เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 35 เซียวฮองเฮา
หลี่จิ้งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน ก้มศีรษะนั่งครุ่นคิด เขาไม่ได้รีบร้อนขอคำแนะนำจากอวิ๋นเยี่ยว่าจะเขียนสารลับได้อย่างไร แต่กำลังรู้สึกละอายใจเกี่ยวกับความใจแคบของเขา เขาเป็นสหายสนิทกับธิดาแส้แดงฉิวหราน สาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตาย ความคึกคะนองในวัยเยาว์ดูเหมือนจะห่างไกลจากเขาไปไกลเหลือเกิน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาหมดใจที่จะแสวงหาความก้าวหน้า วันนี้เขาถูกรุ่นหลังคนหนึ่งยกตัวอย่างขึ้นมาพูดกระแทกแดกดันเข้าให้ เขากลับพูดอะไรไม่ออก
เขาตั้งใจเตรียมจะนำประสบการณ์ทางทหารที่เผชิญมาครึ่งชีวิตเขียนออกมาเป็นหนังสือมานานแล้ว แต่กลับยืดเยื้อไม่ได้ลงมือเสียที แม้แต่ชื่อหนังสือก็คิดไว้แล้วคือ “ลิ่วจวินจิ้ง” เขาไม่กล้าเขียนเพราะมักจะรู้สึกเหมือนมีดวงตาหมาป่าคู่หนึ่งจ้องมองเขาอยู่ ทุกครั้งที่หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วก็วางลงทุกครั้งไป เวลาห้าปีผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้จอนผมทั้งสองข้างนั้นเริ่มหงอกแล้ว หากยังไม่เขียนอีกเกรงว่าจะมีใจแต่ไร้แรงเสียแล้ว
หงเฉิงกลับมาแล้ว ในมือถือกระดาษมาแผ่นหนึ่ง มือสั่นเทาเหมือนใบไม้ร่วงปลิวท่ามกลางสายลม
เรื่องความลับรั่วไหลได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาอีกครั้งอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าอวิ๋นเยี่ยเป็นหนอนบ่อนไส้จริง แล้วนำหลักฐานความผิดนี้วางไว้ต่อหน้าตน ตนก็จะคิดว่าเขาเพียงแค่เขียนมั่วๆ ตามใจแล้วปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย สิ่งนี้อยู่เหนือความเข้าใจของเขา เกินขีดจำกัดที่เส้นสมองของเขาสามารถรับได้
ขณะที่สวี่จิ้งจงอ่านหนังสืออย่างไม่ร้อนรน พลางถอดความหมายของสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นตำราสวรรค์ออกมาอย่างง่ายดายเช่นเดียวกันกับอวิ๋นเยี่ย ทุกสิ่งที่เขาภาคภูมิใจมาตลอดก็พังทลายลงในทันที สารลับที่อัศจรรย์เช่นนี้ไม่ควรให้ทุกคนอ่านเข้าใจ ไม่ควรอย่างเด็ดขาด
ทหารของต้าถังนั้นมีความภาคภูมิใจโดยเฉพาะหน่วยข่าวกรอง นอกจากฮ่องเต้แล้ว เขาไม่เคยคุกเข่าให้ใคร หลังจากที่กลับมาที่กระโจมแม่ทัพอย่างรีบร้อน ก็มองดูอวิ๋นเยี่ยที่นั่งหาวด้วยความเบื่อหน่ายอย่างที่สุด เขาดึงชุดศึกของเขาขึ้นแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยอย่างแรง นี่เป็นคำวิงวอนครั้งสุดท้ายของเขา เข่าสองข้างมีไว้เพียงคุกเข่าให้ฮ่องเต้เท่านั้น ถ้าหากอวิ๋นเยี่ยไม่รับปาก เขาจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อกำจัดอวิ๋นเยี่ยผู้เป็นตัวหายนะทิ้งให้ได้
“สวี่จิ้งจงถอดความให้เจ้าได้แล้วหรือ” อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พยุงให้หงเฉิงลุกขึ้น ไม่มีความจำเป็น ฐานันดรศักดิ์เจวี๋ยเว่ยของตัวเองนั้นเดิมก็สูงกว่าเขาอยู่แล้ว ช่วยชีวิตเขาไว้ รับการคุกเข่าคารวะจากเขาก็สมเหตุสมผลแล้ว
หลี่จิ้งรับกระดาษจากมือหงเฉิง เนื้อหาข้างในนั้นไม่แตกต่างจากคำสั่งทหารของเขาแม้เพียงคำเดียว เขาจำได้ว่าอวิ๋นเยี่ยเคยพูดไว้ แม้เป็นความรักระหว่างชายหญิงก็สามารถถ่ายทอดได้อย่างชัดเจน
อวิ๋นเยี่ยนำหนังสือ “ซัวเหวินเจี่ยจื้อ[1]” ในมือมอบให้กับหลี่จิ้งและพูดกับหงเฉิงว่า “ลูกเล่นเล็กน้อยที่ง่ายที่สุดก็สามารถทำให้เจ้าเกิดจิตคิดสังหารโหวเหยียแห่งราชวงศ์เชียวหรือ ทั้งยังต้องชดใช้ด้วยชีวิตคนทั้งครอบครัวของเจ้าด้วย โง่เขลาเป็นที่สุด เพื่อของเล็กๆ สิ่งนี้ เจ้ามีกี่ชีวิตให้ชดใช้กัน”
หลี่จิ้งถือหนังสือซัวเหวินเจี่ยจื้อพลิกอ่านไปหลายหน้า ก็เข้าใจในทันใด พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความตื่นตระหนกว่า “มันง่ายเช่นนี้เชียวหรือ”
“ง่ายๆ เพียงเท่านี้เอง เรื่องราวในโลกหากกล่าวขึ้นมาแล้วก็ลึกลับซับซ้อนมาก หลังจากมองได้ทะลุปรุโปร่งแล้วก็จะง่ายจนชวนให้ขนลุก เจียงไท่กงใช้ความสั้นยาวของปล้องไม้ไผ่มาส่งต่อข้อมูลและได้รับการยกย่องว่าเป็นวิธีการที่แยบยล เหล่าทหารยกย่องเชิดชูมากว่าสองพันปี พูดตามตรง ในนั้นมีสิ่งที่อัศจรรย์พันลึกอะไรกัน เป็นการละเล่นที่เด็กเลี้ยงแกะก็ยังสามารถทำได้ แต่การละเล่นนี้ยังสามารถพลิกแพลงเป็นลูกเล่นต่างๆ ได้มากมายนับไม่ถ้วน ข้าก็เพียงแค่เปลี่ยนจากปล้องไม้ไผ่เป็นสัญลักษณ์ตัวเลขประเภทหนึ่งในภาษาอารบิกเท่านั้นเอง ก็ทำให้ลูกน้องเจ้าเกิดจิตสังหาร ในใจพยายามคิดจะกำจัดข้าแต่เพียงอย่างเดียว”
หลี่จิ้งรู้สึกอับอายจนหน้าแดงไปทั้งหน้า ยกเท้าขึ้นเตะหงเฉิงที่นั่งคุกเข่าอยู่จนหัวคะมำ พลังยุทธ์ของนายท่านนั้นไม่ได้ลดลงไปจากแต่ก่อนเลย หงเฉิงที่ยังคงงุนงงประหลาดใจอยู่ก็ล้มลงนอนไปตามแรงเท้าของหลี่จิ้ง ด้วยสติปัญญาของเขาก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าอวิ๋นเยี่ยและหลี่จิ้งนั้นคุยอะไรกันอยู่
อวิ๋นเยี่ยเขียนตัวเลขสิบเอ็ดตัว โดยเริ่มจากศูนย์ถึงสิบลงบนกระดาษเปล่า จากนั้นอธิบายให้หลี่จิ้งฟังทีละตัวและรวมตัวเลขเหล่านี้เป็นหน่วยนับต่างๆ คือ หลักสิบ หลักร้อย หลักพัน หลี่จิ้งเรียนด้วยความตื่นตาตื่นใจ ตัวเองลองเขียนข้อความท่อนหนึ่งซึ่งก็สามารถหาคำพูดเหล่านั้นเจอจากในหนังสือทุกคำ จากนั้นแทนที่หมายเลขหน้า จำนวนบรรทัด ตำแหน่งของคำด้วยตัวเลขแล้วลองอ่านย้อนกลับ ซึ่งเล่นอย่างสนุกสนาน
หงเฉิงเข้ามาร่วมดูด้วยหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เข้าใจ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลเกี่ยวกับคุณภาพโดยรวมของหน่วยข่าวกรองของต้าถังเป็นอย่างมาก
หลังกล่าวลากับหลี่จิ้งแล้วรู้สึกง่วงมาก ตั้งใจว่าจะกลับไปนอนที่กระโจม เมื่อเปิดม่านก็พบว่าน่ารื่อมู่นั่งหลบอยู่ที่ปลายเตียงอยู่คนเดียว ตัวสั่นเทาไม่หยุด เห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามาก็กระโดดขึ้นวิ่งเพียงสองก้าว ก็รีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วแสดงท่าทีต้อนรับ ทั้งยังวางสองมือซ้อนกันไว้บนหน้าท้อง สวมชุดของชาวฮั่น ผมก็ถูกเกล้าเป็นแบบสาวใช้ ซึ่งดูแล้วก็มีความเป็นหญิงชาวฮั่นอยู่หลายส่วน
อวิ๋นเยี่ยโกรธมาก ใครทำให้นางมีสภาพดังเช่นตอนนี้ หญิงสาวแห่งทุ่งหญ้าดีๆ คนหนึ่งกลับฝืนให้อยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เช่นนี้ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีความไร้เดียงสา เหลือเพียงความอัปลักษณ์ครึ่งผีครึ่งคน
“หลังจวิน[2]!” สำเนียงประหลาดๆ ที่เรียกหลังจวินของน่ารื่อมู่ทำให้อวิ๋นเยี่ยขนลุกขนพองทรุดลงกับพื้น รับไม่ได้ รับไม่ได้จริงๆ ก่อนหน้าที่เรียกว่าพี่ชายยังพอรับได้ ตอนนี้จู่ๆ มาเรียกว่าหลังจวิน นี่ยังเป็นน่ารื่อมู่ที่กล้าหาญเข้มแข็งคนนั้นอยู่หรือ ใครเป็นคนสอน อวิ๋นเยี่ยอยากจะฆ่าปิดปากเสีย
ใช้เวลาไม่นานนักก็จับน่ารื่อมู่กลับไปแต่งกายเหมือนเดิมอีกครั้ง นางก็ไม่เต็มใจ กอดชุดผ้าไหมที่สวยงามไม่ปล่อยมือ เมื่อจวงซันถิงเปิดม่านขึ้นและเห็นสภาพการณ์ที่แปลกประหลาด จึงกลับออกไป ทั้งยังสั่งให้องครักษ์ออกเฝ้าให้ไกลออกไป
“นำเสื้อผ้ามาจากที่ไหน” อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่เสื้อผ้าในมือของน่ารื่อมู่แล้วถามนาง ส่งภาษามืออยู่หลายรอบจึงได้รู้ว่ามีคนอื่นมอบให้
มีผู้หญิงในกองทัพของหลี่จิ้งหรือ อวิ๋นเยี่ยตอนนี้ไม่มีรายชื่อเป็นบุคลากรในกองทัพ จึงไม่ต้องใส่ใจว่าจะพาผู้หญิงมาด้วยหรือไม่ หลี่จิ้งที่เป็นถึงผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพหน่วยติ้งเซียง กล้าซ่อนผู้หญิงในค่ายทหารหรือ มีอย่างที่ไหนกัน ต้องถามให้รู้เรื่อง
เขาเกิดความสอดรู้สอดเห็นขึ้นในทันใด หรือจะบอกว่าหลี่จิ้งนั้นเหมือนกับฉางอวี้ชุนที่ทุกครั้งยามออกรบเป็นต้องมีผู้หญิงติดตามไปด้วย ตามตำนานบอกว่า ถ้าฉางอวี้ชุนไม่มีผู้หญิงก็ใช้วัวเพศเมียแทนก็ได้ ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการใหญ่หลี่ใช้อะไรแทน หรือจะบอกว่ารสนิยมของพวกแม่ทัพนั้นเหมือนกัน
จางกงจิ่น คนรู้จักเก่าแก่ ลูกคนที่สองของเขาก็อยู่ในสำนักศึกษา ตอนนี้เขาเป็นรองผู้ช่วยให้หลี่จิ้ง นิสัยเปิดเผยจริงใจ เป็นคนดีที่หายากคนหนึ่ง กระโจมของเขาอยู่ติดกับอวิ๋นเยี่ย เป็นบุคคลที่มีข่าวสารว่องไวถูกต้องแม่นยำที่สุด ไปถามเขานั้นถือว่าถูกคนแล้ว
เหล่าจางไม่ได้ปิดบังอวิ๋นเยี่ย เพียงแต่มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย ก็คือช่วยให้ลูกชายคนเล็กของเขาไปเรียนที่สำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยตกปากรับคำ อย่างไรก็ตามหลังจากกลับไปแล้วอาจารย์ของแต่ละแขนงก็จะเข้ามาอย่างพร้อมมูลแล้ว เตรียมพร้อมที่จะขยายการเรียนการสอนนานแล้ว ถึงตอนนั้นอวิ๋นเยี่ยจะไปขอให้เหล่าหัวหน้าทหารของต้าถังทุกครัวเรือนส่งเด็กทั้งหมดที่ขาดโอกาสทางการศึกษาไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษา เหล่าจางยังจะใช้มันมาเจรจาต่อรอง มันช่างเหมาะเสียเหลือเกินไป จะมีการเจรจาการค้าเช่นนี้อีกหลายๆ ครั้งจะเป็นอะไรไป
พระเจ้า ที่แท้คือเซียวฮองเฮาภรรยาของสุยหยางตี้[3] กล่าวกันว่าเป็นหญิงงามเมืองคนหนึ่ง อยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ยมาสองวันแล้วแต่กลับไม่รู้เลย สาวงามแห่งยุคเชียวนะ หากไม่เห็นต้องขาดทุนย่อยยับ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าการที่ตัวเองมาถึงราชวงศ์ถังด้วยความงุนงงประหลาดใจแล้วก็ยังไม่เคยได้เห็นสาวงามที่แท้จริงเลยสักคน มันช่างขาดทุนจริงๆ แม้ว่าเซียวฮองเฮาจะมีอายุมากสักหน่อย แม้หญิงงามวัยเยาว์ไม่ได้เห็น ได้เห็นหญิงงามที่สูงอายุหน่อยก็ยังดี ได้ยินว่านางกับหลี่ซื่อหมินยังมีสัมพันธ์อะไรกันด้วย
เขาจึงพาน่ารื่อมู่ไปขอบพระทัยเซียวฮองเฮา เป็นคนประหลาดแห่งยุคจริงๆ นางมักจะแต่งงานกับฮ่องเต้ ทั้งยังแต่งงานห้าครั้งติดต่อกัน เป็นผู้หญิงที่แปลกประหลาดท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ ได้เผชิญกับการผลัดเปลี่ยนหลายราชวงศ์ แต่มักจะทำให้กษัตริย์เหล่านั้นหมอบราบคาบแก้วภายใต้ความงามของนาง ผู้หญิงเช่นนี้สามารถกล่าวได้ว่า แต่โบราณไม่เคยมีมาต่อไปภายหน้าก็คงไม่มี
ไม่ได้พบ ถูกหลี่จิ้งพากลับมาแล้ว ทั้งยังโดนเขาชี้น่ารื่อมู่ถามอยู่เป็นเวลานาน พูดในทำนองที่ว่ายังเยาว์วัยไม่ควรหมกมุ่นเรื่องกาเม ควรต้องมีสติยั้งคิดอย่าปล่อยจิตให้ฟุ้งซ่าน ความรู้จึงจะทำให้เราก้าวหน้าได้ ต้องรู้ว่ามีวีรบุรุษผู้กล้าวัยเยาว์มากมายเท่าไรที่หลงผิดไม่รู้จักคิดถึงตัวเอง
ยังมีหน้าว่าฉันอีก อวิ๋นเยี่ยนั่งด่าอยู่ในใจ เมื่อตอนนายยังอยู่ในวัยหนุ่มได้ไปที่จวนหยางซู่ เมื่อเห็นว่าธิดาแส้แดงหน้าตางดงามก็เกิดความลุ่มหลงขึ้น ทั้งยังเล่นฉากธิดาแส้แดงหนีตามกัน หนึ่งพันปีให้หลังยังคงมีการแสดงฉากนี้อยู่เลย ตอนนี้ยังมีหน้าสั่งสอนฉันหรือ ฉันก็เพียงมาดูหญิงสูงวัยคนหนึ่งเท่านั้น เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของคุณหรืออย่างไร
หึๆ ตราบใดที่ยังมีข้าคอยคุมเชิงอยู่ เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าได้คิดนอกลู่นอกทาง ข้าได้ยินว่าเจ้าชอบกินแตงกวาในหอโคมเขียว นี่มันนิสัยประหลาดอะไรกัน ยังเยาว์วัยอยู่ไม่รู้จักตั้งใจเล่าเรียน ผู้หญิงคนนั้นเป็นนางจิ้งจอก ทุกคนที่ไปข้องเกี่ยวกับนางต่างก็ไม่มีจุดจบที่ดี สุยหยางตี้ โต้วเจี้ยนเต๋อ อวี่เหวินฮั่วจี๋ และข่านสองรุ่นของชาวเผ่าทูเจวี๋ยมีใครบ้างที่ไม่ต้องตายอย่างน่าสมเพชเวทนา เจ้าหนุ่ม เจ้าควรจะหยุดแต่เพียงเท่านี้
เพราะความหลงใหลจึงทำให้ต้องตาย! เห็นได้ชัดว่าคนเลวพวกนั้นเป็นฝ่ายไม่ดีเอง ทำไมถึงว่ากล่าวสาดเสียเทเสียใส่หญิงที่อ่อนแอด้วย ลองดูสิ ผู้ชายเหล่านั้นที่ไปหาเซียวฮองเฮา มีใครเป็นคนดีไหม ถ้าไม่มีเซียวฮองเฮา พวกเขาก็จะไม่ตายหรือ ทฤษฎีอะไรกัน
อวิ๋นเยี่ยเดินก้มหน้ากลับไปอย่างหดหู่ เขามักจะรู้สึกเหมือนว่าเขาลืมอะไรบางอย่าง เพียงแต่ตอนนี้ในสมองเขาล้วนมีแต่ภาพจินตนาการของหญิงงาม จึงได้ละเลยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ไป
เหอเซ่าตั้งหม้อขนาดใหญ่ในค่ายทหารอีกแล้ว ขาม้าที่ตัดกลับมาจากทุ่งหญ้าถูกปรุงอยู่ในหม้อ แล้วโรยด้วยเครื่องเทศ เพียงชั่วครู่ค่ายทหารก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ มักจะมีนายทหารวิ่งมาถามราคา ถ้าเขารู้ว่าขาม้าเหล่านี้เมื่อหลายวันก่อนยังคงเปื้อนเลือดมนุษย์อยู่ละก็ ไม่รู้ว่าพวกเขายังอยากจะกินหรือไม่
อวิ๋นเยี่ยไม่กิน ซุนซือเหมี่ยวไม่กิน สวี่จิ้งจงเมื่อเห็นเข้าก็จะอาเจียน มีเพียงเฉิงฉู่มั่วเท่านั้นที่หยิบเนื้อชิ้นใหญ่ๆ ขึ้นมากัดกินเหมือนกินซาลาเปา ทั้งยังแบ่งเนื้อชิ้นโตให้น่ารื่อมู่เป็นครั้งคราวด้วย
อวิ๋นเยี่ยชอบท่าทีของน่ารื่อมู่ที่ฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อนและกลับมาอยากอาหารขึ้นมาก การล้มตายบนทุ่งหญ้าเป็นเรื่องธรรมดามาก นางรู้สึกว่าตัวเองได้แสดงความเสียใจไปแล้ว ก็ได้ทำหน้าที่ของหญิงชาวเผ่าทูเจวี๋ยอย่างเต็มที่แล้ว ไม่เหมือนหลายวันก่อนที่เศร้าสร้อยเหงาหงอย
อวิ๋นเยี่ยยังคงสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกเล็กน้อยจากก้นบึ้งของดวงตานาง นางเพียงแค่พยายามปกปิดความเศร้าโศกนี้ พวกพ้องเผ่าเดียวกันเสียชีวิตย่อมเสียใจเป็นธรรมดา แผลจากสงครามมีหรือที่จะเงียบสงบลงได้เพียงเวลาไม่กี่วัน
นางรู้ว่าทุกคนในกองกำลังหวังว่าจะให้นางลืมอดีตอันแสนเศร้าเหล่านั้น สาวน้อยที่ตรงไปตรงมาคนนี้ยากนักที่จะรู้สึกละเอียดอ่อนได้สักครั้ง เมื่อเห็นทุกคนก็จะตะโกนเรียกพี่ชายอย่างหวานชื่น แต่ทว่าหลังจวินสองคำนี้นอกจากจะใช้เรียกอวิ๋นเยี่ยแล้วก็ไม่เคยได้ยินนางใช้เรียกใครเลย
จริงๆ แล้วนางเป็นคนฉลาดมาก ฉลาดเกินกว่าจินตนาการของทุกคน
จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็นึกถึงสิ่งที่เขาลืมได้แล้ว ในประวัติศาสตร์มีการบันทึกไว้ว่า ตราหยกพระราชลัญจกรของประเทศอยู่ในมือของเซียวฮองเฮา คิดว่าตอนนี้นางกับรัชทายาทหยวนเต๋อยังคงเก็บซ่อนตราหยกที่ ‘ได้รับบัญชาจากสวรรค์ ให้ปกครองอย่างชอบธรรม’ ชิ้นนี้เอาไว้อยู่แน่นอน
——
[1] ซัวเหวินเจี่ยจื้อ เป็นตำราเล่มแรกของจีนที่ทำการวิเคราะห์ตัวอักษรจีนอย่างมีระบบและที่มาที่ไปของตัวอักษรจีน อีกทั้งยังถือเป็นพจนานุกรมฉบับแรกๆ ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเล่มหนึ่งด้วย โดยผู้แต่งคือ สวี่เซิ่น
[2] หลังจวิน เป็นคำเรียกสามีของผู้หญิงในสมัยโบราณ
[3] สุยหยางตี้ หรือ หยางเหวินก่วง ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์สุย