เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 32
การทำสงครามเป็นพฤติกรรมการบังคับให้ศัตรูทำตามวัตถุประสงค์ของพวกเราที่ต้องใช้ความรุนแรงประเภทหนึ่ง—คาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ์[1] อวิ๋นเยี่ยรู้จักคำพูดประโยคนี้มาตั้งนานแล้ว ทั้งยังเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งเข้าใกล้หลี่จิ้ง ศพของชาวเผ่าทูเจวี๋ยในพงหญ้ายิ่งมากขึ้น พวกเขาโดยมากจะสวมแต่เสื้อหนังแกะที่ขาดวิ่นและนอนอย่างโดดเดี่ยวหรือนอนกองรวมกันเป็นกลุ่มอยู่ตรงนั้น หิมะไม่ได้กลบศพของพวกเขา เพียงแต่สวมเสื้อคลุมด้านนอกที่เงาระยิบระยับให้พวกเขาอีกชั้นหนึ่ง
ทหารเสริมในกองกำลังยิ่งเกิดความดีใจเพิ่มมากขึ้น ขอเพียงแค่เห็นศพใหม่เพิ่มขึ้นหนึ่งศพก็จะหยุดพักเพื่อถกเถียงกันว่าเขาถูกฆ่าตายอย่างไร ดาบนี้ใช้กำลังมากเพียงใด รอยหอกนี้ถูกแทงเข้าจากมุมใด อ๊การฆ่าเช่นนี้ค่อนข้างเดายากเสียหน่อยแล้ว ศีรษะถูกระเบิดออกเพราะถูกทุบจนเละใช่ไหม จะต้องเป็นการกระทำของทหารที่โหดมาก พละกำลังนี้ ความแม่นยำนี้ พวกข้าเหล่าพลทหารคงได้แต่มองยากที่จะทำได้
ท่าทางของน่ารื่อมู่ดูแปลกๆ เมื่อเห็นศพหนึ่งศพก็วิ่งเข้าไปแล้วก็พูดภาษาต่างด้าวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ใช้ถ่านไม้วาดเส้นดำๆ หนึ่งเส้นไว้บนใบหน้าเล็กๆ ของตัวเอง ไม่ถึงครึ่งวัน ใบหน้าเล็กๆ ของนางก็กลายเป็นสีดำเขลอะไปทั้งหน้า ซากศพนั้นมากมายก่ายกองจริงๆ อวิ๋นเยี่ยคิดว่า แม้นางจะวาดรอยดำทั่วทั้งร่างจนกลายเป็นสาวแอฟริกา ก็ไม่สามารถแสดงออกถึงความทุกข์โศกของนางได้หมด
ชาวเผ่าทูเจวี๋ยมีประเพณีที่ว่าจะต้องใช้มีดกรีดที่หน้าของตนเองเพื่อเป็นการไว้ทุกข์ให้ผู้ตาย น่ารื่อมู่เพียงใช้ถ่านไม้ก็แสดงให้เห็นว่ามีวิวัฒนาการขึ้นมากแล้ว หรือบางทีอาจเพราะการตายของชาวเผ่าทูเจวี๋ยเหล่านี้ยังไม่ได้ทำให้นางสะเทือนใจถึงขั้นรุนแรง เพียงแต่ถือโอกาสแสดงความเสียใจด้วยเท่านั้นเอง
จนกระทั่งถึงมื้ออาหารค่ำ น่ารื่อมู่ก็ยังคงไม่ได้กลับมารื่นเริงเหมือนเช่นเคย ปกติแล้วเมื่ออาหารค่ำปรุงเสร็จ น่ารื่อมู่ก็จะเหมือนลูกสุนัขที่คอยไปเดินวนเวียนอยู่รอบๆ หม้อ ในมือก็ถือชามข้ามใบใหญ่ๆ รออย่างใจจดจ่อให้พ่อครัวตักอาหารรสเลิศให้นางให้เต็มชาม
แต่วันนี้กลับไม่เป็น นางนั่งคุดคู้ร้องไห้หลบอยู่ในมุมที่มืดมิดที่สุด พ่อครัวอ้วนยกชามข้าวพูนๆ มาให้นาง ด้านบนยังราดด้วยน้ำแกงเนื้อที่น่ารื่อมู่ชอบกินที่สุดด้วย มีหางแกะที่นุ่มๆ มันๆ กองอยู่ด้านบนสุด หากเป็นปกตินางจะต้องดีใจจนเรียกพี่ชายพ่อครัวอ้วนแล้ว
เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ของน่ารื่อมู่ที่กำลังร้องไห้หน้าบวม พ่อครัวอ้วนก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความเศร้า กร่นด่าโลกแห่งการฆ่านี้ จากนั้นก็วางชามข้าวไว้ข้างๆ น่ารื่อมู่แล้วจากไป น่ารื่อมู่กอดชามข้าวไว้แล้วใช้ช้อนตักข้าวคำโตๆ กินไปพลางน้ำตาไหลรินไปพลาง…
อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่า ถ้าต้าถังต้องการพัฒนาอย่างมั่นคง ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีสภาพแวดล้อมนอกด่านที่ปลอดภัย ทุกวันนี้ทุกคนที่รบราฆ่าฟันกันอยู่ภายนอกล้วนแล้วแต่เป็นชายชาวฮั่นที่เป็นคนดี น่ารื่อมู่นั้นเห็นแต่เฉพาะศพของชาวเผ่าทูเจวี๋ย ไม่เคยเห็นธงขาวที่โบกสะบัดอยู่บนสุสานของชาวฮั่น คนที่นอนอยู่ในหลุมศพอันหนาวเหน็บก็คือคนที่เฝ้าคิดถึงเช่นกันกระมัง
การมาทุ่งหญ้าครั้งนี้ ถ้าจะกล่าวว่าอวิ๋นเยี่ยมาเพื่อออกศึกนั้น ควรจะกล่าวว่ามาเพื่อพิสูจน์ความจริงในประวัติศาสตร์เสียมากกว่า ในยุคสมัยที่รุ่งโรจน์นี้ ม้าที่งามสง่าที่ควบอย่างคึกคะนอง เหล่าทหารที่แข็งแกร่งอาจปลุกความตื่นเต้นเร้าใจที่หายไปนานของเขาให้ตื่นขึ้นได้
ผู้คนไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากความรู้สึก ไม่มีเป้าหมาย มีเพียงการทุ่มเทความสนใจทั้งหมดกับเฉพาะสิ่งที่พวกเขาต้องการทำจึงจะลืมความเจ็บปวดในใจได้ ตอนนี้น่ารื่อมู่ต้องการเพียงกำจัดชามข้าวเท่านั้น อวิ๋นเยี่ยนั้นหวังว่ากองทัพของต้าถังจะสามารถมุ่งหน้าต่อไป และสู้สุดกำลังกำจัดขวากหนามให้สิ้น
จะว่าไปก็เป็นเรื่องน่าขำ ในสถานการณ์ที่ทุกคนมีคุณสมบัติเท่าเทียมกัน ข้าวหนึ่งชามและความกล้าหาญทหารต้าถังนั้นเทียบเท่ากัน
เหอเซ่านำเหล่าทหารเสริมทำตัวเหมือนหมาป่ากินเนื้อเน่าบนทุ่งหญ้า พวกเขาเก็บรวบรวมม้าที่ถูกทับตายทั้งหมดและตัดเฉพาะสี่ขาของม้า ส่วนอื่นๆ ก็โยนทิ้งไว้บนทุ่งหญ้าที่รกร้างปล่อยให้สัตว์ป่ากลืนกินตามใจชอบ
บนรถลากเลื่อนมีขาม้ากองไว้เป็นเนินสูงซึ่งทั้งหมดถูกตัดออกมาโดยการใช้เลื่อย เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นฉากนี้แล้ว มีความรู้สึกแปลกๆ อย่างหนึ่งที่พูดไม่ออกจริงๆ ค่อนข้างน่าสังเวช ทั้งรู้สึกน่าเศร้า ทั้งยังน่าขยะแขยงอีกด้วย
ไม่สามารถตำหนิเหอเซ่าได้ นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยบอกเหอเซ่าเองเมื่อตอนก่อนออกเดินทาง สิ่งที่สามารถใช้ได้ก็ให้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดก็คือวิธีการที่ใช้กันเป็นประจำในยุคปัจจุบัน หมูหนึ่งตัวสามารถใช้ประโยชน์จากขนหมูไปจนถึงอุจจาระ ไม่ว่าส่วนไหนของร่างกายก็มีค่าในการนำไปใช้ ล้วนแล้วแต่สร้างผลกำไรได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ได้คำนึงถึงความเต็มใจของหมูเท่านั้นเอง ถ้าหากทหารในกองทัพต้าถังกินคน อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าเหอเซ่าจะไม่ลังเลที่จะเลื่อยขาของศพเหล่านั้นแล้วนำมาทำเป็นไส้กรอกแสนอร่อย
ตั้งแต่นั้นมา อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยกินไส้กรอกที่เหอเซ่าทำอีกเลย ถึงแม้ว่ามันจะอร่อยไร้ที่เปรียบก็ตามที
สวี่จิ้งจงตื่นขึ้นจากการหลับใหลและไม่พูดอะไรเลยเป็นเวลาสองวันแล้ว ในวันที่สาม เขาให้คนรับใช้ชราเชิญอวิ๋นเยี่ยมาหาเขา เขามีอะไรอยากจะบอก
“อวิ๋นโหว ข้าคิดเสมอว่าคำพูดที่พูดในท้องพระโรงมีแต่คำโกหก จึงไม่เคยคิดใส่ใจ เพียงแค่ค่อนข้างรู้สึกน่าขำ คิดว่าขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นทั้งราชสำนักล้วนแล้วแต่เป็นพวกโง่เขลา คำกล่าวเกี่ยวกับวิถีแห่งเซียนเป็นเพียงสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ กลับยังมีคนต้องการไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงจริงๆ และผลของการพิสูจน์ทำให้ข้าประหลาดใจ เพียงแค่แอบมองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องประสบอุทกภัยและอัคคีภัย อันตรายต่างๆ นานา วีรบุรุษดังเช่นเยี่ยถัวคนนี้ก็ถูกทรมานจนเกือบเอาชีวิตไปโยนทิ้ง ตอนนี้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น อวิ๋นโหว ได้โปรดเห็นแก่ที่เราเป็นพวกเดียวกัน บอกความจริงกับข้าด้วย โลกนี้มีเทพเจ้าจริงๆ หรือ” ในฤดูหนาวเดียวป่วยหนักติดต่อกันสองครั้ง ทำให้สวี่จิ้งจงดูแก่ชราขึ้นมาก สองวันนี้ก็ครุ่นคิดอย่างหนัก จรผมสองข้างนั้นมีผมสีขาวแซมขึ้นเล็กน้อย
“ไม่มีพระเจ้าในโลกนี้ ประสบการณ์แปลกประหลาดของข้ากล่าวได้ว่าใต้หล้านี้พบได้น้อยมาก ข้าก็ไม่เคยเห็นเทพเซียน สระเหยาฉือเป็นเพียงทะเลสาบแห่งหนึ่งเท่านั้น เยี่ยถัวเป็นเพียงผู้ที่โชคร้าย ไม่มีอะไรทำถึงได้ไปสระสวรรค์อะไรกันในช่วงฤดูหนาว ถ้าหากไปในช่วงฤดูร้อนรับประกันว่าจะไม่มีเรื่องโชคร้ายเช่นนี้แน่นอน โจวมู่อ๋องนั่งรถม้าแปดตัวลากไปพบกับเจ้าแม่ซีหวังหมู่ก็เพียงเพื่อความคิดสกปรกที่เกิดขึ้นชั่วครู่เท่านั้น แม่มดพบเซียงอ๋องก็เป็นเพียงฝันเปียกเท่านั้น เจ้ายังไม่เคยฝันประเภทนี้หรือว่าข้าไม่เคยฝันเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่มันเกิดขึ้นกับบุคคลที่มีสถานะพิเศษ สถานที่ที่พิเศษ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นตำนาน ถ้าหากเจ้าอยู่ที่เขื่อนซันเสียต้าป้า[2]แล้วฝันเปียก หากไปบอกผู้อื่นรังแต่จะทำให้กลายเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับฉู่เซียงอ่องและโจวมู่อ๋องนั้นแตกต่างกัน พวกเขาเป็นกษัตริย์ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างเชื่ออย่างหน้ามืดตามัว เชื่อว่าทุกสิ่งที่กษัตริย์พบในความฝันนั้นเป็นเรื่องจริง”
“พระเจ้ามีที่มาเช่นนี้หรือ เพียงแค่การกระทำเล็กๆ โดยไม่ได้ตั้งใจของบุคคลสำคัญ จะถูกนำมาขยายความจนถึงขั้นนี้เชียวหรือ” สวี่จิ้งจงรู้สึกค่อนข้างผิดหวังและค่อนข้างโล่งใจ
“ชาวต้าถังนับล้านคนของเรา เจ้าสามารถหาตัวอย่างที่เคยเห็นเทพเซียนในสภาพที่ยังมีสติดีพร้อมได้สักคนหรือไม่ เหลาสวี่ คราวนี้กลับไป หากเจ้าไม่ต้องการกลับไปที่ราชสำนัก ข้าจะถวายฎีกาขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจ้าเป็นคณะกรรมการอยู่ในสำนักศึกษา” อวิ๋นเยี่ยพูดสิ่งที่เขาตัดสินใจหลังพิจารณาแล้วออกมา
สวี่จิ้งจงลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียงเล็กๆ มองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “อวิ๋นโหว ถ้าหากข้าจำไม่ผิดละก็ เจ้าคัดค้านเป็นอย่างยิ่งกับการที่จะให้ข้าอยู่ในสำนักศึกษา ทำไมตอนนี้ถึงได้ทุ่มเทแนะนำให้ข้าได้อยู่ต่อ ทั้งยังให้เป็นคณะกรรมการด้วย นี่ควรจะเป็นตำแหน่งของเจ้า อวิ๋นโหว บอกข้าทีว่าเพราะเหตุใด”
การสนทนากันอย่างชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้อาจเป็นไปได้ว่า ตั้งแต่สวี่จิ้งจงเข้ารับราชการมาไม่เคยใช้มาก่อนเลย
“เหลาสวี่ ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร ข้าไม่รู้ ข้าเพียงแต่ต้องการพูดความคิดของตัวเองเท่านั้น สำนักศึกษาเป็นสถานที่ในอุดมคติของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้มันได้รับอันตรายแม้เพียงเล็กน้อย สาเหตุที่ข้าสนใจเจ้าก็คือความสามารถของเข้า ตอนนี้สำนักศึกษากำลังอยู่ในช่วงระหว่างการเริ่มดำเนินการ มีเรื่องต่างๆ นานาที่ต้องให้รับผิดชอบ ข้าเชื่อว่าในภายหน้ามันจะต้องรุ่งโรจน์อีกนับพันปี สวี่จิ้งจง เจ้าเป็นผู้ที่มีความสามารถ มีความทะเยอทะยานและมีวิธีการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับสำนักศึกษาในขณะนี้ ถ้าหากบุคลากรของสำนักศึกษามีแต่คนเถรตรงเช่นอาจารย์หลี่กัง มันจะไม่ใช่วาสนาของสำนักศึกษาแต่เป็นหายนะ” อวิ๋นเยี่ยพูดตามความจริง คราวนี้ไม่มีการปกปิดต่อสวี่จิ้งจงแม้แต่น้อย เปิดเผยทุกอย่าง
เขารู้สึกอึกอักเขินอายเล็กน้อย แน่นอนล่ะ ไม่ว่าเป็นใคร หากถูกผู้อื่นเรียกชื่อพร้อมนามสกุลแล้วบอกว่าเป็นคนเลวต่ำช้า อารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้าย่อมยอดเยี่ยมเกินบรรยาย หากเป็นผู้ที่ใจคอคับแคบอาจจะแอบไปทักทายคนในครอบครัวเจ้าลับหลัง สวี่จิ้งจงเพียงแต่อึกอักเขินอายเล็กน้อย ถือได้ว่าเป็นบุคลากรชั้นเลิศของพวกต่ำช้าจริงๆ ซึ่งนี่เป็นบุคคลากรที่สำนักศึกษาต้องการอย่างเร่งด่วน ซึ่งจะต้องพึ่งพาคนเช่นนี้เพื่อคานอำนาจสถานการณ์ความเป็นกลางของสำนักศึกษา
“อย่าคิดว่าข้ากำลังด่าเจ้า ข้าเองก็เป็นคนเช่นนี้ ดังนั้นพวกเราจึงเป็นคนประเภทเดียวกัน เจ้าเคยได้ยินแคว้นจวินจื่อหรือไม่”
สวี่จิ้งจิงคิดจนสมองแตกก็คิดเรื่องเช่นนี้ไม่ออก จึงได้แต่ส่ายศีรษะ เขาไม่ชอบการคิดคำนวณที่เปลี่ยนเรื่องอย่างฉับพลันของอวิ๋นเยี่ยเอาเสียมากๆ
“เล่ากันว่าในสมัยโบราณ มีประเทศหนึ่งเรียกว่าแคว้นจวินจื่อ แคว้นจวินจื่อคือประเทศของ ‘ชาวประชาที่มีวัฒนธรรมและความสุข’ ที่มี ‘การผ่อนปรนไม่แก่งแย่ง’ ประตูเมืองเขียนไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘การคิดดีทำดีเป็นขุมทรัพย์ ‘ ‘ผู้นำแห่งแคว้นนั้นได้ประกาศอย่างชัดเจน หากประชาชนส่งทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าให้แก่รัฐ นอกจากจะทำลายทิ้งแล้วยังจะต้องโดนโทษทัณฑ์ด้วย “เสนาบดีของที่นี่นั้น ‘ถ่อมตนอัธยาศัยดี’ นิสัยเป็นกันเองและ ‘ไม่มีนิสัยวางอำนาจของเหล่าขุนนาง’ ทำให้ผู้คนรู้สึกน่าเคารพและน่านับถือ ชาวบ้านของแคว้นนี้ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ‘ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียม ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน ประพฤติตนและพูดจาทั้งสุภาพและมีมารยาท’ ‘ชาวนายอมสละที่นาได้ คนเดินเท้ายอมหลีกทางได้’ ผู้ขายพยายามหากำไรน้อย ขายสินค้าชั้นดี ผู้ซื้อพยายามจ่ายราคาสูง ซื้อเพียงสินค้าธรรมดาทั่วไป ต่างผ่อนปรนให้กันและกัน”
ดวงตาของสวี่จิ้งจงม้วนเป็นขดยากันยุงแล้ว เพียงแต่สุดท้ายแล้วก็เป็นจอมชั่วร้ายแห่งยุค จึงรีบถากถางกลับทันที “ความสามารถในการแต่งเรื่องไปตามน้ำของอวิ๋นโหว ข้าเหลาสวี่ขอชื่นชมจากใจจริงๆ เพียงคำเดียวที่ข้องเกี่ยวกับสมัยโบราณทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ เพียงแต่มีช่องโหว่เล็กน้อยเท่านั้น ประโยคที่ว่า “การคิดดีทำดีเป็นขุมทรัพย์” เป็นประโยคที่อยู่ในบทกวี “หลี่จี้-ต้าเสวีย” ทั้งประโยคความว่า แคว้นฉู่หาได้มีสมบัติล้ำค่าไม่ มีเพียงแต่การคิดดีทำดีเป็นขุมทรัพย์ ” ท่านบอกว่าแคว้นจวินจื่อโบราณจะต้องเกิดอยู่หลังประโยคนี้ เหตุการณ์ที่โดดเด่นของสมัยชุนชิวจั้นกั๋วมีมากมายดุจขนวัว ข้าเหลาสวี่ก็ถือเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ คราวหน้าหากท่านอยากหลอกเหลาสวี่ ก็ขอให้ท่านใช้ความรู้ที่ศึกษาอย่างแท้จริงออกมา เช่นนี้แล้วข้าจะได้ยินดีให้หลอกด้วยความเต็มใจ”
ทันทีที่คำพูดจบลง ทั้งคู่ก็กุมท้องหัวเราะลั่น
“การเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังไม่ได้มีไว้เพื่อให้เจ้าจับผิด แต่เพื่อบอกเจ้าว่า ประเทศในอุดมคติเช่นนี้ นอกจากการล่มสลายแล้วจะไม่มีเส้นทางที่สองที่จะให้เดิน เจ้าเห็นด้วยไหม” อวิ๋นเยี่ยรอให้สวี่จิ้งจงหัวเราะจนพอแล้ว จึงค่อยถามเขาต่อ
สีหน้าของสวี่จิ้งจงนั้นกล่าวได้ว่ามีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม เขาไม่อยากจะขีดเส้นให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนชั่วเลย แต่เขาก็รู้ว่าโดยธาตุแท้ของเขาก็ไม่สามารถเป็นสุภาพบุรุษได้จริงๆ จึงได้แต่ยอมรับโดยปริยาย อย่างไรเสียข้างๆ ก็ยังมีโหวเหยียอยู่เป็นจำพวกเดียวกัน เรื่องที่ยอมรับเองว่าเป็นคนต่ำช้า แม้ฆ่าให้ตายก็ห้ามให้มีบุคคลที่สามรู้อย่างเด็ดขาด
“ถูกต้อง คำพูดนี้มีเหตุผล หากแคว้นจวินจื่อมีศัตรูนอกด่าน การถูกทำลายนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอย่างที่สุด คำนำของตำราพิชัยยุทธ์ก็ได้กล่าวไว้ การใช้ทหารสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงร้อยแปด จู่โจมโดยคาดไม่ถึง หากต้องการชนะการต่อสู้ก็ไม่สามารถเป็นสุภาพบุรุษได้ การทำศึกอย่างเมตตาธรรมของซ่งเซียงกงก็ได้พิสูจน์คำกล่าวนี้ให้เห็นแล้ว” สวี่จิ้งจงไม่ได้กล่าวอ้างเรื่อยเปื่อย ตัวอย่างที่หยิบยกมานั้นมีเอกสารอ้างอิงให้สืบค้นได้ ซึ่งแตกต่างจากตัวอย่างของอวิ๋นเยี่ย ไม่มีทางที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้เลย
“สำหรับประเด็นนี้ พวกเราได้เห็นพ้องต้องกันแล้ว ท่านยังคิดว่าสำนักศึกษาไม่ต้องการคนที่มีประสบการณ์ทางโลกสูงเพื่อช่วยบริหารควบคุมหรือ” อวิ๋นเยี่ยยิ้มตาหยีมองสวี่จิ้งจง
สวี่จิ้งจงรู้สึกเพียงว่าวิญญาณกำลังจะออกจากร่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย เขารู้สึกสยองพองเกล้าอย่างที่สุด
——
[1] คาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ์ เป็นพลเอกชาวเยอรมันและนักทฤษฎีทางทหารชาวเยอรมัน (ปรัสเซีย) ผู้เน้นย้ำแง่มุมทาง “จิตใจ” และการเมืองของสงคราม
[2] เขื่อนซันเสียต้าป้า หรือ เขื่อนสามหุบเขา หรือ เขื่อนสามผา เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของประเทศจีน ลักษณะของเขื่อนเป็นแบบเขื่อนคอนกรีตถ่วงน้ำหนักกั้นขวางแม่น้ำฉางเจียงหรือแม่น้ำแยงซี