เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 30
เฉิงฉู่มั่ววิ่งอยู่บนทุ่งหญ้าเป็นเวลาสามวันเต็มๆ ม้าศึกร่างใหญ่หายใจหอบและเดินบนพื้นหิมะอย่างยากลำบาก บางครั้งก็เดินโงนเงน หลังจากเดินผ่านสันเขาเล็กๆ ม้าก็คุกเข่าลงกับพื้นไม่ยอมก้าวต่อไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว ดวงตาของม้าตัวใหญ่น้ำตาไหลออกมา เฉิงฉู่มั่วลงจากหลังม้า สะพายย่ามหนังขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าต่อไป เขารู้ว่าม้าตัวนี้ใช้การไม่ได้แล้ว
เมื่อตอนที่เขาจากกองกำลังมา เขานำม้ามาสามตัว นี่คือตัวสุดท้าย ลมหนาวบนทุ่งหญ้าได้ทำให้แก้มของเขาปริแตกมีเลือดออก เป็นเช่นเดียวกับพ่อของเขาที่มีหนวดเคราสั้นๆ อยู่เต็มใบหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดง ไม่รู้ว่าผ้าโปร่งสีดำที่คลุมศีรษะปลิวหายไปไหนมานานแล้ว เขาคุกเข่าบนหิมะ คว้าหิมะกำมือหนึ่งใส่เข้าปากที่เขียวคล้ำ ดูดน้ำจากข้างในก้อนหิมะอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ปั้นหิมะอีกสองลูกแล้วนำมาประคบตา ในที่สุดดวงตาที่ปูดบวมก็รู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อย
เขาคิดถึงวิธีที่อวิ๋นเยี่ยสอนเขา ให้ตัดแผ่นหนังชิ้นหนึ่งออกจากย่ามหนัง กรีดให้เป็นเส้นทั้งสองข้าง แล้วผูกมันไว้กับดวงตา เงยหน้าขึ้นมองดูดวงอาทิตย์ที่สดใสบนท้องฟ้า ไม่รู้สึกอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย เหล่าองครักษ์ได้พลัดหลงกันตั้งแต่เมื่อวานนี้ เฉิงฉู่มั่วรู้ทางกลับไปที่ค่าย แต่เขากลับไม่ต้องการกลับไป อย่างน้อยก่อนจะได้พบอวิ๋นเยี่ยเขาก็ไม่ต้องการกลับไป ในย่ามหนังยังมีอาหารเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่ง เขาได้กลิ่นหอมอันเย้ายวนของพวกมันทะลุผ่านย่ามหนัง
เขาหยิบมันออกมาหลายครั้งแล้วก็เก็บกลับเข้าไปใหม่ เขาไม่กล้ากินเพราะกลัวว่าหลังจากพบพี่น้องแล้วสถานการณ์ของเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่าตัวเอง ขนมเปี๊ยะแห้งห่อนี้ถือเป็นอาหารที่เอาไว้ช่วยชีวิต
ในช่วงสามวันที่ผ่านมาเขาเกือบจะเดินทางไปทั่วทุกที่ในระยะสิบลี้นี้แล้ว ไม่มีข่าวอวิ๋นเยี่ยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในแนวเทือกเขาที่ทอดยาวนี้ เขาสงบนิ่งมากและไม่มีความร้อนรนเลย เขาเชื่อว่าตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยกำลังต่อสู้อยู่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาคว้าหอกหม่าซั่วแล้วยืนขึ้น สะพายย่ามหนัง แล้วมุ่งหน้าต่อไป มีหมาป่าตัวหนึ่งอยู่ที่ช่องแคบบริเวณหุบเขากำลังจ้องมองเฉิงฉู่มั่ว เฉิงฉู่มั่วก็จ้องมองมันเช่นกัน หมาป่าไม่คิดจะถอยหนี เฉิงฉู่มั่วเองก็ไม่คิดจะถอยหนี ดังนั้นจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นอย่างรวดเร็ว หมาป่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉิงฉู่มั่ว ลำคอถูกหอกหม่าซั่วแทงฉีกขาด เลือดอุ่นๆ ไหลไม่หยุด เฉิงฉู่มั่วคลานเข้าไปแล้วอ้าปากดื่มเลือดที่ยังอุ่นๆ อยู่ เขาไม่ได้กินอาหารร้อนๆ มาเป็นเวลาสามวันแล้ว ทุ่งหญ้าที่เลวร้ายแห่งนี้นั้นเนื้อก็ไม่ขาด สิ่งเดียวที่ขาดหายไปก็คือเชื้อเพลิง ไม่นานนักศพของหมาป่าก็เย็นแข็ง เฉิงฉู่มั่วไม่สามารถแบกร่างหมาป่าไปได้ ในเวลาไม่นานสายลมที่หนาวเย็นก็ทำให้ร่างหมาป่าแข็งยิ่งกว่าก้อนอิฐเสียอีก
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำและเกิดลมพายุอีกครั้ง เริ่มด้วยก้อนหิมะเล็กๆ บนพื้นค่อยๆ กลิ้งตัวแล้วกลายเป็นมังกรหิมะสีขาวอย่างรวดเร็ว มังกรหิมะสีขาวนับพันนับหมื่นรวมตัวกัน แล้วก็กลายเป็นพายุหิมะทั่วทั้งท้องฟ้า เฉิงฉู่มัวรีบหาสถานที่หลบภัยจากลมพายุ ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกพายุหิมะแช่แข็งจนกลายเป็นตุ๊กตาหิมะ
หลังจากเดินอ้อมพ้นตีนเขาแล้ว เขาเห็นอาคารหลังหนึ่ง รอบๆ นั้นเงียบสงบ ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว มีอาคารนี้ที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนพื้นที่ราบ เขาหมอบดูอยู่บนพื้นหิมะเป็นเวลานาน ไม่มีใครสักคนจริงๆ ได้ยินเพียงเสียงเสียดสีกันของเชือกที่ถูกสายลมพัดผ่าน
อาคารนี้ค้ำยันไว้ด้วยเสาขนาดใหญ่ ไม่มีบันได ห่างจากพื้นเพียงหนึ่งจั้ง เฉิงฉู่มั่วเดินวนรอบอาคารหนึ่งรอบแต่ก็หาทางขึ้นไม่เจอ เขาจึงวางย่ามหนังลงแล้ววิ่งซอยเท้าถี่ๆ บนพื้นที่ราบ ก่อนจะย่อตัวกระโดดขึ้น จึงเกาะพื้นที่ว่างบนอาคารได้ เมื่อออกแรงช่วงเอวและหน้าท้องก็ปีนขึ้นไปบนอาคารสำเร็จ ครั้นใช้ดาบฟันกลอนประตู เขาก็ได้เห็นห้องขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่า มีเพียงผ้าม่านหลายชั้น เมื่อเปิดผ้าม่านขึ้น เขาก็เห็นอวิ๋นเยี่ยนอนหลับอย่างมีความสุขร่างอยู่ใต้ผ้าห่มหนังสัตว์หนาๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังนอนกรนอยู่ ในมุมหนึ่งของกำแพงมีสวี่จิ้งจงและเหล่าจวงนอนพิงอยู่ พวกเขานั้นไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีเช่นอวิ๋นเยี่ย มีแผ่นหนังขาดๆ ไม่กี่ผืนคลุมอยู่และปล่อยให้พวกเขาสั่นเทาอยู่ตรงนั้น
หลังจากสำรวจลมหายใจของพวกเขา แน่ใจว่าพวกเขากำลังนอนหลับ แต่ไม่ว่าเฉิงฉู่มั่วปลุกอย่างไรพวกเขาก็ปลุกไม่ตื่น เขาถึงกับเตะที่บั้นท้ายของสวี่จิ้งจงไปหลายที แต่หมอนั่นก็ยังคงนอนเหมือนหมูที่ตายแล้ว
เฉิงฉู่มั่วไม่สนใจสภาพแวดล้อมอันแปลกประหลาดตรงหน้าแม้แต่น้อยนิด พี่น้องปลอดภัย เพียงแต่ว่าเขานอนไม่ยอมตื่นเท่านั้นเอง มีซุนซือเหมี่ยวอยู่ นี่เป็นปัญหาเล็กๆ เขาใช้ท่อนไม้ของอาคารนี้มาก่อกองไฟอยู่บริเวณที่ราบด้านนอก รอจนไฟลุกโชนแล้วจากนั้นจึงใส่หิมะลงไปจำนวนหนึ่ง ทันใดนั้นควันหนาทึบก็ลอยขึ้นไปตามลม แม้ว่ามันจะไม่สูง ยังไม่ทันลอยพ้นหุบเขาก็ถูกลมพัดกระจายไปก่อน แต่ก็ไม่เป็นไร พวกซุนซือเหมี่ยวต้องหาเจออย่างแน่นอน
เมื่อกลับเข้าในอาคาร มองดูอวิ๋นเยี่ยนอนกรนคร่อกๆ เฉิงฉู่มั่วก็รู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เขาวิ่งตะลอนไปทั่วทั้งป่าเขา สภาพน่าสังเวชกว่าสุนัขเสียอีก ทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงได้นอนหลับอย่างสบายอยู่ในกองผ้าห่มหนังสัตว์รอให้ตัวเองมาช่วย นี่ยังมีความยุติธรรมอีกหรือ
ไม่ได้ๆ ข้าจะแข็งตายอยู่แล้ว ต้องนอนพักสักหน่อย จึงเปิดผ้าห่มหนังสัตว์บนตัวอวิ๋นเยี่ยออก ความแค้นก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น ถึงกับยังมีผู้หญิงอยู่ด้วย ผู้หญิงคนนั้นกอดอวิ๋นเยี่ยไว้แน่น ซุกศีรษะของนางไว้ใต้แขนอวิ๋นเยี่ย นอนหลับด้วยใบหน้าฝันหวาน
เฉิงฉู่มั่วร้องไห้แล้วจริงๆ น้ำตาไหลไปถูกแผลที่ปริแตก เจ็บจนใบหน้าชักกระตุก เขารีบเช็ดน้ำตาให้แห้ง ให้ดิ้นตายสิ แม้กระทั่งร้องไห้ก็ยังไม่ได้ ไม่สนใจแล้ว เขาเข้าไปนอนอีกด้านหนึ่งของอวิ๋นเยี่ย เมื่อได้ความอบอุ่นจากผ้าห่มขนสัตว์ ก็นอนหาวหวอดๆ ความกังวลในสามวันที่ผ่านมาได้หายไปในพริบตา ขณะที่กำลังจะเข้าสู่ความฝัน เขาก็ได้ยินเสียงใหญ่ๆ ของเขาเหอเซ่า ในใจก็รู้สึกปล่อยวางแล้วจึงผล็อยหลับไป …
เพียงแค่ ‘ผงสำราญพันวัน’ เท่านั้นเอง สำหรับซุนซือเหมี่ยวแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นำดอกจูอวี๋แสบร้อนบดเป็นผงป้ายไว้ที่ปลายจมูกของทุกคนคนละนิด หลังจากจามหลายครั้งทุกคนก็ตื่นขึ้น เพียงแต่เป็นใครกันที่มียาหายากเช่นนี้อยู่ในมือ ตัวเองที่ค้นคว้ายาชาก็ขาดตัวยาหลักชนิดนี้ ค้นหาทั่ววังหลวงก็หาไม่เจอ ไม่คิดว่าจะพบยาชนิดนี้ในพื้นที่รกร้างเช่นนี้ ทำให้ซุนซือเหมี่ยวเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับเส้นทางในวันข้างหน้าของอวิ๋นเยี่ย
อวิ๋นเยี่ยตื่นขึ้นมา ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม ราวกับว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาจากฝันจริงๆ เมื่อตรวจสอบสภาพของสวี่จิ้งจงและเหล่าจวง พวกเขาทั้งสองป่วยเป็นไข้และกำลังไข้ขึ้นไม่ได้สติ หลังจากให้พวกเขากินข้าวต้มชามใหญ่แล้วก็นอนหลับไปอีก
เฉิงฉู่มั่วแคะจมูกอย่างแรง ผงจูอวี๋ทำให้เขาอึดอัดมาก
“นักพรตซุน ข้าไม่ได้โดนผงสำราญพันวันเสียหน่อย ทำไมท่านต้องเอาผงจูอวี๋มาป้ายให้ข้าด้วย จมูกข้าทรมานจะตายอยู่แล้ว”
“เจ้าเป็นคนมาตามหาคน เมื่อหาคนเจอแล้วไม่ได้หลบไปด้านข้างเพื่อเฝ้าระวัง ตัวเองกลับลงไปนอนหลับเหมือนหมู คราวนี้เป็นผงจูอวี๋ ครั้งต่อไปข้าจะใช้ยาสลายใจ” ซุนซือเหมี่ยวตอบอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก เมื่อเขาขึ้นมาในอาคาร เห็นหลายคนนอนหมดสติไม่รู้เรื่อง ก็รู้สึกตกตะลึงมาก หลังจากแตะชีพจรก็พบว่าเพราะสูดผงสำราญพันวันจึงหลับไป ของสิ่งนี้ปกติแล้วใช้เพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับ ฝันบ่อย ทั้งยังเป็นของล้ำค่าในการฝึกลมปราณ ปกติผงสำราญพันวันจะทำให้คนนอนหลับได้ดีและจะตื่นขึ้นมาเองภายในหนึ่งวัน คิดไม่ถึงว่าฤทธิของผงสำราญพันวันของที่นี่นั้นจะรุนแรงเช่นนี้ สามารถออกฤทธิ์ยาวนานถึงสามวัน มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
“อวิ๋นโหว รู้หรือไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร” เหอเซ่าเป็นกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ศัตรูที่อยู่ในที่แจ้งนั้นไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือศัตรูที่ไม่เปิดเผยตัว
“พวกเจ้ามีใครเคยได้ยินชื่อเยี่ยถัวคนคนนี้บ้าง เขาก็คือคนที่ล่อให้พวกเราออกจากเมืองซั่วฟาง” อวิ๋นเยี่ยถามเหล่าทหารหลวงที่ประจำการในพื้นที่แถบเมืองซั่วฟางเป็นประจำ
“เรียนโหวเหยีย ข้าน้อยรู้” ทหารหลวงที่สูงวัยคนหนึ่งตอบอวิ๋นเยี่ย
“เจ้ารู้หรือ รีบเล่ามาฟัง”
“โหวเหยีย ข้าน้อยก็ได้ยินมาจากกองคาราวานแห่งซีอวี้ เยี่ยถัวคนนี้เป็นโจรปล้นม้า ไม่มีเรื่องชั่วร้ายใดที่เขาไม่ทำ เป็นใหญ่อยู่ในดินแดนซีอวี้มาเป็นเวลาสิบปีแล้ว กล่าวกันว่าเขาสูงสามจั้ง ขี่อูฐสีขาวตัวใหญ่ อาหารทุกมื้อเขาต้องกินลูกวัวหนึ่งตัว เขามีลูกน้องยี่สิบคน แต่ละคนล้วนเป็นปีศาจร้าย หลังจากปล้นฆ่าแล้วพวกเขายังคว้านหัวใจของคนในกองคาราวานมาย่างไฟกินด้วย
และก็มีเรื่องเล่าอีกอย่างหนึ่งว่าเขาเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นคัง ราชาคนก่อนเห็นว่าเขาเกิดมาก็สามารถพูดได้ เกรงว่าเขาจะเป็นปีศาจ จึงจับเขาโยนเข้าไปในภูเขาปล่อยให้สัตว์ป่ากิน คิดไม่ถึงว่าสัตว์ร้ายไม่เพียงแต่ไม่กินเขา ทั้งยังให้นมเขาอีก เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็โยนพ่อของเขาเข้าไปในภูเขาให้สัตว์ป่ากิน จากนั้นให้น้องชายของขึ้นเป็นราชาองค์ใหม่ ที่จริงแล้วเขาคือผู้กุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นคัง ข้าน้อยก็รู้เพียงเท่านี้”
อย่างน้อยอวิ๋นเยี่ยก็รู้เรื่องเรื่องหนึ่งจากเรื่องเล่าไร้สาระนี้ว่า เยี่ยถัวเป็นคนที่ไม่มีความชั่วใดที่ไม่ทำและเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง มิฉะนั้นเขาคงจะไม่สามารถเป็นหัวหน้าโจรปล้นม้าได้และเป็นไท่ซั่งหวงของแคว้นคังไม่ได้ ทั้งยังเป็นคนประเภทที่กุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ในมืออีกด้วย ฐานะทั้งสองนี้ล้วนแล้วแต่ต้องการกำลังสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่แข็งแกร่งมาก
โชคดีที่เขาใกล้จะตายแล้ว ครั้งสุดท้ายที่อวิ๋นเยี่ยพบเยี่ยถัว เงาแห่งความตายได้ปกคลุมเขานานแล้ว ไม่ต้องมีใครลงมือเขาก็จะฆ่าตัวเอง เมื่อคิดว่าเขากินยาลูกกลอนพิษ อวิ๋นเยี่ยก็ขนลุกซู่ขึ้นทั้งแผ่นหลัง
กงซูเจี่ยกำลังปรับแต่งรถหน้าไม้จึงไม่ได้เข้าร่วมในการสนทนาของอวิ๋นเยี่ย ตั้งแต่ที่อวิ๋นเยี่ยพูดถึงเยี่ยถัวเขาก็ไม่พูดอะไรเลย เขาจะต้องรู้มากกว่านี้แน่ อวิ๋นเยี่ยแอบคาดเดาอยู่ในใจ
กองกำลังทหารกำลังวุ่นวายกันอยู่บนทุ่งหญ้าเป็นเวลาหลายวัน แน่นอนว่าต้องพักผ่อนให้เต็มที่สักหน่อย เท้าของเฉิงฉู่มั่วถูกความหนาวจนบาดเจ็บ ซุนซือเหมี่ยวใช้ยาน้ำทานิ้วเท้าสีดำหลายๆ นิ้วอย่างระมัดระวัง ใช้เข็มเงินเขี่ยผิวหนังด้านบนขึ้น น้ำหนองสีเหลืองก็ไหลออกมา เขาถึงกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารองเท้าของเขาขาดเป็นรูใหญ่ จนกระทั่งล้างเท้าเพื่อจะเข้านอนในตอนกลางคืน จึงพบว่านิ้วเท้าทั้งสามนั้นกลายเป็นสีดำ เมื่อเขาเห็นอวิ๋นเยี่ยค่อนข้างเศร้าจึงพูดว่า “ไม่เป็นอะไรมาก นักพรตซุนบอกว่าพักรักษาประมาณสิบกว่าวันถึงครึ่งเดือนก็จะหายเป็นปกติ อย่างมากที่สุดก็เล็บหลุดหมด ตอนนี้ชาๆ ไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย”
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้พูดอะไร เหล่าซุนก็หัวเราะฮ่าๆ และพูดว่า “ตอนนี้ไม่เจ็บ แต่เมื่อตกกลางคืนมันจะคันปางตายเหมือนมีมดหลายร้อยตัวกัดเนื้อของเจ้าเลย ลองคิดถึงสภาพแล้ว ข้ายังกลัวเลย”
เฉิงฉู่มั่วไม่กลัวความเจ็บปวด แต่เขากลัวอาการคันยุบยิบ ร่างกายที่แข็งดุจเหล็กเมื่อถูกจับช่วงซี่โครงเขาจะไม่กล้าขัดขืน เพราะกลัวว่าคนอื่นจะจั๊กจี้เขา หากเขาถูกจั๊กจี้จะน้ำมูกน้ำตาไหลร่างอ่อนยวบหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยว
เมื่อได้ยินซุนซือเหมี่ยวพูดเช่นนี้ สีหน้าเฉิงฉู่มั่วก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จับมืออวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย ต้องการให้เขาคิดหาวิธีที่ทำให้ไม่คัน
หญิงเลี้ยงแกะน่ารื่อมู่ได้ฟังจากองครักษ์ก็วิ่งออกไปเก็บมูลม้าจำนวนมากกลับมาให้เฉิงฉู่มั่วถูเท้า
จึงถูกซุนซือเหมี่ยวด่าแล้วไล่ออกไป ให้เฉิงฉู่มั่วอดทนไว้ บอกว่าไม่มีวิธีที่ดีในการหยุดอาการคัน
แล้วก็เป็นจริงดังที่เหล่าซุนบอก ยังไม่ถึงกลางดึก เท้าของเฉิงฉู่มั่วก็คันจนสุดจะทน เขานอนตบผ้าห่มตะโกนเสียงดังอยู่บนเตียง แต่เขาไม่สามารถงอขอขาขึ้นเกาได้ ซุนซือเหมี่ยวมัดเขาไว้บนเตียงไม้ ขยับไม่ได้แล้ว
เขาสาบานอย่างแรงกล้าว่าจะให้องครักษ์ช่วยเขาตัดนิ้วเท้าทั้งสามนั้นทิ้ง เขาไม่เอาแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ใช้น้ำเกลือถูบริเวณบาดแผลให้เขาเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้ผลดี เฉิงฉู่มั่วไม่ร้องตะโกนอีก เพียงชั่วครู่ก็นอนหลับไป