เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 23
คำสั่งกองทัพมั่นคงดุจภูผา
เรื่องต่างๆ ในโลกนั้นเรียบง่ายมาก เพียงแต่เรามักจะยึดถือตัวเองว่าเป็นวิญญาณของสรรพสิ่งและมองการกระทำของผู้อื่นให้ซับซ้อน การที่คนคนหนึ่งรักคนอีกคนหนึ่ง ระหว่างพวกเขาไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเส้นแบ่งเขตอะไรทั้งสิ้น ก็เหมือนหญิงเลี้ยงแกะที่ตกหลุมรักอวิ๋นเยี่ย ในความคิดที่เรียบง่ายของนางไม่มีเรื่องเผ่าพันธุ์ ฐานะและรูปร่างหน้าตาอันเป็นสิ่งยุ่งเหยิงเหล่านี้ นางอยากจะอยู่กับอวิ๋นเยี่ย ชอบที่จะได้สัมผัสกลิ่นกายของเขา รู้สึกปลอดโปร่งมาก ดังนั้นจึงตั้งใจล้างหน้ามาโดยเฉพาะและใช้น้ำจากหิมะมาสระผม ท่านแม่บอกว่าชายชาวฮั่นชอบผู้หญิงที่สะอาด นางไม่ชอบล้างหน้าและไม่ชอบสระผม เพราะมันหนาวมาก เมื่อโดนลมพัดก็จะเกิดแผลปริแตกซึ่งมันเจ็บมาก แต่ว่านางชอบความรู้สึกที่ได้อยู่กับชายชาวฮั่นซึ่งมีกลิ่นกายชวนดมคนนั้นมาก นางจึงกัดฟันนำน้ำหิมะที่ละลายแล้วมาสระผม ท่านแม่หวีผมและถักเปียให้นาง นางหยิบดอกเยียนจือที่เด็ดจากภูเขาในแดนไกลช่วงฤดูร้อนออกมา แล้วบดมันเป็นผงทาบนใบหน้าเล็กน้อย แล้วทาบนริมฝีปาก จากนั้นไปส่องเงาจากน้ำในหม้อ หญิงในน้ำนั้นงดงามมาก ท่านแม่บอกว่านางงามมาก เป็นหญิงที่สวยที่สุดที่นางเคยพบมา
นางรอคอยอยู่ข้างทางด้วยความมั่นใจ หิมะใกล้จะตกหนักแล้ว พวกเขาจะต้องเดินกลับทางเดิม ไม่เช่นนั้นต้องตายแน่ นางค่อนข้างเป็นกังวล …
เห็นเขาอีกครั้งแล้ว เขานั่งบนรถที่ไม่มีล้อ มองและยิ้มให้ตัวเองอย่างอ่อนโยน แต่เขาก็โง่มากที่เขาเห็นหญิงสาวสวยเช่นนี้กลับไม่รู้จักพูดคุย ยืนยิ้มโง่ๆ อยู่ตรงนั้น ชายชาวฮั่นมักจะโง่เช่นนี้หรือ
โชคดีที่ข้าไม่ได้โง่ กาลาฮั่นเป็นสิ่งที่ข้ารวบรวมมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่กินแกะหนึ่งตัวก็จะเก็บกาลาฮั่นหนึ่งอัน ตอนนี้สามารถนำมาแขวนคอได้แล้ว ตอนนี้มอบกาลาฮั่นให้เขา เขาจะได้รู้ว่ามีสาวงามชอบเขาเข้าแล้ว
ทำไมมันถึงแตกต่างจากที่ท่านแม่พูด เขาไม่ได้ตามมา ไม่ได้กอดทับข้าไว้พื้นหิมะ เขาไม่เห็นความงามของข้าหรือ
ตาบอด คนตาบอดที่ไม่เห็นสาวงาม อย่างนั้นจะให้โอกาสเขาอีกครั้ง คราวนี้จะวิ่งให้ช้าลง เขาดูไม่แข็งแรง บางทีอาจจะตามไม่ทัน…
หญิงเลี้ยงแกะจูงม้ากลับมาพร้อมกับน้ำตา นางรู้สึกเก็บกดมาก ชาวฮั่นที่สูงใหญ่คนหนึ่งให้ม้านางไว้โดยบอกว่านางเป็นคนรักของเขาจึงมอบให้ บนหลังม้าได้แบกของเอาไว้มากมาย บอกว่ามันคือของขวัญตอบรับที่ให้คนรัก ที่แท้เขามีภรรยาแล้ว ภรรยาของเขาสวยเหมือนข้าหรือไม่ หญิงเลี้ยงแกะหยิบหินสีขาวที่สวยงามออกมาจากอกเสื้อแล้วถูบนใบหน้า ก่อนจะหันกลับไปมองทุ่งหญ้าที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนด้านหลังของนาง
…..
การเดินทางครั้งนี้ อวิ๋นเยี่ยพยายามที่จะไม่คิดถึงสนามรบที่น่าเวทนา ถึงขั้นค่อนข้างอยากจะหลีกหนีจากสนามรบด้วยซ้ำ คนปกติคนหนึ่งไม่มีใครชอบสภาพที่ศีรษะกลิ้งไปมา ร่างกายกระจัดกระจายเป็นแน่ เว้นเสียแต่เป็นพวกวิปริตอย่างที่สุดจึงจะชอบสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้
หากเลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยง เพื่อหัวใจที่เปราะบางของตัวเอง จะเป็นการดีที่สุดหากไม่ต้องเห็นฉากนี้ตลอดชีวิต
ครั้นกลับมาถึงซั่วฟางอีกครั้ง ซุนซือเหมี่ยวหน้าบูดบึ้งใส่อวิ๋นเยี่ย หน้าบึ้งตึงทั้งวันและไม่พูดอะไร ทั้งยังไม่สนใจอวิ๋นเยี่ยด้วย จนกระทั่งหลังจากที่อวิ๋นเยี่ยสบถสาบานว่าจะไม่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับอันตรายอีก เมื่อครู่จึงค่อยดูดีขึ้น
ไฉเซ่าได้รับการตำหนิอย่างรุนแรงจากหลี่จิ้ง และสั่งให้เขาทำการป้องกันซั่วฟางอย่างสุดกำลังอย่าให้เกิดปัญหา นี่เป็นคำสั่งที่ไม่มีประสิทธิภาพ รอบเมืองซั่วฟางไร้สิ้นศัตรูแล้ว ศัตรูที่อยู่ใกล้ๆ เพิ่งถูกไฉเซ่าสังหารจนหมดสิ้น ชาวถู่อวี้หุน ชาวเถี่ยเล่อ น่าขำ! ต้าถังไม่ไปตามรังควาญพวกเขา พวกเขาควรแอบดีใจแล้ว ยังกล้ารนหาที่ตายอีกหรือ
เพียงแค่คำตำหนิ หลี่จิ้งไม่มีสิทธิ์ที่จะจัดการไฉเซ่าได้ ไม่ว่าจะด้วยตำแหน่งหรือประสบการณ์ล้วนแล้วแต่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว จึงไม่ร้องขอที่จะนำทัพออกรบอีกต่อไป เพียงแค่ให้รางวัลเป็นการใหญ่แก่ทหารที่ติดตามเขาออกศึก
ทรัพย์สินล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในมือของเหอเซ่า ใบหน้าอ้วนกลมใหญ่ๆ เห็นเพียงแค่ปากดูมีความสุขจนชวนคนรังเกียจ
หนิวจิ้นต๋าต้องออกสู่แนวหน้าแล้ว นำทหารสองหมื่นนายของเขาไปที่เขาอินซัน นี่คือสนามรบที่หลี่จิ้งวางแผนไว้ล่วงหน้าและจะเป็นที่พักพิงสุดท้ายของข่านเจี๋ยลี่ เหล่าหนิวไม่รอให้อวิ๋นเยี่ยกลับมา ก็นำทัพออกไป เขาเอารถลากเลื่อนทั้งหมดที่มีไป ทหารหลวงสองหมื่นนายของต้าถังติดตามเขาไปยังสนามรบแห่งใหม่
บางทีพฤติกรรมของอวิ๋นเยี่ยคงกระตุ้นให้หลี่จิ้งโกรธเข้า เขาและเฉิงฉู่มั่วจำเป็นต้องไปที่จื้อโข่วเพื่อรายงานกับเขา แต่กลับทิ้งให้ซุนซือเหมี่ยวอยู่ที่ซั่วฟาง
ครั้นมองดูหิมะที่โปรยปรายอยู่ข้างทาง จิตใจของอวิ๋นเยี่ยก็เหมือนท้องฟ้ามืดครึ้มที่ทอดยาว เขาที่รู้ประวัติศาสตร์เข้าใจดีว่า การต่อสู้ในทุ่งหญ้าเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของไฉเซ่า เมื่อเขากลับมาที่ฉางอันเขาจะถูกถ่ายโอนไปยังฝ่ายบุ๋น และไม่มีโอกาสได้นำทัพออกรบอีกต่อไป อวิ๋นเยี่ยกลายเป็นปัจจัยที่ไม่คงที่ จำเป็นต้องโยกย้ายออก
ไฉเซ่าย่างแกะหนึ่งตัวด้วยตัวเองแล้วเรียกอวิ๋นเยี่ยกับเฉิงฉู่มั่วมาเพื่อเลี้ยงส่ง เนื้อแกะไม่อร่อย นอกจากเกลือแล้วไม่มีรสชาติอื่นเลย แต่บรรยากาศดีมาก ในงานเลี้ยงไฉเซ่าทั้งร้องเพลงและแต่งกลอน เฉิงฉู่มั่วรำกระบี่หนึ่งชุด สุดท้ายทั้งสามคนเริ่มหยุดลง อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเล่าลือที่ว่าองค์หญิงผิงหยางแท้จริงแล้วป่วยตายหรือรบจนตาย เพราะอะไรพิธีฝังศพของนางจึงใช้วิธีฝังศพเช่นเดียวกับแม่ทัพ แต่ไม่ใช้พิธีฝังศพขององค์หญิงคิดว่าไฉเซ่าต้องรู้แน่
“ในบรรดาหญิงแห่งต้าถังเรา ข้าน้อยชื่นชมองค์หญิงผิงหยางที่สุด เพียงแต่ไม่มีวาสนาได้พบ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก” อวิ๋นเยี่ยตั้งใจถือโอกาสตอนที่คารวะเหล้าแก่ไฉเซ่าลองถามถึงองค์หญิงผิงหยาง
ไฉเซ่าหยุดจอกเหล้าและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หากนางยังคงมีชีวิตอยู่ จะต้องเชื้อเชิญเจ้าและฉู่มั่วไปที่บ้านเพื่อแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กันแน่ น่าเสียดายที่นางด่วนจากไป จะไม่ให้ข้าเศร้าโศกได้อย่างไร”
“น่าเสียดายที่ข้าน้อยเกิดช้าไป มิฉะนั้นจะไม่ปล่อยให้ยอดหญิงท่านนี้ต้องด่วนจากไปอย่างแน่นอน ข้าน้อยได้ยินรัชทายาทพูดถึงองค์หญิงเมื่อไหร่ก็ช่างรู้สึกน่าเศร้าจริงๆ”
ดวงตาของไฉเซ่าเริ่มแดงขึ้น พูดด้วยเสียงเครือว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าดึงดันจะนำทัพเคลื่อนพลเพื่ออะไร พวกโจรทูเจวี๋ยเหล่านั้นถือโอกาสที่ไม่ทันระวังทำให้ผิงหยางต้องตาย ข่านเจี๋ยลี่ก็คือหัวหน้าใหญ่ที่สุด มีโอกาสลอบจู่โจมเขา ข้าจะยอมปล่อยให้โอกาสหลุดไปได้อย่างไร ไม่ฆ่าพวกโจรสุนัขเหล่านั้นให้สิ้นซาก จะให้ข้าสงบใจลงได้อย่างไร ให้ผิงหยางตายตาหลับได้อย่างไร แต่น่าเสียดายที่การต่อสู้ที่เมืองเซียงเฉิง ปล่อยให้ข่านเจี๋ยลี่หนีไปได้ นี่คือความเจ็บปวดชอกช้ำของข้า”
เข้าใจแล้ว เข้าใจหมดแล้ว ไม่น่าแปลกใจในฐานะนักยุทธศาสตร์การทหารอย่างไฉเซ่า มีหรือจะยอมทำความผิดครั้งใหญ่เคลื่อนพลโดยพลการ ไม่ว่าอย่างไรก็จะฆ่าข่านเจี๋ยลี่ให้ได้ ที่แท้สาเหตุอยู่ตรงนี้นี่เอง ความคิดด้านลบที่เดิมมีต่อไฉเซ่าก็หายไปในทันใด หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง รับรองจะต้องลงมือโหดกว่าไฉเซ่ายิ่งนัก
ไม่แปลกใจเลยที่หนิวจิ้นต๋าผู้ยึดมั่นในกฎระเบียบหนักหนาจึงไม่ห้ามปราม ทั้งยังสนับสนุนอีกด้วย ในฐานะสหายเก่าหลายปี ย่อมรู้ว่าการห้ามปรามก็ไม่บังเกิดผลแม้แต่น้อย แทนที่จะปล่อยให้เขาไปเสี่ยง จะเป็นการดีกว่าหากจะวางแผนที่เป็นไปได้ เหล่าหนิวช่างเป็นตัวเลือกที่เหมาะจะเป็นสหายที่ดีที่สุดดังคาด ยินดีที่จะโดนลงโทษพร้อมกัน ไม่เปิดโปงเพื่อเอาตัวรอด คราวหน้าต้องดีกับตาเฒ่าให้มากอีกหน่อย
ไม่น่าแปลกใจที่หลี่จิ้งไม่กล้าที่จะส่งไฉเซ่า เพราะกลัวว่าเขาจะถูกความเกลียดแค้นเข้าครอบงำจนส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การต่อสู้โดยรวม ซึ่งคงไม่ดีแน่ การที่ตนเองออกจากเมืองโดยพลการคราวนี้ก็อยู่ในสายตาของลูกพี่ด้วย ข้อหาผลีผลามบ้าบิ่นคงต้องหนีไม่พ้นแน่นอน ตอนนี้ยังต้องมาเดินทางอีกเกือบสองพันลี้บนทุ่งหญ้าแห่งนี้ ต้นขั้วแห่งภัยพิบัติเกิดจากเฉิงฉู่มั่ว กลับไปค่อยคิดบัญชีกับเขา
“นักพรตซุน ท่านก็เห็นอยู่ไม่ใช่ว่าข้าที่อยากจะออกนอกเมือง แต่เป็นเพราะคำสั่งกองทัพมั่นคงดุจภูผา จะขัดขืนก็ไม่ได้ ในหนังสือหวังว่าจะให้ท่านอยู่ที่ซั่วฟาง รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วจึงค่อยกลับฉางอันไม่ใช่หรือ” มองดูซุนซือเหมี่ยวที่กำลังยุ่งวุ่นวาย อวิ๋นเยี่ยกลัวว่าเขาจะด่าตัวเองอีก จึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“คราวนี้เป็นคำสั่งทางทหาร แน่นอนข้าไม่มีอะไรจะพูด พวกเราไปด้วยกัน สำหรับหนังสือแจ้ง ข้าก็ไม่ใช่ทหารเสียหน่อย หลี่จิ้งเขาควบคุมข้าไม่ได้” เมื่อซุนซือเหมี่ยวเริ่มออกอารมณ์วางอำนาจ จึงรีบให้หมาน้อยช่วยเก็บสัมภาระ ไปด้วยกันเป็นดีที่สุด
เพียงแค่ซุนซือเหมี่ยวก็ไม่เท่าไร สวี่จิ้งจงถึงกับครอบครองรถลากเลื่อนสองตัว ปูหนังแกะหนาๆ ไว้ด้านบน ทั้งยังทำหลังคาให้ด้วย เหมือนการออกเดินทางท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
“เหลาสวี่ นี่เจ้าทำอะไร ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี จากที่นี่ไปจื้อโข่วยังต้องเดินทางอีกยาวไกล เจ้าทนไม่ไหวหรอก พักรักษาตัวให้ดีอยู่ที่ซั่วฟาง เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วจึงค่อยกลับไป” สวี่จิ้งจงในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นภัยคุกคามอะไรแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่ถือสาที่จะอยู่อย่างสันติกับเขา
“อวิ๋นโหว เจ้ามองข้าสวี่จิ้งจงผิดไปแล้ว ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยเป็นทหารกล้าผู้องอาจตะลุยมานับหมื่นลี้ เจ้าไปที่จื้อโข่วได้ ทำไมข้าจะไปไม่ได้ คราวก่อนที่ไปเซียงเฉิง ถ้าไม่เป็นเพราะร่างกายรับไม่ไหวจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่ที่ซั่วฟางหรือ ข้าเป็นผู้ช่วยของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าไปที่ไหนข้าก็จะตามไปที่นั่น นี่คือหน้าที่” เจ้าหมอนี่พูดถึงเรื่องหน้าที่กับฉัน เมื่อใดกันที่เขาเริ่มมีคำว่าหน้าที่นี้
ดูเขาและคนรับใช้ชราสองคนทำรถลากเลื่อนอย่างมีความสุข คัดเลือกม้า อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จะพูดอะไรอีก ได้แต่ปล่อยเขาไป
เหอเซ่าถึงกับได้ครอบครองรถลากเลื่อนหกสิบกว่าตัว กำลังแสร้งยืนสั่งให้ทหารเสริมขนย้ายสมบัติต่างๆขึ้นไปวางด้านบน เฉพาะเหรียญทองแดงที่อวิ๋นเยี่ยเห็นนั้นก็มีรถลากเลื่อนได้หลายตัวแล้ว
“เจ้าจะขนเหรียญทองแดงไปที่จื้อโข่วทำไมกัน พวกเราจะไปที่ค่ายทหาร ไม่ได้ไปเป็นพ่อค้า ตลอดทางมีชาวเผ่าหู มีโจรป่า มีโจรปล้นม้า ถนนหนทางก็ไม่สะดวก หากถูกปล้นไปจะทำอย่างไร กว่าจะสะสมได้อย่างเจ้าในตอนนี้ไม่ใช่ง่าย เต็มใจจะยกให้พวกเคราดกหรือ” เหล่าเหอขี้ขลาด ต้องข่มขู่เสียหน่อย บางทีมันอาจจะได้ผล
“เจ้าไม่ต้องโยกโย้ มีโจรปล้นม้า โจรป่าที่ไหนกล้าปล้นกองทัพกัน มีพวกเขาคุ้มครองไป แม้แต่ค่าจ้างสำนักคุ้มภัยก็ไม่ต้องจ่าย ท่านก็รู้ว่าท่านไปที่ไหน ที่นั่นก็ต้องมีการค้าเกิดขึ้น ข้าต้องตามติดอย่างแน่นอน ขอการค้าเช่นเดียวกับที่ซั่วฟางอีกสักรอบ เมื่อกลับไปที่ฉางอันข้าก็ได้นอนกินแล้ว”
มีแต่หมูเท่านั้นที่นอนกิน อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าเขาทำร้ายเหล่าเหอแล้ว จอมเสเพลที่มักมากในกามที่ปกติดีคนหนึ่ง ตอนนี้ไม่เพียงแต่รู้ว่าต้องขยันหาเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น ยังรู้จักคิดหาวิธีทำการค้าอีก ไม่เอาแม้แต่ชีวิต เหล่าเหอในตอนนี้ต่างจากชายอ้วนอัปลักษณ์ที่ฉางอันเป็นคนละคน ไม่ใช่เพื่อนที่เอาแท่นหมึกโขกศีรษะจนแตกอย่างขอไปทีคนนั้นแล้ว มีท่าทางเป็นพ่อค้าใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว
เหล่ากงซูพาทั้งครอบครัวติดตามกองคาราวานของเหล่าเหอกลับฉางอันไปแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่สามารถทนอยู่ในทุ่งร้างได้แม้เพียงแค่วันเดียว เขามาขอจดหมายจากอวิ๋นเยี่ยแล้วจึงรีบออกเดินทางไป สัมภาระนั้นเรียบง่ายมาก อวิ๋นเยี่ยบอกว่าไม่ต้องนำสัมภาระมาก็ได้ อย่างไรเสียเมื่อไปถึงสำนักศึกษาสัมภาระของเจ้าก็ต้องถูกโยนทิ้ง ของเก่าๆ โทรมๆ น่าอับอาย ทั้งครอบครัวมีเพียงสี่สิบหรือห้าสิบคน จึงขอเงินหนึ่งคันรถจากเหล่าเหอ และมอบให้เหล่ากงซูโดยบอกว่าจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวเขา ทำให้ทั้งครอบครัวดวงตาลุกวาว อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างได้ใจ อะไรคือชนชั้นสูง สามารถยกเหรียญทองแดงให้ทั้งคันรถได้ทุกที่ทุกเวลาจึงเรียกว่าชนชั้นสูงอย่างไร สำหรับตระกูลกงซูแล้ว การกระทำอวิ๋นเยี่ยมีเพียงคำเดียว นั่นคือใจกว้าง!
คุยกับกงซูเจี่ยเพียงลำพัง อาวุธสังหารของพี่ชายคือหลักประกันที่แข็งแกร่งของการเดินทางไปทุ่งหญ้าในครั้งนี้ เป็นสิ่งของสำหรับปกป้องชีวิตที่ต้องนำมาใช้
ครั้นแล้วจึงได้มอบรถหน้าไม้ หน้าไม้ มองให้องครักษ์ตระกูลอวิ๋น กงซูเจี่ยก็ได้ปลดภาระผ่อนคลายลง เขาจะร่วมเดินทางไปที่จื้อโข่วกับอวิ๋นเยี่ยด้วย รอจนกว่าการต่อสู้จะจบลงแล้วจึงกลับฉางอันด้วยกัน ไฉเซ่าเห็นรถหน้าไม้และหน้าไม้ก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ พริบตาก็หัวเราะเยาะตัวเองอีก แล้วจึงโบกมือบอกลาอวิ๋นเยี่ย
กลับมาบนทุ่งหญ้าอีกครั้ง ร่องรอยของหิมะที่ถูกรถลากเลื่อนไหลทับเมื่อหลายวันก่อนถูกหิมะกลบไปหมดแล้ว หิมะหนาครึ่งฉื่อทำให้การเดินทางครั้งนี้ลำบากมากเป็นพิเศษ ครั้งนี้ไฉเซ่าส่งแม่ทัพชาวเผ่าหูที่มีประสบการณ์คอยนำทางให้อวิ๋นเยี่ย พวกเขาล้วนเป็นชนพื้นเมืองที่เติบโตมากับทุ่งหญ้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงได้เข้าร่วมกับทหารหลวง ดูท่าทางแล้วยศตำแหน่งก็ไม่ด้อย
พวกเขาชอบผ้าโปร่งสีดำที่คลุมหน้าเอาเสียมากๆ เมื่อตอนที่ได้รับผ้าโปร่งสีดำ พวกเขาก็โยนหนังที่ขาดทิ้งไปนานแล้ว
ทหารเสริมสองร้อยกว่าคนที่อวิ๋นเยี่ยอบรมได้ติดตามอวิ๋นเยี่ยมาโดยไม่ขาดหายไปแม้แต่คนเดียว ไฉเซ่าเองก็ไม่ได้รั้งไว้ เพียงแต่กองกำลังคุ้มกันนั้นลดลงเหลือห้าสิบคน เขาคิดว่าที่จริงมีทหารเสริมก็เพียงพอแล้ว แต่อวิ๋นเยี่ยไม่คิดอย่างนั้น เขาแทบอยากจะได้กองกำลังคุ้มกันเขาสักหนึ่งหมื่นนายใจจะขาด เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าปลอดภัย