เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 33 ตงฟางซั่ว
เพิ่งจะได้ก้าวพ้นสนามรบที่วุ่นวาย ก็ต้องเผชิญหน้ากับทหารหน่วยตรวจสอบต้าถังสิบหกคน เมื่อเห็นอักษรถังบนธงใหญ่ที่โบกสะบัด ทหารม้าสิบหกคนหยุดพักอยู่บนยอดเนินหม่าปัว หนึ่งในนั้นขี่ม้าลงมาจากเนินเขามาหยุดอยู่ด้านหน้าของกองกำลัง จึงตะโกนถามเสียงดังถึงฐานะและจุดประสงค์ที่มา แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง วางมือไว้บนด้ามดาบราวกับพร้อมจะชักออกจากฝักเพื่อทำศึกได้ทุกเวลา
เหล่าจวงยืนอยู่ข้างหน้าม้า ปลายจมูกจะชี้ขึ้นฟ้าแล้ว ขุนนางของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายแต่ไหนแต่ไรมาก็ดูถูกพวกไม่ได้ความของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายขวาอยู่แล้ว รังเกียจว่าบนตัวพวกเขามีกลิ่นอายแห่งความเป็นหญิงอยู่ ทุกครั้งที่ฝึกซ้อมด้วยกัน ก็จะพ่ายแพ้ให้กับกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้าย ทั้งยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีก มีพฤติกรรมที่เล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ นี่เป็นเพราะอยู่ที่ชายแดน ถ้าพบกันที่ฉางอันก็อาจจะเกิดการตะลุมบอนกันขึ้นอีก
ไม่ต้องมองแล้ว เป็นคนรู้จักมักคุ้น เหล่าจวงรู้จักพวกเขา พวกเขาก็รู้จักเหล่าจวง ทะเลาะกันก็หลายครั้งแล้ว เมื่อครู่เหล่าจวงเพียงแค่รังเกียจว่าพวกเขาทำตัวให้เรื่องมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ใบหน้าของเขาคนนี้ก็เป็นหลักฐานที่ยังมีชีวิตอยู่จากการฝ่าศึกสงคราม ยังจะต้องการหนังสือคำสั่งอะไรอีก คิดไม่ถึงว่าทหารม้าคนนั้นจะไม่ไว้หน้า ยังคงปั้นสีหน้าใส่ต้องการให้เหล่าจวงนำหนังสือคำสั่งทางทหารออกมา จึงจะยอมปล่อยพวกเขาเดินทางต่อไป
เหล่าจวงที่แต่ไรมาไม่เคยหยาบคายโกรธจนหน้าดำหน้าแดง พูดกับทหารม้าว่า “เหล่าสิง พวกเราถือได้ว่ามีมิตรภาพเพราะการต่อสู้กัน แต่ตอนนี้ยังไม่ทันถึงค่ายใหญ่ หนังสือคำสั่งจะถูกส่งมอบให้กับผู้บัญชาการใหญ่อย่างแน่นอน เจ้าประเมินตัวเองหน่อยจะดีกว่า ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะอ่านหรือไม่ ให้ตายสิ จะว่าไปเจ้าอ่านหนังสือออกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมข้าจึงไม่รู้”
เหล่าสิงก็หน้าแดงขึ้นในทันใด ตะคอกใส่เหล่าจวงว่า “จวงซันถิง ให้ตายสิ ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คนของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายแล้ว แค่ติดตามเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง ก็กล้ามาวางอำนาจบาตรใหญ่ในถิ่นของข้ากองทัพอู่เว่ยฝ่ายขวาแล้วหรือ”
ทันทีที่เสียงหยุดลง ขาของม้าใหญ่ตัวหนึ่งก็กระแทกเข้าที่ใบหน้าของทหารม้า ถีบจนเขาตกลงมาจากหลังม้า เฉิงฉู่มั่วกระโดดจากรถลากเลื่อนแล้วปรบมือ จวงซันถิงกดทหารม้าลงแล้วกระหน่ำต่อยตั้งนานแล้ว ทหารม้าที่อยู่บนเนินเขาส่งเสียงร้องแล้วมุ่งหน้าลงมา เหล่าทหารเสริมก็หยิบอาวุธออกมา ทั้งสองฝ่ายจึงปะทะกันขึ้น
“ใครคือผู้นำของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายขวา” อวิ๋นเยี่ยตะโกนห้ามการลงมือของทหารเสริม เงยหน้าขึ้นถามผู้ที่เป็นหัวหน้ากอง
เมื่อหัวหน้ากองเห็นป้ายคาดเอวของอวิ๋นเยี่ยที่แขวนไว้ที่เอว ดูจากลวดลายด้านบนแล้วก็รู้ว่าท่านนี้เป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่ง จึงรีบกระโดดจากม้าอย่างรวดเร็ว ประสานมือทำการกล่าวคารวะว่า “เรียนท่านแม่ทัพ ตอนนี้กองทัพอู่เว่ยฝ่ายขวาขึ้นตรงกับผู้บัญชาการใหญ่เซียงเต้า”
“เจ้าไปบอกผู้บัญชาการใหญ่ว่าหลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ยรับคำสั่งจากท่านผู้บัญชาการใหญ่ให้มาช่วยกองทัพหน้า ขออนุญาตกลับค่าย” หลังจากพูดจบก็กลับขึ้นไปนอนต่อบนรถลากเลื่อน
หัวหน้ากองหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เหล่าสิงที่เพิ่งลุกขึ้นมาหน้าซีดยิ่งกว่า นิสัยเหล่าทหารมักจะป่าเถื่อนจนเคยชิน ไม่กล้าพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระกับหัวหน้า แต่ไม่เคยเคารพต่อเหล่าโหวเหยีย กงเหยียที่อยู่ห่างจากพวกเขาราวฟ้ากับเหวแม้แต่น้อย เมื่ออารมณ์ขึ้นก็พูดอะไรเหลวไหลไม่ยั้งคิด คำหยาบโลนต่างๆ ก็พูดกันจนเคยชิน ไม่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น หากไม่ได้ยินก็ย่อมไม่เป็นไร แต่หากให้ผู้บังคับบัญชาได้ยินเข้าอย่างชัดแจ้งก็ถือเป็นเรื่องใหญ่
อวิ๋นเยี่ยนั้นไม่ได้ใส่ใจเลย เฉิงฉู่มั่วก็เพียงแค่ฝากขาม้าเอาไว้ข้างหนึ่ง คำพูดที่ไม่น่าฟังมากกว่านี้พวกเขาก็เคยได้ยินมาแล้ว พวกเขาจึงไม่ถือสากับพวกทหารตัวกระจ้อยอย่างแน่นอน หนิวจิ้นต๋าถูกเรียกอย่างน่าเกลียดกว่านี้ก็ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไรพวกทหารตัวกระจ้อยแต่อย่างใด
“โหวเหยีย เมื่อครู่สิงต้าหนิวล่วงเกินโหวเหยียโดยไม่ได้ตั้งใจ หวังว่าโหวเหยียจะเมตตา” หัวหน้ากองคุกเข่าข้างหนึ่งร้องขอความเมตตาแทนพี่น้องของเขา
เฉิงฉู่มั่วหัวเราะฮ่าๆ แล้วกลับไปนอนต่อบนรถลากเลื่อน ไม่สนใจพวกทหารเหล่านี้ จะฆ่าหรือลงโทษก็ปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยไปตัดสินใจเอง
“วันหนึ่งๆ เอาแต่อยู่ในค่ายไม่ยอมฝึกฝีมือ ให้ตายสิ เอาแต่ฝึกฝีปาก ปากพล่อยๆ ที่ไม่มีอะไรจะกักเก็บไว้ได้ ไม่ว่าอะไรก็โพล่งออกมาจนหมด โชคดีที่ข้าเองก็เป็นคนที่อยู่ในกองทัพ มิฉะนั้นมีหรือที่เจ้าคนปากเสียคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่ ตบปากสิบครั้ง แรงๆ จะได้จำเอาไว้”
หัวหน้ากองดีใจมาก หมุนข้อศอกเป็นวงแล้วจึงฝากฝ่ามือไว้บนหน้าเหล่าสิง หลังจากตบปากเสร็จ หน้าของเหล่าสิงก็ดูไม่ได้แล้ว ยังวิ่งไปเก็บขาม้ามาวางไว้บนรถลากเลื่อนก่อน จึงจะควบม้ากลับไปที่ค่ายได้
หลี่จิ้งถือหนังสือคำสั่งโยกย้ายของอวิ๋นเยี่ยไว้ในมือ พลิกซ้ายพลิกขวา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองเคยออกหนังสือคำสั่งนี้ด้วยหรือ จำได้เพียงแค่ว่าเขาไล่ให้อวิ๋นเยี่ยกลับฉางอัน ให้เขามาช่วยรบที่แนวหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ทหารฝ่ายบันทึกเหตุการณ์ในกองทัพได้นำเอกสารที่เก็บไว้ออกมาเทียบทีละม้วน ในที่สุดก็พบบันทึกต้นฉบับดังกล่าวข้างต้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่าผู้บัญชาการใหญ่ได้ให้อวิ๋นเยี่ยเดินทางกลับฉางอัน ไม่ได้ให้มาช่วยทำศึกที่แนวหน้าอย่างแน่นอน หนังสือคำสั่งฉบับนี้เป็นของปลอม
หลี่จิ้งตกใจมาก หนังสือปลอมฉบับนี้ปลอมแปลงได้แนบเนียนหาที่ติไม่ได้ เป็นลายมือของเขาไม่มีผิดเพี้ยน ตราประทับของผู้บัญชาการสูงสุดลอกเลียนได้อย่างแนบเนียน เขารู้ว่าลายมือและตราประทับนั้นเป็นของจริง เพียงแต่นี่เป็นการเปลี่ยนลำดับของตัวอักษร เพิ่มอักษรอีกสองสามตัวและการตัดตัวอักษรทิ้งไปอีกหลายตัวเท่านั้นเอง
ในคืนก่อนที่จะเปิดศึก เกิดเรื่องประหลาดเช่นนี้ขึ้น หลี่จิ้งเป็นกังวลอย่างมาก เขาจึงรีบส่งหน่วยส่งสารไปตรวจสอบว่าหนังสือคำสั่งทุกฉบับที่แจกจ่ายให้กับแม่ทัพแต่ละคนได้ถูกแก้ไขหรือไม่ ในช่วงสามวันแม่ทัพแต่ละสถานที่ตอบกลับมาว่าคำสั่งถูกต้องไม่มีปัญหาใดๆ หลี่จิ้งจึงค่อยได้คลายกังวลลง พิจารณาถึงปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวิธีการส่งเอกสารทางทหารว่าจะส่งออกไปให้ปลอดภัยและแม่นยำได้อย่างไร เขารู้ดีว่าผู้ส่งสารที่ส่งจดหมายไปซั่วฟางอาจเสียชีวิตไปนานแล้ว มิฉะนั้นจะไม่เกิดเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้แน่ คำถามคือศัตรูเป็นใคร
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้บอกหลี่จิ้งถึงแหล่งที่มาของหนังสือคำสั่งนี้ สวี่จิ้งจงจึงยิ่งไม่มีเวลาว่างมาทำเช่นนี้ แม้ว่าซุนซือเหมี่ยวอยากจะบอกแต่กลับถูกอวิ๋นเยี่ยห้ามไว้ เขาบอกวิธีใหม่ในการถ่ายทอดความลับ ซึ่งก็ทำให้สวี่จิ้งจงและซุนซือเหมี่ยวตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
หลี่จิ้งกำลังวิเคราะห์ว่าจะเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ส่งสารได้อย่างไร การส่งองครักษ์จำนวนมากในคราวเดียวนั้นใช้ไม่ได้ ด้วยระยะทางที่ห่างไกล คนสิบคนกับคนร้อยคนนั้นแทบไม่แตกต่างอะไรกันเลย สารลับ จดหมายลับนั้นง่ายเกินไป ไม่สามารถส่งข้อความที่ซับซ้อนได้ อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ดี หลี่จิ้งพบว่าเขาไม่มีทางออกสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เรื่องนี้จะต้องทำการแก้ไขโดยด่วน หากคำสั่งของผู้บังคับบัญชาขัดแย้งกับความเห็นของเหล่าแม่ทัพ พวกเขาก็จะสงสัยความถูกต้องของจดหมายนี้ และถ้าหากในกองทัพเกิดความหวาดระแวงขึ้น ยังจะทำศึกอะไรกันอีก ถึงตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนปลอมแปลงหนังสือคำสั่ง จนบัดนี้ก็ยังสืบให้รู้แจ้งไม่ได้ บัดนี้ทหารหนึ่งแสนนายของข่านเจี๋ยลี่ได้ตั้งค่ายอยู่เบื้องหน้า หากในกองทัพยังเกิดความวุ่นวายขึ้นอีก เขาแทบจะไม่กล้าจินตนาการเลยว่าจะเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวเพียงไหน
ซุนซือเหมี่ยวมาขอเยี่ยมพบ พวกเขาเดิมก็เป็นสหายเก่าที่รู้จักกันมานานหลายปี เขาทนไม่ได้จริงๆ ที่จะให้หลี่จิ้งทุกข์ทรมาน ดังนั้นจึงมาพบเพื่อช่วยเขาแก้ปัญหา
“เหตุใดพี่ชายของข้าจึงได้เป็นทุกข์เช่นนี้” เมื่อเห็นหน้าสหายเก่าสีหน้าอ่อนล้า ซุนซือเหมี่ยวก็ทอดถอนใจรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังจะถาม
“เป็นเรื่องเล็กน้อยในกองทัพ ข้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ ตอนนี้อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะถวายรายงานต่อเบื้องบนก็ไม่ได้ จะตัดศีรษะข่านเจี๋ยลี่เพื่อปลอบใจประชาเบื้องล่างก็ไม่ได้ ช่างน่าละอายยิ่งนัก” เห็นสหายเก่าเอ่ยถามหลี่จิ้งก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด บอกกับซุนซือเหมี่ยวว่าตอนนี้ตนนั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าเพราะเหตุใดจึงลำบากใจ
“ที่จริงแล้วเหตุใดท่านผู้บัญชาการจึงได้วิตกกังวลข้าก็พอจะรู้อยู่บ้าง แม้ว่าข้าจะไม่สามารถช่วยแบ่งเบาแก้ปัญหาให้เจ้าได้ แต่ข้ารู้ว่าใครสามารถช่วยผู้บัญชาการแก้ปัญหาได้” ซุนซือเหมี่ยวกล่าวพลางหัวเราะฮ่าๆ ลูบเครายาวๆ ด้วยท่าทีของผู้สูงส่ง
หลี่จิงกระโดดยืนขึ้นและประสานมือคารวะ “หากท่านนักพรตสามารถแก้ไขความทุกข์ในใจข้าได้ หลี่จิ้งรู้สึกซาบซึ้งอย่างที่สุด เพียงแต่นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ทราบว่าบุคคลที่นักพรตจะแนะนำนั้นมีความน่าเชื่อมั่นเพียงใด” การได้รับคำตอบอย่างชัดแจ้งจากซุนซือเหมี่ยวเป็นสิ่งที่หลี่จิ้งจำเป็นต้องทำ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยของกองทัพ เขาจะพลาดพลั้งไม่ได้
“ไปหาอวิ๋นเยี่ยเถอะ เขารู้อยู่แล้วว่าหนังสือคำสั่งนี้เป็นของปลอม เขาตั้งใจเดินทางไกลนับพันลี้มาที่กองทัพเจ้า ได้ยินว่าเพียงเพื่อมาดูความองอาจห้าวหาญของเจ้าที่บัญชากองทัพนับพันนับหมื่นให้เป็นบุญตาเสียหน่อย และถือโอกาสหากำไรเล็กน้อยเท่านั้นเอง ที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดเขารู้โดยละเอียดและระหว่างทางก่อนที่จะมาพบเจ้า เข้าเคยได้พบกับโจรที่ปลอมแปลงเอกสารแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเขาคือใครกันแน่ ภายหลังจึงได้รู้ว่าตื่นตระหนกไปเอง” ซุนซือเหมี่ยวไม่เคยชินกับการพูดอ้อมค้อม จึงบอกเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้หลี่จิ้งฟังทั้งหมดโดยไม่ปิดบังอะไรเลย
หลี่จิ้งไม่ใช่เฉิงเหย่าจิน เหล่าเฉิงเชื่ออวิ๋นเยี่ยอย่างสนิทใจ แต่เมื่อมาถึงเขาก็โดนลดส่วนสัดลงไปหลายส่วน
“หนังสือคำสั่งนั้นข้าเองก็ไม่สามารถแยกแยะจริงปลอมได้ เข้ารู้ได้อย่างไร” หลี่จิ้งถามซุนซือเหมี่ยวเพื่อพิสูจน์ความจริง
ซุนซือเหมี่ยวหยิบแว่นขยายออกจากอกเสื้อแล้วมอบให้หลี่จิ้ง แล้วให้เขาลองอ่านทวนหนังสือคำสั่งฉบับนั้นอีกครั้ง
เมื่อมีวิธีการแยกแยะจริงปลอมแล้ว ความวิตกกังวลของหลี่จิ้งก็หายไปกว่าครึ่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา หลังจากเรียนรู้วิธีการใช้แว่นขยายเป็นแล้ว ก็เห็นร่องรอยการปลอมแปลงที่ชัดเจน แล้วจึงถอนหายใจยาวๆ
เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้ว ผู้ที่จะว่างท่าทีเป็นผู้อาวุโสมีเพียงเฉิงเหย่าจินและหนิวจิ้นต๋าเท่านั้น หลี่จิ้งรู้ถึงข้อนี้ดี เนื่องจากอวิ๋นเยี่ยไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เขาจึงได้แต่ต้อนรับอวิ๋นเยี่ยด้วยพิธีของเจ้าบ้านต้อนรับแขก อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้อยู่ดีไม่ว่าดีคิดหาเรื่อง เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทวงคืนที่เคยโดนหลี่จิ้งฝากรอยเท้าไว้ ศัตรูอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่เวลาให้เขาเล่นลูกไม้ตอนนี้
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ผู้ที่ทำการปลอมแปลงเอกสารเป็นกลุ่มโจรปล้นม้ากลุ่มหนึ่ง ผู้เป็นหัวหน้าชื่อว่าเยี่ยถัว เบื้องหลังมีกองกำลังที่ไม่เล็กกลุ่มหนึ่งคอยสนับสนุน แต่ข้ายังไม่รู้ว่ามันคือใคร เพียงแต่สามารถสรุปได้ว่าพวกเขาล้วนเป็นคนที่มีความสามารถสูงส่ง ห้ามประมาทเด็ดขาด ผู้เยาว์เกือบจะถูกปลิดชีพด้วยน้ำมือของพวกเขา ขอให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่โปรดระวังด้วย”
“เยี่ยถัวรึ มันเป็นเพียงพวกตัวกระจ้อยที่ไร้ชื่อเสียงในแคว้นคังเท่านั้นเอง ในเมื่อมันกล้าคิดจะหาเรื่องกับกองทัพของข้า ข้าจะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร! ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่กองทัพต้าถังเราต้องกังวลพวกโจรปล้นม้าตัวเล็กๆ รอให้ข้าจัดการปราบชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันออกให้ราบคาบก่อน ข้าจะดูว่าเจ้าโจรปล้นม้าคนนี้ไปกินดีหมีดีเสือมาหรืออย่างไร”
กองทัพทั้งสองเผชิญหน้ากัน หลี่จิ้งเคยกลัวใครที่ไหน แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงและเหล่าทหารกล้าที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือเขามีมากเท่ากองภูเขา เขามีคุณสมบัติอย่างเต็มที่ที่จะดูถูกผู้กล้าในใต้หล้า
“เขาเป็นเพียงแค่แมลงวันตัวเล็กๆ ตามความคิดของผู้เยาว์ เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามเดือน จึงไม่ต้องสนใจเขา ข้ามีวิธีการถ่ายทอดความลับในกองทัพที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพมาก ซึ่งดีกว่าสารลับหรือจดหมายลับอยู่มากนัก แม้แต่จดหมายรักระหว่างชายหญิงก็สามารถสื่อได้อย่างแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด”
เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับหลี่จิ้งให้มากขึ้น อวิ๋นเยี่ยตั้งใจพูดออกมาอย่างชัดเจนที่สุด ขวัญกำลังใจของแม่ทัพใหญ่มีแต่ต้องเพิ่มให้มากขึ้นเท่านั้นห้ามลดลงอย่างเด็ดขาด หากหลี่จิ้งสูญเสียความมั่นใจไป ทหารหนึ่งแสนคนของต้าถังก็ต้องได้เดินตามเขาเข้าสู่ประตูผีเป็นแน่
การที่เจียงไท่กงใช้เบ็ดตกปลาสร้างสารลับขึ้นมานั้นย่อมต้องมีความลึกลับซ่อนอยู่ในตัวของมัน วิธีการเข้าถึงกระบวนการในการแปลงข้อมูลของจดหมายลับ เป็นวิธีการที่คนในยุคปัจจุบันก็ยังนำมาปรับใช้ ใครกล้าที่จะดูถูกภูมิปัญญาของคนโบราณ
สีหน้าที่เคร่งเครียดของหลี่จิ้งเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว มองอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ภูมิปัญญาของเจ้าข้าไม่เคยดูถูกเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้น แม้แต่ฝ่าบาทเมื่อรับสั่งถึงเจ้าก็ชมไม่ขาดปาก เพียงแต่มันดูเจ้าเล่ห์เกินไปหน่อย ดังนั้นจึงได้ให้ทุกคนคอยระวังให้มากขึ้น เจ้าไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมข้าจึงพูดเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าฟัง ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าช่วยบรรเทาโรคของธิดาแส้แดงก็แล้วกัน เจ้านั้นสามารถเทียบได้กับตงฟางซั่วในรัชสมัยฮั่นอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่น ล้วนเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องหาคนเปรียบไม่ได้ แต่ก็น่าเสียดายที่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็เพราะตัวเอง เจ้านั้นเจ้าเล่ห์เกินไป จึงได้ถูกกำหนดให้ไม่ต้องทำอะไรมากมายในราชสำนัก เจ้านั้นฉลาดกว่าตงฟางซั่วหลายส่วน แต่ก็เพราะเจ้าไม่ละโมภโลภมากกับฐานะและอำนาจ มีใจคิดแค่ต้องการก่อตั้งสำนักศึกษาเพียงอย่างเดียว ใช้ความรู้ที่เจ้ามีเพื่อถ่ายทอดมอบความรู้ให้กับผู้อื่น ซึ่งก็ประจวบเหมาะเข้ากับสิ่งที่ทุกคนคาดหวังไว้ ดังนั้นเจ้าจึงเดินมาถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างราบรื่น ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถสร้างสำนักศึกษาที่แต่โบราณมาไม่เคยมีมาก่อนให้ได้จริงๆ”