เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 25
สงครามเป็นสนามสังหารที่หากไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าม้วย หลังจากที่ชาวอาหรับตายเต็มพื้นแล้ว พวกเขาก็เริ่มใช้ธนูแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถยิงถี่ยิบได้ แต่มันก็มีความแม่นยำมาก แนวป้องกันของกองกำลังก็ส่งเสียง “ฮึ” ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเป็นครั้งคราว บางครั้งก็มีเสียงร้องครวญครางปะปนออกมาเบาๆ เฉิงฉู่มั่วถือโล่อันใหญ่บังอวิ๋นเยี่ยไว้ได้อย่างมิดชิด โล่ใหม่ไม่มีลูกศรปักอยู่ด้านบนแม้แต่ดอกเดียว ซึ่งแตกต่างจากโล่ของเหล่าจวงที่กลายเป็นเม่นไปแล้ว การใส่เกราะป้องกันให้รถหน้าไม้นั้นถือว่าเป็นความคิดที่เฉียบแหลมมาก กงซูเจี่ยเพียงแค่มองผ่านช่องว่างที่ใช้เส้นเหล็กถักทอขึ้น ก็เห็นการเคลื่อนไหวของศัตรูอย่างชัดเจน มีทหารเสริมรูปร่างท้วมใหญ่สองคนอยู่ข้างหลังเขาเพื่อคอยใส่ลูกดอกให้ เขารับหน้าที่เพียงยิงเปิดทาง ตอนนี้ไม่สนใจศัตรูในบริเวณใกล้เคียง เพียงแค่ใช้ประโยชน์จากการยิงระยะไกลของรถหน้าไม้ไล่ฆ่ากำลังเสริมที่มาด้านหลัง อวิ๋นเยี่ยเห็นด้วยตาตนเองว่าม้าศึกตัวหนึ่งถูกลูกดอกยิงจากหน้าอกด้านหน้าทะลุไปยังทวารหนัก ล้มลงกับพื้น ออกแรงถีบได้เพียงสองครั้งแล้วก็ไม่ขยับอีกเลย
อวิ๋นเยี่ยเริ่มสบายขึ้นเรื่อยๆ ในรัศมีสองจั้งรอบกายเขาไม่มีลูกธนูอีกเลย เฉิงฉู่มั่วเองก็เบื่อมากเช่นกัน เขาส่งโล่ให้อวิ๋นเยี่ยเอาไว้ป้องกันตัว ตัวเองกลับไปที่ข้างม้าศึกเตรียมออกจู่โจมได้ตลอดเวลา หลังจากการโจมตีครั้งใหม่ของชาวอาหรับถูกทำลายลง กองกำลังของอวิ๋นเยี่ยมีเพียงทหารม้าห้าสิบนายเท่านั้น ทหารเสริมช่วยผลักรถลากเลื่อนออกและเริ่มตอบโต้
เฉิงฉู่มั่วและเหล่าจวงสองคนตะโกนโห่ร้องแล้ววิ่งเข้าใส่แนวศัตรู หอกหม่าซั่วราวกับมังกรคะนองน้ำที่ออกจากทะเล ก่อตัวเลื้อยพันฝูงทหารอย่างต่อเนื่อง ชาวอาหรับยิ่งรบยิ่งลดน้อยลง แต่ยังคงไม่ยอมจากไป ทั้งยังต่อสู้อย่างยืดเยื้อกับทหารต้าถัง
นี่เป็นสงครามที่แปลกประหลาด พวกเขาดูเหมือนจะไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ แต่มาเพื่อรับความตาย ทหารเสริมเริ่มเคลื่อนรถลากเลื่อนมุ่งไปยังสนามรบ หัวหน้ากองของเหล่าหนิวตะโกนคำสั่งที่อวิ๋นเยี่ยฟังไม่เข้าใจ คอยควบคุมเร่งให้เหล่าทหารเสริมยิงชาวอาหรับที่เหลือทิ้งเสีย
ในที่สุดทหารเสริมก็มาถึงสนามรบ ส่งเสียงร้องตะโกน โยนธนูในมือทิ้ง เริ่มใช้ดาบและหอกยาวเพื่อจัดการกับทหารม้าที่ไม่สามารถวิ่งได้ ไม่ว่าทหารม้าจะเก่งกาจเพียงใด เมื่อวิ่งไม่ได้เช่นนั้นย่อมสู้ทหารราบไม่ได้ คนสี่ห้าคนรับมือคนคนเดียว การต่อสู้จึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ทหารม้าเหล่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ร้องขอชีวิตแม้แต่คำเดียว เพียงแต่ส่งเสียงร้องครวญราวกับสัตว์ป่าเท่านั้น
ซุนซือเหมี่ยวกระโดดออกมาจากด้านหลังของรถลากเลื่อน มาอยู่ด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยและถามว่า “คนพวกนี้เป็นใครกัน พวกเคราดกหรือ”
“ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วเป็นชาวอาหรับ แต่ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่ ตัวมูฮัมหมัดเองอยู่ในเมืองเมดินา คนที่ไม่เชื่อในศาสนาอิสลามเกรงว่าน่าจะถูกฆ่าตายหมดแล้ว ต้องบอกให้รู้ก่อนว่า การเผยแผ่ศาสนาของมูฮัมหมัดนั้นมือหนึ่งถือคัมภีร์อัล-กุรอาน อีกมือหนึ่งถือดาบ คล้อยตามข้าอยู่ ไม่คล้อยตามข้าตาย คนพวกนี้ที่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้วยังไม่กราบไหว้ ทั้งยังมีเหล้าชั้นเลิศอีก จะเป็นมุสลิมได้อย่างไร เจ้าว่าจริงไหม” อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาถามคนที่ถูกเฉิงฉู่มั่วจับมา
ความเป็นจริงได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าล่ามนั้นกลัวตาย ชายคนนี้ก็เช่นกัน กระโจนลงกับพื้นกอดเท้าของอวิ๋นเยี่ย จูบรองเท้าของอวิ๋นเยี่ยไม่หยุดจึงถูกเขาเตะกระเด็นออกไป
“พูดมาเสีย พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมต้องหลอกพวกข้าด้วย”
“ท่านแม่ทัพผู้กล้าหาญและปราดเปรื่อง พวกเราเป็นแค่ทาสรับใช้ที่ถูกส่งมาเชิญท่านไปเข้าร่วมงานเลี้ยงงานหนึ่งเท่านั้น เจ้าพวกทาสที่สมควรตายเหล่านั้นเป็นเพียงการละเล่นก่อนงานเลี้ยงเท่านั้นเอง แขกของพวกเราชอบเล่นการละเล่นเล็กๆ น้อยๆ ก่อนงานเลี้ยง อับดุลลาห์ผู้ต่ำต้อยคิดว่าท่านแม่ทัพเองก็คงชอบเช่นกัน ดังนั้นจึงได้จัดให้มีการละเล่นเล็กๆ เช่นนี้ขึ้น” พวกเฉิงฉู่มั่วโกรธจัดและคิดว่าคนสารเลวที่ชื่ออับดุลลาห์กำลังพูดเหลวไหลไร้สาระ
แต่อวิ๋นเยี่ยกลับเชื่อ ชนชั้นสูงแห่งเปอร์เซียมีธรรมเนียมเช่นนี้ พวกเขาใช้ชีวิตของทาสเพื่อทำให้แขกพอใจ เพื่อไม่ให้กระทบต่ออารมณ์ของแขก พวกเขาจะตัดลิ้นของทาสทิ้งเพื่อป้องกันไม่ให้ทาสกรีดร้องก่อนที่จะตายแล้วกระทบต่ออารมณ์การดื่มเหล้าของแขก พวกเขาเชื่อว่าเหตุผลที่ขุนนางเป็นขุนนางเพราะพวกเขามีความเห็นอกเห็นใจที่สูงส่ง ดังนั้นพวกเขาจะได้รับข้อกล่าวหาทุกครั้ง ตัวอย่างเช่นครั้งนี้ พวกเขาจัดฉากข้อกล่าวหาในการหลอกลวง การหลอกลวงขุนนางคนหนึ่งก็จะต้องโทษประหารชีวิต ดังนั้นขุนนางจึงสามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างสมเหตุสมผลโดยไม่ต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจอันสูงส่ง
ครั้นเปิดปากของทาสคนหนึ่งดู จริงดังว่าเขาไม่มีลิ้น ทาสสามร้อยคนก็คือราคาของการเชิญอวิ๋นเยี่ยไปดื่มเหล้า
ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยโกรธมากจนแทบระเบิดออกมา ไม่น่าแปลกใจที่กลยุทธ์การศึกของพวกเขาถึงดูไม่พลิกแพลงเสียเลย ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีลูกธนูยิงมาข้างกายเขาเลยแม้แต่ดอกเดียว หากตัวเองบุกเข้าไปในสนามรบคาดว่าพวกทาสเหล่านั้นคงไม่กล้าที่จะต่อต้านแน่ ให้ตายสิ ในมือเจ้าพวกนั้นคือทาส จะทำลายพวกเขาอย่างไรก็ได้ ให้ดิ้นตาย พวกที่อยู่ในมือฉันคือเพื่อนร่วมรบ ตอนนี้ตายไปหกคน เพียงเพราะแค่อยากเล่นสนุก ลูกเต่าตัวไหนกันที่ทำเช่นนี้
เมื่อมองอับดุลลาห์ที่อยู่ที่เท้า ชื่อนี้ก็คือชื่อของชาวอาหรับ ซึ่งก็หมายความว่าทาสเหล่านี้เป็นชาวอาหรับ พวกศิษย์ต่างลัทธิที่ไม่เชื่อในอัลเลาะห์ อวิ๋นเยี่ยที่หน้าเคร่งเครียดทำท่าทางตัดศีรษะต่อเหล่าจวง เหล่าจวงไม่ลังเลที่จะฟันดาบลงที่คอของอับดุลลาห์เพียงแค่ลากไปศีรษะชายคนนั้นก็หลุดกลิ้งลงมา
เดินเล่นในสนามรบมีเพียงลมหนาวพัดผ่าน จิตใจของอวิ๋นเยี่ยนั้นหนาวเหน็บอ้างว้างยิ่งกว่าสายลมเย็นนี้ ทาสที่นอนอยู่บนพื้นไม่มีชุดเกราะ มีเพียงเสื้อผ้าเรียบง่าย ผิวที่เปลือยเปล่าอยู่ด้านนอกเป็นแผลกัดเซาะบริเวณกว้าง …
ลมพัดหิมะบนพื้นขึ้นมา มีเสียงกระดิ่งของอูฐดังขึ้น เสียงที่ไพเราะและมีชีวิตชีวา อูฐสีขาวออกมาจากท้องฟ้าที่มีหิมะโปรยราวกับเอลฟ์ มันหยุดอยู่ข้างศพของอับดุลลาห์แล้วก็นอนลง ปากก็เคี้ยวเอื้องไม่หยุดราวกับกำลังพูดอยู่ มีกล่องเงินอยู่บนหลังมันซึ่งทำได้ประณีตสวยงามมาก เฉิงฉู่มั่วบิดตัวล็อกเล็กๆ ออกและพบว่าด้านในเป็นบัตรเชิญ บัตรเชิญนั้นเป็นม้วนหนังแกะสีขาว
สวี่จิ้งจงเปิดหนังแกะออกและอ่านเสียงเบาๆ “อวิ๋นโหวเดินทางไกลนับพันลี้ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ข้าตั้งใจย้ายถิ่นเพื่อต้อนรับทุกท่าน การทักทายก่อนหน้านี้ หวังว่าโหวเหยียจะเป็นที่พอใจ วันนี้มีเหล้าเปอร์เซียอีกทั้งสาวงามจากนานาประเทศ ร่ายรำพร้อมหิมะโปรย ร้องรำต้อนรับลมเหนือ หาความสุขที่ใดเปรียบมิได้ ข้ารอคอยร่วมกันร่ำสุรากับอวิ๋นโหว จะให้เกียรติได้หรือไม่”
สวี่จิ้งจงอ่านหนังสือบนม้วนหนังแกะจบแล้วก็มองอวิ๋นเยี่ยด้วยความตกตะลึง จากความรู้มากมายของเขา เขาไม่เคยพบกับการเชิญแขกเช่นนี้มาก่อนเลย ให้ตายสิ นี่มันเป็นพวกวิปริต เต้นรำกับหิมะต้อนรับลมเหนือท่องบทกวี นี่เป็นการบีบบังคับอย่างประเจิดประเจ้อ ถ้าไม่ไปพรุ่งนี้ต้องมีหญิงงามมากมายที่แข็งตายถูกส่งมาอย่างแน่นอน เขาเป็นใครกัน จึงได้เข้าใจข้าดีถึงเพียงนี้ รู้จุดอ่อนของข้าดีถึงเพียงนี้
หากทิ้งเรื่องการปลอมแปลงเอกสารของเขา เขาก็ทำตามพิธีรีตองของชนชั้นสูงแล้ว แม้จะเป็นพิธีรีตองของพวกเขาก็ตามที จากการที่เขาสามารถนำทาสสามร้อยคนมาล้อเล่นได้อย่างสบายอารมณ์ก็อนุมานได้ว่าในมือของเขาคงมีคนมากกว่าสามพันคน แม้แต่ข่านเจี๋ยลี่ก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าเขา ไม่ไปคงไม่ได้แล้ว หากเจ้าหมอนี่ส่งสมุนมาเล่นสนุกอีก จำนวนคนเท่าหยิบมือของตนตอนนี้ไม่เพียงพอให้เขาแคะเศษอาหารรอ แม้จะรวมกับทหารม้าอีกห้าร้อยคนที่อยู่ด้านหลังก็ยังเป็นปัญหา
ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เขาเป็นชนชั้นสูงฉันก็เป็นชนชั้นสูง จะให้เขาดูแคลนได้อย่างไร เหล่าซุนห้ามไป เฉิงฉู่มั่วห้ามไป ได้แต่ไปพร้อมกับสวี่จิ้งจงและเหล่าจวงเท่านั้น ให้ซุนซือเหมี่ยวดูแลเฉิงฉู่มั่วให้ดี อย่าให้โรคหลงตัวเองกำเริบขึ้นได้ ตอนนี้สถานการณ์ไม่ดี แต่ได้รับมือทีละขั้น หากผิดพลาดไปแม้สักนิด ทุกคนได้จบสิ้นกันหมดแน่ พูดเหตุผลนี้ให้เฉิงฉู่มั่วฟังหลายครั้งแล้ว จึงได้รีบไล่อูฐให้ลุกขึ้นและกลับไปทางเดิม
อวิ๋นเยี่ยมุ่งหน้าตามอูฐไป เขาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำแบบเต็มตัว สวมหมวกขนสัตว์ไว้ รองเท้าหนังกวางบุด้านในเพื่มความอุ่น ที่ปลายเชือกของชุดคลุมชั้นนอกมีไข่มุกสีดำขนาดใหญ่เท่าดวงตามังกร ก็ไม่รู้ว่าอาหญิงไปนำมาจากที่ไหน อย่างไรก็การแต่งกายของอวิ๋นเยี่ยครั้งนี้ยกระดับภาพลักษณ์ทางการเงินของตระกูลอวิ๋นให้ดูดีขึ้นหลายเท่า หากอยู่ฉางอันเป็นตายอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมสวมชุดนี้อย่างเด็ดขาด มันเหมือนข้าวต้มมัดมาก คราวก่อนลองสวมดูทำให้ซินเย่ว์หัวเราะหมอบอยู่บนเตียงจนลุกไม่ขึ้นเลย บอกว่านางเห็นเพียงแผ่นหนังและไข่มุก ส่วนตัวคนนั้นจำไม่ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
สวี่จิ้งจงกลับดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี เป็นชุดขุนนางฝ่ายบุ๋นทั่วไป ด้านนอกสวมเสื้อคลุมหนังแกะสามส่วน ไม่ได้สวมเสื้อคลุมทับด้านนอกอีกครั้งเหมือนอวิ๋นเยี่ย มองดูแล้วชวนให้ดูสดชื่นปลอดโปร่ง
ด้านหลังเหล่าจวงแบกดาบยาวไว้สองเล่ม ที่เอวแขวนดาบใหญ่ไว้หนึ่งเล่ม บนหลังม้ายังมีธนูและลูกศร ทั้งสองด้านแขวนซองธนูไว้ อยากจะสวมชุดเกราะไปจนถึงซี่ฟันเลย
หลังจากขี่ม้าไปได้ไม่ถึงสองลี้ก็มีรถม้ามารอรับ อวิ๋นเยี่ยและสวี่จิ้งจงสละม้าและขึ้นรถ ลมด้านนอกเย็นหนาวเหน็บ ในรถอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ มีหญิงอรชรสองนางหมอบคารวะอยู่บนพื้น เสียงเจื้อยแจ้วไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่ อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้พูดก็ถอดรองเท้าอวิ๋นเยี่ยออก แล้วดันเท้าเย็นๆ ของอวิ๋นเยี่ยเข้าไปในทรวงอกของนาง ร่องอกที่อิ่มเอิบถูกเท้ากดทับจนผิดรูป นิ่มๆ ลื่นๆ จนทำให้อวิ๋นเยี่ยหน้าแดงกลายเป็นกวนอูทันที
หากเปรียบเทียบกันแล้ว สวี่จิ้งจงนั้นเป็นธรรมชาติมากกว่า วางเท้าของไว้บนทรวงอกอันอบอุ่นของหญิงสาวอย่างสบายอารมณ์ ด้วยท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมากราวกับได้เสพยาเสพติด เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นพวกแถวหน้าของบรรดาชายเจ้าชู้ เขาถึงกับใช้เท้าขยับไปมาอยู่บนทรวงอกของหญิงสาวไม่ยอมหยุด ทำให้พวกนางหัวเราะคิกคักไม่หยุด เส้นผมของหญิงสาวนั้นมีสีน้ำตาล ไม่ใช่หญิงชาวต้าถัง ด้วยความคิดอันชั่วร้ายที่จะสร้างศักดิ์ศรีให้ประเทศ อวิ๋นเยี่ยก็ขยับเท้าขึ้นลงซ้ายขวาไปมาอย่างระมัดระวัง …
“อวิ๋นโหว ขอให้ปล่อยใจให้สบาย เมื่อได้โอกาสทำตามอำเภอใจก็จงทำมันเสีย อย่าได้เป็นกังวล ข้าคิดว่าเจ้านายคนที่มาเชิญแขกนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย บางทีอาจจะต้องการขอร้องอวิ๋นโหว เมื่อถึงเวลาอวิ๋นโหวก็สามารถลงมือได้อย่างเต็มที่ กอบโกยผลกำไรก้อนโต แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า ผู้ที่รู้เห็นย่อมต้องมีส่วนแบ่ง! “
ขณะทำสงคราม เจ้าคนนี้หมอบอยู่บนรถลากเลื่อนไม่ยอมลง ทั้งยังให้คนรับใช้ชราหมอบทับร่างเขาไว้เพื่อรับลูกธนูแทนเขา ตอนนี้รอดกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ยังจะทำเป็นวางท่าที นี่คือธาตุแท้ของพวกที่รู้จักแต่เอาตัวรอดโดยแท้ ภายหน้าคบค้าสมาคมกับเขาต้องเพิ่มความระวังให้มากขึ้นนั้นถือว่าถูกต้องแล้ว
“เหลาสวี่ คำพูดนี้ควรเริ่มจากจุดไหนดี ตอนอยู่ที่เมืองซั่วฟางพวกเขาก็ไม่มีเจตนาดี ล่อลวงพวกเราให้มายังทุ่งหญ้ากว้างไร้ผู้คนเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเจตนาแอบแฝง ต้องป้องกันไว้” สำหรับคำพูดของสวี่จิ้งจง อวิ๋นเยี่ยฟังไว้เพียงครึ่งเดียวหรือน้อยกว่านั้น
“ฮ่าๆ อวิ๋นโหวคิดมากไปแล้ว พวกเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับแผนงานทางทหารของต้าถัง กับการเคลื่อนไหวของราชสำนักในตอนนี้ก็เรียกได้ว่าตาบอดสนิท ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถขายชาติได้และไม่สามารถหักหลังทหารต้าถังได้ เมื่อไม่มีสองข้อนี้แล้ว เหตุใดยังต้องกลัวอีก ตอนนี้พวกเราสองคนมีเพียงความรู้ที่มีอยู่เต็มหัว พวกเขาใช่ว่าจะสามารถแย่งไปได้ เมื่อได้พบกับเจ้าบ้านที่มีอัธยาศัยดีเช่นนี้ ไม่เสวยสุขให้เต็มที่จึงจะเรียกว่าผิดบาปนะ”
“มา สาวน้อย เท้าอบอุ่นได้ที่แล้ว ตอนนี้ช่วยทำให้มือข้าอุ่นหน่อย… “