เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 29
หญิงเลี้ยงแกะได้กินอิ่มและนอนหลับอยู่ในอาคารที่อบอุ่น นางยื่นมือออกมาดึงชายเสื้ออวิ๋นเยี่ยไว้แน่น หลายวันที่ผ่านมานางต้องทนทุกข์ทรมานต่างๆ นานา ถูกผูกไว้กับกระดานไม้ นางมักจะจินตนาการว่าชายชาวฮั่นที่ดูดีคนนั้นจะต้องมาช่วยนางแน่ เหมือนเทพบุตรแห่งเขาเทียนซันช่วยเทพธิดาอูหมี โดยตัดหัวงูยักษ์ทิ้งแล้วช่วยชีวิตนางออกจากท้องงูยักษ์ จากนั้นมีลูกแกะเก้าสิบเก้าตัวสีขาวราวกับปุยเมฆมาห้อมล้อมนางและมีลูกแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มีสีดำเหมือนเมฆดำล้อมรอบคนรักของนาง เขากระโดดรำดาบ โดยทุกครั้งก็จะใช้ดาบทำศึกตัดดอกไม้ที่สวยที่สุดลงมาแล้ววิ่งมาหานาง นางไม่ชอบดอกว่านผักบุ้งสีขาว ชอบแต่ท่านผู้นำที่สง่างาม ทุกครั้งที่เขาร่ายรำไปหนึ่งท่วงท่า นางก็ใช้แส้ฟาดไปที่เขาเบาๆ… นางคิดอย่างเคลิบเคลิ้มมากจนเกือบลืมความหนาวเย็นและลืมอันตราย จนกระทั่งชายผู้น่ากลัวทั้งสองคนนำสิ่วมาจะผ่าศีรษะนาง นางจึงเพิ่งตื่นขึ้นมาจากจินตนาการ หญิงสาวแห่งทุ่งหญ้าไม่เกรงกลัวความตาย เพียงแต่เกรงว่าจะไม่เจอคนที่รักที่สุดอีก นางพยายามดิ้นรนอย่างหนักและหวังว่าจะช่วยยื้อเวลาให้คนรักนางอีกสักหน่อยเพื่อให้ตามมาช่วยเหลือได้ นางไม่เคยหมดหวัง คนรักของนางกำลังต่อสู้อยู่ด้านนอก อีกประเดี๋ยวก็จะมาช่วยนาง เพียงแต่แรงยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ นางอยากจะตะโกน “ที่รัก เจ้ารีบมาเร็วๆ เจ้าใกล้จะไม่ได้เห็นน่ารื่อมู่ที่งดงามอีกแล้ว”
น่ารื่อมู่ค่อนข้างได้ใจ พระเจ้าได้ยินเสียงร้องเรียกของนาง ใบหน้าของคนรักปรากฏขึ้นตรงหน้านาง เขาโกรธจัด ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น คนรักของตัวเองถูกมัดเอาไว้ มีใครบ้างที่จะไม่โกรธ คนเลวที่น่าสงสารจึงถูกที่รักฆ่าตาย คนเลวมักจะมีจุดจบเช่นนี้ ใครใช้ให้เขาคิดจะผ่ากะโหลกศีรษะของน่ารื่อมู่เล่า
หญิงสาวนอนคุดคู้อยู่ด้านหลังอวิ๋นเยี่ยทั้งยังหลับอย่างฝันหวาน แม้ว่าหน้าตานางจะไม่สวย แต่ความงามตามธรรมชาติของหญิงสาวกลับทำให้หัวใจเต้นแรงได้เช่นกัน
อวิ๋นเยี่ยมองหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทอยู่ ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมที่สาวใช้พับไว้อย่างเป็นระเบียบที่อยู่ข้างกายคลุมร่างสาวน้อยเอาไว้
“อวิ๋นโหวช่างมีใจรักหวงแหนหญิงสาวเสียจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอวิ๋นโหวคิดอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง พี่น้องของเจ้ากำลังตามหาเจ้าอยู่ในทุ่งหญ้าแล้ว อีกทั้งมีเพียงสิบคนเท่านั้น ข้ารู้สึกหวั่นไหวอยากจะส่งคนไปหาเขาและถือโอกาสพาเขากลับมาด้วย”
เยี่ยถัวคิดว่าเขาได้อยู่ในจุดที่เหนือกว่าแล้ว จึงเริ่มเล่นจิตวิทยาแมวแหย่หนูเพื่อจัดการกับอวิ๋นเยี่ย
“พี่เยี่ยถัวดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการชีวิตข้า เพียงแค่ไม่รู้ว่ามีข้อชี้แนะอะไร ขอให้พูดอย่างเปิดอก ถ้าน้องชายสามารถทำได้ก็จะทำให้ดีที่สุด ถ้ากำลังไม่พอ เจ้าฆ่าข้าก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะข้าเป็นคนที่กลัวตาย ดังนั้นพี่เยี่ยถัวไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม เชิญกล่าวตามตรง น้องชายรอฟังอยู่”
“ไม่ต้องรีบ เจ้าฟังเยี่ยถัวพูดให้จบคำแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังทัน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอวิ๋นโหวเป็นแขกคนสำคัญของข้า เยี่ยถัวไม่กล้าที่จะเพิกเฉยแม้แต่น้อย”
“ที่จริงแล้วหลังจากได้เห็นหนังสือคำสั่งทางทหาร ข้าก็รู้ว่ามีใครบางคนต้องการพบข้า จากหนังสือคำสั่งของปลอมก็เห็นเงาของตระกูลโบราณอยู่เลือนรางแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าพี่เยี่ยถัวเป็นตัวแทนของตระกูลไหน โปรดอภัยที่น้องชายกล่าวตามตรง ท่านเป็นเชื้อสายของ ‘เก้าสกุลแห่งเจาอู่’ แม้ว่าจะมีวรยุทธ์และกล้าหาญ แต่ไม่มีทางที่จะใช้วิธีการที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยผู้อื่นปกปิดอะไร มีอะไรกล่าวมาตามตรงก็พอ”
อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการให้เขามีเวลาในการคิด อยากจะแก้ปัญหาด้วยการฟันดาบลงไปบนความวุ่นวายนี้อย่างรวดเร็ว เฉิงฉู่มั่วเริ่มอาละวาดแล้ว หากยังไม่รีบแก้ไขอีกเหตุการณ์ต้องพลิกผันแน่
“ได้ยินมาว่าอวิ๋นโหววาดแผนที่แผ่นหนึ่งให้หลวงจีนท่านหนึ่ง มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่” เยี่ยถัวเริ่มถามแล้ว “มีเรื่องเช่นนี้จริง เป็นหลวงจีนเสวียนจั้ง เขามีใจมุ่งมั่นที่จะไปชมพูทวีปอัญเชิญพระไตรปิฎกมหายาน หวังเพื่อจะได้เพิ่มเติมข้อบกพร่องของศาสนาพุทธในต้าถัง ทว่าเป็นเรื่องยากที่เขาจะรู้ว่าจะไปยังชมพูทวีปได้อย่างไร ดังนั้นข้าจึงได้วาดแผนที่เส้นทางการเดินทางให้แก่เขา แม้ว่าภาพจะหยาบไปบ้าง แต่เส้นทางหลักที่จะไปชมพูทวีปนั้นคิดว่าไม่มีปัญหา”
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดถึงเสวียนจั้ง หรือจะบอกว่าความปรารถนาที่ตนเองอยากได้บันทึกการเดินทาง ‘การเริ่มต้นแห่งการเดินทางกับราตรีที่เร่งรีบ’ ที่ซีอวี้ของต้าถัง จะพังทลายลง”
เยี่ยถัวปรบมือแล้วตะโกนขึ้น “ขอเชิญไต้ซือเสวียนจั้งผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าถัง”
อวิ๋นเยี่ยตกตะลึงด้วยความกลัว เสวียนจั้งอยู่ที่นี่หรือ เวลาครึ่งปีเขาเพิ่งจะเดินทางมาถึงที่นี่เองน่ะหรือ
มีสาวใช้เปิดผ้าม่านออก มีหลวงจีนผิวดำร่างผอมสวมจีวรขาดๆ เข้ามาจากประตู เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่เพียงชั่วพริบตาก็กลับสู่ท่าทีนิ่งสงบ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสมอหน้าอกแล้วเอ่ยทักตามประเพณีทางพุทธศาสนาขึ้นว่า “เจริญพร เรื่องราวบนโลกช่างไม่เที่ยง ไม่คิดว่าจะได้พบกับอวิ๋นโหวอีกครั้งในทุ่งหญ้าแห่งนี้ อาตมาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ”
“ไต้ซือเป็นผู้ออกบวช จะมีความรู้สึกทุกข์สุขโศกเศร้าดีใจมากมายได้อย่างไรกัน ได้พบสหายเก่าในต่างเมือง เป็นได้เพียงเรื่องน่ายินดีเท่านั้น ไม่ทราบไต้ซือจะดื่มสักจอกได้หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มระรื่นลุกขึ้นยืนต้อนรับแขก เมินเฉยต่อสายตาที่สวี่จิ้งจงส่งสัญญาณให้อย่างบ้าคลั่ง เขาเพียงแค่ไม่อยากให้ตนเองต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของเสวียนจั้งอีกเท่านั้นเอง
เยี่ยถัวเองก็ลุกขึ้นยืน เพียงแค่รอยเขียวคล้ำระหว่างคิ้วก็บ่งบอกให้รู้ว่าชีวิตของเขานั้นอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว นี่เป็นเพราะตระกูลที่อยู่เบื้องหลังเขาจงใจทำเช่นนี้ หรือหวังดีกับเขาจริงๆ กันแน่ ซึ่งก็คงมิอาจรู้ได้
“ข้านั้นได้พบกับไต้ซือเสวียนจั้งในแคว้นคัง ซึ่งเขากำลังสอบถามเกี่ยวกับเส้นทางที่จะไปชมพูทวีป ข้าเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้น บังเอิญว่าข้าจะมาที่ทุ่งหญ้าเพื่อตามหาอวิ๋นโหวพอดี ดังนั้นจึงได้พามาด้วยกัน หาคนอื่นถามทาง ไม่สู้ถามอวิ๋นโหวให้ชัดเจนจะดีกว่า”
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดไร้สาระของเยี่ยถัว ถามเสวียนจั้งอีกว่า “ไม่ทราบว่าหลังจากไต้ซือพบอุปสรรคเช่นนี้ ยังมีใจที่จะอัญเชิญพระคัมภีร์ดังเดิมหรือไม่”
เสวียนจั้งสิบนิ้วประนมคารวะ “อาตมาเคยประกาศความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ไปแล้ว หากยังไม่สามารถอัญเชิญพระคัมภีร์ได้จะไม่หันหลังกลับอย่างเด็ดขาด ความจริงใจยังคงเดิม ความมุ่งมั่นยังคงอยู่”
“หลักธรรมของไต้ซือได้พัฒนาขึ้นอีกแล้ว ช่างเป็นที่น่ายินดี” ในตำนานกล่าวว่าพระถังอัญเชิญพระคัมภีร์ต้องได้รับความทุกข์ทรมานเก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดครั้ง แต่นั่นเป็นตำนาน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ดังนั้นจึงยังไม่เชื่อเสียทั้งหมด ตอนนี้เห็นเสวียนจั้งสวมจีวรที่ขาดรุ่งริ่งไม่เป็นชิ้นดี จึงได้เชื่อว่าเขาใช้ชีวิตเพื่อเดินทางในครั้งนี้ พริบตาเดียวความชั่วช้าในก้นบึ้งจิตใจของอวิ๋นเยี่ยก็ถูกชะล้างไปจนหมดสิ้น จริยธรรมและปณิธานได้ทำให้เกิดการแพร่ระบาดขึ้น ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่บอกไม่ถูก จิตใจรู้สึกผ่อนคลายไร้กังวลมากขึ้น
นับตั้งแต่ที่ตนเองมาถึงยุคราชวงศ์ถังจนถึงปัจจุบัน ได้เดินบนถนนที่ราบรื่นมามากเหลือเกิน แม้ว่าจะมีทางที่คดเคี้ยวอยู่บ้าง ตัวเองก็ได้พึ่งพาเงื่อนไขที่ว่ารู้ก่อนเห็นก่อนมาคอยหลบหลีกทุกครั้ง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร แก่นแท้ของมนุษย์เรายิ่งเจออุปสรรคยิ่งกล้าแข็ง เปรียบดังเช่นต้นจิ้งซง ดอกล่าเหมย เมื่อเทียบกับความมั่นคงเด็ดเดี่ยวและจิตใจที่สูงส่งของเสวียนจั้งในตอนนี้แล้ว ตนเองยังต้องฟันฝ่าลมฝนให้มากขึ้น เพื่อที่จะเติบโตเป็นต้นไม้ที่สูงตระหง่านได้ สำนักศึกษาจะได้มั่นคงสืบต่อตลอดไป
ครั้นพยุงเสวียนจั้งผู้อ่อนแอนั่งลง อวิ๋นเยี่ยจึงหันกลับไปถามเยี่ยถัว “ถ้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ เวลาของข้ามีไม่มาก เวลาของไต้ซือก็มีไม่มากเช่นกัน เชื่อว่าเวลาของเจ้าจะยิ่งบีบคั้นมากกว่า อยากได้อะไรก็พูด นี่เป็นโอกาสสุดท้าย”
ในช่วงเวลาสั้นๆ เยี่ยถัวยังปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของอวิ๋นเยี่ยไม่ทัน เมื่อครู่อวิ๋นเยี่ยก็พูดอย่างนี้ แน่นอนว่าด้วยประสบการณ์ของเขา ย่อมมองออกว่าอวิ๋นเยี่ยพูดอย่างไม่จริงใจ คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เขาได้พูดคุยกับเสวียนจั้งแล้ว บุคลิกของเขากลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อคำพูดประโยคนี้ถูกพูดออกมาอีกครั้ง ย่อมให้ความหมายที่แตกต่างกัน
เขาก้มหน้าไม่พูดอะไร พ่อบ้านนำกระดาษแผ่นหนึ่งมาใส่มือเขา หลังจากเขาอ่านแล้วก็ใส่เข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวจากนั้นก็กลืนมันลงไป
“ไป๋อวี้จิงอยู่ที่ใด บอกข้ามา แล้วเจ้ากับข้าจะไม่ติดหนี้กัน นับแต่นี้ไปไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
“รู้ว่าไป๋อวี้จิงอยู่ที่ไหนรังแต่จะทำให้เจ้าตายเร็วขึ้นเท่านั้น แน่ใจหรือไม่ว่าอยากรู้ ข้าไม่ได้พูดตอนอยู่ในท้องพระโรง ก็เพราะไม่ต้องการให้คนจำนวนมากมาตายเพราะเรื่องนี้ ทำไมพวกเจ้าจึงไม่เข้าใจความลำบากใจของข้า ทำอะไรตามแต่ใจ จะต้องรู้ให้ได้ว่าสถานที่เลวร้ายนั้นอยู่ที่ใดให้ได้”
อวิ๋นเยี่ยในขณะนี้เสียใจมากจริงๆ เพราะมุขตลกเรื่องหนึ่งของเขาได้ฆ่าผู้คนไปแล้วจำนวนมาก เพื่อไม่ให้ผู้คนเดือดร้อนมากขึ้น เจ้าพวกที่โหยหาอยากจะมีชีวิตอมตะจงไปตายเสียให้หมดเถอะ พวกคนเลวโง่งมที่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุดตายไปให้หมด โลกนี้จะได้สงบขึ้นอีก
ด้านหลังม่านมีมือแห้งเ**่ยวข้างหนึ่งยื่นออกมา ในมือถือหยกอันหนึ่ง หยกชิ้นนี้จะส่องประกายอ่อนจางในเวลากลางวัน เยี่ยถัวรับหยกชิ้นนี้มาด้วยตัวเอง ส่งมอบให้อวิ๋นเยี่ยด้วยสองมือ
“บนนั้นเขียนอะไรไว้” อวิ๋นเยี่ยถาม บนหยกมีแต่เส้นโค้งๆ งอๆ เต็มไปหมด เขาพลิกซ้ายพลิกขวาดู ดูอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
“อวิ๋นโหวรู้หรือไม่ว่า ด้านบนเขียนด้วยอักษรโบราณสามคำ ชื่อว่า ไป๋อวี้จิง อวิ๋นโหวไม่รู้จักหรือ” เสียงแหบชราดังสะท้อนไปทั่วทั้งอาคาร
“เจ้ารู้จักอักษรของราชวงศ์ซางอย่างนั้นหรือ ตัวอักษรนี้เรียกอีกอย่างว่า เจี๋ยกู่เหวิน ตั้งแต่สมัยโบราณกาลก็มีชื่อของไป๋อวี้จิงแล้ว ผู้อาวุโส ท่านคงไม่ได้จำผิดใช่หรือไม่” ในที่สุดอวิ๋นเยี่ยก็นึกออกแล้วว่าเส้นแปลกๆ พวกนั้นที่เหมือนขวานผ่าฝืน เหมือนมีดสิ่ว มันก็คือเจี๋ยกู่เหวินไม่ใช่หรืออย่างไร ตาเฒ่านี่กำลังพูดเหลวไหล ในราชวงศ์ถังจะมีคนรู้จักเจี๋ยกู่เหวินด้วยหรือ
“ฮ่าๆๆ อวิ๋นโหวเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวางจริงๆ ด้วย คิดว่าอาจารย์ของเจ้าก็คงต้องเป็นยอดปรมาจารย์ท่านหนึ่งอย่างแน่นอน ถึงกับรู้ว่านี่คืออักษรในสมัยอินซาง ตอนนี้ข้าเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าเรื่องที่เจ้ารู้จักไป๋อวี้จิงนั้นเป็นเรื่องจริง คนอื่นที่รู้จักไป๋อวี้จิงบางทีอาจจะเป็นอย่างที่อวิ๋นโหวกล่าว คือกำลังเป็นอันตรายต่อเขา มีแต่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้นหากรู้ว่าไป๋อวี้จิงอยู่ที่ใดมีแต่จะเกิดประโยชน์ไม่มีผลร้าย ปีนี้ข้าอายุแปดสิบสามแล้ว หลายปีที่มานี้ถูกกักไว้ที่ธรณีของวิถีแห่งเซียนมาตลอดโดยไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ข้าอยากจะเห็นดินแดนแห่งเทพเซียนจริงๆ ขออวิ๋นโหวส่งเสริมด้วย สำหรับรางวัลตอบแทนนั้นก็เป็นเมืองอูฐแห่งนี้เป็นเช่นไร”
สวี่จิ้งจงยืนอึ้งมองอวิ๋นเยี่ย เมืองอูฐแห่งนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนก้วน โดยเฉพาะอูฐนับเป็นสิ่งที่หาได้ยากใน ‘บันทึกการเดินทาง ‘การเริ่มต้นแห่งการเดินทางกับราตรีที่เร่งรีบ’ ที่ซีอวี้ของต้าถัง’ แต่ไหนแต่ไรมาชาวเผ่าหูเทิดทูนประหนึ่งชีวิตตน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมขาย หากมีเมืองอูฐนี้ การจะเชื่อมโยงไปยังซีอวี้ก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป อวิ๋นเยี่ยก็เพียงต้องการหาทางออกพิเศษอีกเส้นทางหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้เขาเริ่มตาแดงขึ้นเล็กน้อย
“ขอเพียงอาวุโสถาม ผู้เยาว์จะบอกเรื่องที่ตัวเองรู้ทั้งหมดให้ท่านรู้ ไม่จำเป็นต้องใช้เมืองอูฐเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
หากอวิ๋นเยี่ยเชื่อในคำพูดบ้าบอของพวกเขาก็แปลกแล้ว เมืองอูฐขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ว่าใครก็คงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ อย่างแน่นอน หากเกิดความโลภ ไม่แน่ว่าชีวิตน้อยๆ นี้ก็คงต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่
“ความจริงแล้ว เรื่องที่ผู้เยาว์รู้จักไป๋อวี้จิงนั้นก็ได้มาจากบทกวีบทหนึ่ง ท่านคงจะรู้ว่าถ้าหากผู้เยาว์ชี้เส้นทางที่ชัดเจนไร้ปัญหามันก็คือการโกหก ตอนนี้ขอให้ทุกคนคิดว่ากำลังฟังเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งจะดีกว่า ได้ยินอาจารย์กล่าวว่า ไป๋อวี้จิงที่ข้ารู้อยู่ตงไห่ คลื่นลมหนาวพัดไกลถึงเผิงหู[1] ฝูงวาฬขวางข้ามไม่ได้ช่างหดหู่ ขอขอบคุณเทพธิดาหมากู[2]ทางจดหมาย ทั้งยังบอกอีกว่าสถานที่นี้ครึ่งหนึ่งเป็นกลางวัน ครึ่งหนึ่งเป็นกลางคืน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จเพียงไร นี่เป็นไป๋อวี้จิงที่อาจารย์ข้ารู้จัก ผู้เยาว์รู้เพียงเท่านี้ สำหรับตัวข้าเองไม่เคยสนใจเกี่ยวกับเรื่องอายุวัฒนะแม้แต่น้อย หากมีท่านไหนสามารถบรรลุเป็นอมตะ ข้าน้อยก็จะขอแสดงความยินดีด้วย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสคิดอย่างไร”
นิ่งเงียบกันเป็นเวลานาน แม้แต่สวี่จิ้งจงก็กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เยี่ยถัวคัดลอกคำพูดเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ชายชราที่อยู่หลังผ้าม่านก็ไม่เอ่ยเสียงเช่นกัน สถานการณ์สงบเงียบอย่างน่าเบื่อ เมื่อมองหญิงเลี้ยงแกะนอนหลับฝันหวาน นิสัยเด็กของอวิ๋นเยี่ยก็เกิดขึ้นอีก จึงใช้ผมของนางแหย่รูจมูกของนาง เห็นนางถูจมูกไม่หยุดเหมือนลูกแมวง่วงนอน ใบหน้าของเสวียนจั้งจึงเกิดรอยยิ้มสุขุม มองดูอวิ๋นเยี่ยหยอกล้อหญิงเลี้ยงแกะ
จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเหนื่อยจนหมดแรง อยากจะทิ้งทุกอย่างให้หมดและนอนหลับ ศีรษะโงนเงน ก่อนจะนอนหมอบอยู่ข้างกายหญิงเลี้ยงแกะเข้าสู่ความฝัน…
——
[1] เผิงหู เป็นชื่อของสถานที่สองแห่ง คือ เผิงไหลอยู่ในมณฑลซานตง และ ฟางหู อันเป็นชื่อหุบเขาเซียนในตำนาน
[2] เทพธิดาหมากู เทพธิดาในตำนานโบราณของจีน ขึ้นชื่อเรื่องรูปโฉมอันงดงาม