริมาณยาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็เห็นผลแล้ว ยาแก้อักเสบหนึ่งเม็ดสำหรับคนโบราณแล้วมีประสิทธิภาพในการช่วยชีวิตได้ ดังเช่นเฉิงตง เขากินเพียงเม็ดเดียวแต่เห็นผลลัพธ์ดีจนน่าตกใจ
เหลือไม่มากแล้ว อวิ๋นเยี่ยเลือกยาเม็ดที่ใก้ลหมดอายุการเก็บรักษาให้เขากิน พวกนั้นยังมีอายุการเก็บรักษามากกว่าหนึ่งปี ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี
มีศีรษะคนตกกลางถนนอีกแล้ว ทหารเสริมหนุ่มคนหนึ่งกระโดดลงจากรถลากเลื่อน สองเท้าหนีบไว้ หนีบศีรษะขึ้นมาราวกับหนีบลูกตะกร้อโดยที่ยังไม่ทันแตะถึงพื้น ก็ลอยตัวฟาดเท้าใส่ศีรษะนั้น เขาลืมไปว่าตอนนี้เป็นฤดูหนาวหัว มนุษย์ถูกแช่แข็งอยู่บนถนนเป็นเวลานานชั่วยามกว่าแล้ว มันจึงแข็งเหมือนก้อนหิน
อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้ว รอจนทหารเสริมคนนั้นร้องครวญคราง เป็นจริงดังคาด เสียงร้องครวญครางดังขึ้น เสียงนั้นโหยหวนมากทำให้ทุกคนหัวเราะลั่น อวิ๋นเยี่ยหลับตาลง ไม่กล้าจินตนาการเลยว่ามันจะเป็นอย่างไร หากมีหัวมนุษย์ปรากฏอยู่บนถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทางในชีวิตยุคก่อนหน้านี้
ใต้ก้อนหินข้างทางมีบางสิ่งถูกกดทับไว้ ทหารเสริมอยากรู้อยากเห็นจึงเข้าไปสำรวจ หมาน้อยที่หลายวันนี้เอาแต่เงียบไม่พูดจา พลันหมอบลงตรงข้างถนนแล้วอาเจียนอย่างรุนแรง อวิ๋นเยี่ยหันหน้าหนีไม่ไปมอง เพราะเขากังวลว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ
“นี่เรียกว่าตรึงร่าง เป็นการนำร่างมนุษย์มากางแขนขาออก ใช้ลิ่มไม้ตอกติดอยู่กับพื้น บนร่างใช้ก้อนหินขนาดใหญ่กดทับไว้ ในตอนแรกเขายังคงหายใจได้ ผ่านไปช่วงหนึ่งอากาศในท้องของเขาจะน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อก้อนหินดันให้อากาศออกมา คนคนนั้นก็ต้องพยายามออกแรงสูดลมหายใจ ทุกครั้งที่หายใจก็ต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี คนคนนี้ไม่ได้ถูกก้อนหินทับตาย แต่หมดแรงตายทั้งเป็น อวัยวะภายในทั้งหมดจะไหลออกมาจากปากของเขา โหวเหยีย ปกติท่านไม่ค่อยได้อยู่ในกองทัพ คราวก่อนที่หล่งโย่ว กงเหยียกลัวว่าท่านจะปรับตัวไม่ได้ ดังนั้นท่านจึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้”
เฉิงตงเห็นว่าสีหน้าของอวิ๋นเยี่ยนั้นย่ำแย่มาก จึงเอ่ยปากพูดเปิดประเด็นให้เขาฟัง คิดไม่ถึงว่าพูดจบแล้วสีหน้าของอวิ๋นเยี่ยกลับยิ่งแย่ลงไปอีก
กองทัพเป็นหน่วยงานที่มีความรุนแรง ไม่ใช่สถานที่ที่จะสามารถมืออ่อนใจอ่อนได้ อวิ๋นเยี่ยรู้ถึงจุดอ่อนของเขาดี ดังนั้นเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงสนามรบ เพราะไม่ต้องการเห็นสภาพที่ศีรษะผู้คนกลิ้งเกลื่อนกลาด ไม่ว่าใครก็ตาม เมืองที่ถูกทำลายในประวัติศาสตร์นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการสังหารหมู่ การสังหารหมู่ยังมีขีดจำกัดในเรื่องเวลาในการฆ่า แต่การบุกทำลายเมืองไม่มีขีดจำกัดเรื่องเวลา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เมืองเซียงเฉิงคือสภาพเมืองที่ถูกตีแตกแล้วเข้ายึด ภายในสองวัน ที่นั่นก็กลายเป็นเมืองร้าง
นี่เป็นเหมือนโลกแห่งการฆาตกรรม ข่านเจี๋ยลี่ได้ฆ่าชาวฮั่นในแดนกวนจง ไฉเซ่าฆ่าพวกเคราดกในทุ่งหญ้า ไม่มีเหตุผลที่กล่าวอ้างได้เลย การฆ่าคนเหมือนผักปลา เจ้าฆ่าข้า ข้าฆ่าเจ้า ก็ยุติธรรมอย่างที่สุดแล้ว การฆ่าอันโหดร้ายแต่ไรมาไม่เคยหยุด หนึ่งพันปีให้หลังก็ยังคงต่อเนื่องไป เพียงแต่เป็นการฆ่าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาที่ระเบิดปรมาณูปรากฏขึ้น ในที่สุดก็หยุดลง ไม่มีใครกล้าที่จะฆ่าใครแล้ว เพราะในเวลานี้ การฆ่าคนอื่นย่อมเท่ากับการฆ่าตัวตาย
ประวัติศาสตร์เป็นเหมือนเด็กที่โลภมาก ถือโอกาสในขณะที่ยังไม่ได้รับการอบรมก็จะทำตามอำเภอใจอย่างสุดชีวิต ข่านเจี๋ยลี่ใกล้จะต้องชดเชยค่าเสียหายให้กับการกระทำของเขาในไม่ช้า ราชวงศ์ถังกลับต้องรออีกหลายร้อยปีให้หลังจึงค่อยชดเชยค่าเสียหายที่น่ากลัวยิ่งกว่า
เรื่องของชะตากรรมปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในหัวสมองของอวิ๋นเยี่ย ทุกอย่างในตอนนี้ก็เหมือนการเดินวนเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ตั้งแต่ต้นจนจบเดินไปจนถึงจุดเริ่มต้น เป็นวังวนไม่มีที่สิ้นสุด อวิ๋นเยี่ยเป็นมดตัวหนึ่งที่อยู่นอกวงกลม มดตัวหนึ่งที่สามารถมองเห็นมดทั้งหมดในวงกลมได้อย่างชัดเจน เขาอยากให้วงกลมกลายเป็นเส้นตรงหนึ่งเส้น แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ความแตกต่างของกำลังทำให้เขารู้สึกหมดหวัง โชคดีที่เขายังคงไม่ได้หลอมรวมเข้ากับวงกลมนั้น หยุดก้าวเข้าสู่วงกลมนั้นได้ในนาทีสุดท้าย
เขาเบิกตากว้าง มองดูศพที่แขวนอยู่ข้างถนนอย่างไร้ความรู้สึก ราวกับว่ามันไม่ใช่ศพแต่เป็นเพียงโมบาย เขาต้องฝึกจิตใจตัวเองให้เข้มแข็งอย่างที่สุด ความพยายามนี้ดำเนินไป จนกระทั่งเขาเห็นหญิงเลี้ยงแกะคนนั้นกลายเป็นโคลนกองหนึ่ง
นางยืนชะเง้อคอมองอยู่ข้างถนนพร้อมกับน้องชายของนาง เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยมาถึง กลับเขินอายขึ้นมาแล้วส่งของเส้นหนึ่งให้อวิ๋นเยี่ย ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไป ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกงงงวย น้องชายนางตะโกนใส่อวิ๋นเยี่ยประโยคหนึ่งด้วยภาษาต่างประเทศแล้วก็วิ่งหนีไปเช่นกัน ทว่าหญิงเลี้ยงแกะก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ควานหาของจากตัวอวิ๋นเยี่ยอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็เห็นหยกของอวิ๋นเยี่ย นางกำเอาไว้ในมือและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะวิ่งหนีไปอีกครั้ง …
ทหารถังทุกคนตาโต จ้องมองไปที่โจรป่าหญิงที่น่ากลัวที่สุดมาโดยตลอดผู้นั้น แม้แต่ทหารที่บาดเจ็บที่ส่งเสียงครวญอิดออดก็ยืดคอมองจนลืมร้องเรียก จนกระทั่งหญิงคนนั้นวิ่งไปถึงด้านหลังของเนินเขา ทุกคนก็เริ่มหัวเราะขึ้น เหล่าทหารที่บาดเจ็บหัวเราะจนน้ำตาไหล ครึ่งหนึ่งมีความสุขและครึ่งหนึ่งรู้สึกเจ็บปวด
อวิ๋นเยี่ยมองของที่อยู่ในมือ เป็นกระดูกแกะที่ร้อยไว้เป็นพวง กระดูกข้อต่อของกีบเท้าแกะนั้นได้ถูกขัดจนเป็นมันเงาเป็นไว้ก่อนแล้ว จึงมีความรู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“โหวเหยีย ผู้หญิงคนนั้นชอบท่าน นางมอบกาลาฮั่น[1]ให้กับท่าน ซึ่งหมายความว่านางชอบท่านมากหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะไปสู่ขอนางที่บ้าน นางจะรอท่านตลอดไป โหวเหยีย ท่านคงจะไม่คิดแต่งงานกับหญิงเลี้ยงแกะใช่หรือไม่ น้องชายนางบอกว่า หากท่านกล้าไม่ไปละก็ เขาจะฆ่าท่าน”
หลังจากเฉิงตงอธิบายจบแล้ว ก็กระแอมหัวเราะเสียงดังขึ้นทันที เขามีแผลอยู่ที่ท้อง การหัวเราะครั้งนี้ทำให้เขาปวดมากสุดจะบรรยาย
ขาดทุนย่อยยับ หยกที่ตัวนั้นเป็นอันที่ท่านย่าเลือกแล้วเลือกอีกจึงให้เขาพกติดตัวไว้ ราคาจะต้องแพงแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนนั้นยังสลักลายสัญลักษณ์เมฆลายขนนก[2]ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลอวิ๋นไว้ด้วย ราคาย่อมไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยก้วนแน่ เมื่อคิดถึงป้ายหยกแล้วมองดูที่กระดูกในมือของเขา อวิ๋นเยี่ยกอดกระดูกไว้ในอ้อมแขนพลางพึมพำกับตัวเอง “ขาดทุน ขาดทุนย่อยยับเลย”
สภาพอากาศบนทุ่งหญ้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อครู่เพิ่งจะมีหิมะตกเล็กน้อย พริบตาเดียวก็กลายเป็นหิมะก้อนโต ทัศนวิสัยสามารถมองห่างออกไปเพียงสิบเมตรได้ อวิ๋นเยี่ยแยกไม่ออกอีกแล้วว่าตรงไหนเป็นถนนใหญ่ ตรงไหนเป็นทุ่งหญ้า จึงหยิบเข็มทิศออกมา หาทิศทางของซั่วฟางพบจากบนแผนที่ จึงได้เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ และหยุดไม่ได้เท่านั้น ไม่เช่นนั้นหิมะที่ตกหนักเช่นนี้จะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เขาค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าและเดินอย่างระมัดระวังอย่างยิ่งยวด
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องเพลงดังขึ้นมาจากข้างหน้า เป็นเสียงของหญิงสาว อวิ๋นเยี่ยจึงออกคำสั่งให้มุ่งหน้าไปตามเสียงเพลง ทั้งกองทัพก็ตื่นตัว ดาบออกจากฝัก ลูกดอกขึ้นเอ็นบนหน้าไม้ หากเป็นกับดักศัตรูก็จะได้เตรียมพร้อมทัน ทุกอย่างต้องรอจนกว่าหิมะหยุดจึงจะแยกแยะได้
เสียงเพลงได้ยินเป็นระยะๆ แต่กลับไม่ขาดสาย ทุกคนจึงเดินหน้าตามเสียงเพลง หลังจากนั้นสองชั่วยาม หิมะหยุดแล้ว เบื้องหน้ากลับยังไม่เห็นเงาคนที่ร้องเพลง
เห็นแนวกำแพงป้องกันอยู่แต่ไกลตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น ทั้งยังมีทหารม้ากำลังพุ่งตัวออกจากแนวกำแพงเมือง หิมะเป็นสิ่งกีดขวางต่อฝีเท้าม้า พวกเขาจึงลงจากหลังม้าและวิ่งเข้ามา จึงได้รู้ว่าเป็นเฉิงฉู่มั่ว
อวิ๋นเยี่ยหันกลับมามอง แต่ไม่เห็นคนที่ร้องเพลง เพียงแต่เขาได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนามาแต่ไกล
“นางบอกว่า จะไม่พบเจ้าอีกแล้ว” เฉิงตงยืนแปลอยู่ตรงนั้น
——
[1] กาลาฮั่น เป็นภาษาถิ่นแถบซินเจียง หมายถึง ข้อกระดูก
[2] สัญลักษณ์เมฆลายขนนกหรือลายซีร์รัส เป็นสัญลักษณ์ที่ทำเลียนแบบปรากฏการณ์ธรรมชาติของก้อนเมฆ ซึ่งซีร์รัส เป็นเมฆชั้นสูง มีลักษณะบาง ๆ ละเอียดสีขาวเป็นฝอยหรือปุกปุยคล้ายขนนก