เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 36 หลักการของการรักษาความลับ
อวิ๋นเยี่ยพยายามยับยั้งความต้องการที่จะไปพบเซียวฮองเฮา คราวนี้ไม่ได้ต้องการชื่นชมความงาม แต่อยากเห็นหยกเหอซื่อปี้ในตำนาน ไม่รู้ว่าตราพระราชลัญจกรที่ใช้หยกเหอซื่อปี้แกะสลักจะมีพลังอัศจรรย์ตามที่เล่าในตำนานหรือไม่ หวงอี้[1]คุยโวโอ้อวดถึงมันอย่างน้ำไหลไฟดับ เด็กหนุ่มธรรมดาสองคนเพียงเพราะได้ครอบครองมันจึงกลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุคไป หากฉันมีความสามารถอันนี้ใครจะกล้าเตะฉันอีก
ตราพระราชลัญจกรไม่มีประโยชน์อะไรต่ออวิ๋นเยี่ย ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ามันไม่มีพลังอัศจรรย์อะไรทั้งสิ้น สิ่งที่มีพลังนั้นก็คือคน ของสิ่งนี้ถึงอยู่ในมือของอวิ๋นเยี่ยก็เหมือนขยะชิ้นหนึ่ง แต่กลับจะนำพาเคราะห์ร้ายในการฆ่าล้างทั้งตระกูลมาอย่างง่ายดาย นอกจากฮ่องเต้แล้ว ใครครอบครองล้วนแล้วแต่โชคร้าย พวกหลี่จิ้งเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไม่มีทางที่จะเดาไม่ออกว่าของสิ่งนี้อยู่ในมือของเซียวฮองเฮา การที่ขัดขวางไม่ให้ตนเข้าไปยุ่ง บางทีอาจจะมีความกังวลในเรื่องนี้อยู่ด้วย เกรงว่าตนจะเดือดร้อนไปด้วย
หลี่จิ้งก็ยังนับว่าห่วงใยตนเป็นอย่างมากจึงไม่โกรธเขาแล้ว คราวก่อนเรื่องที่เขาเตะตนในท้องพระโรงก็จบเพียงเท่านี้
การที่จะแย่งชิงสิ่งของจากมือผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งที่นางมีเอาไว้เพื่อปกป้องชีวิตที่ถูกพวกสารเลวเหล่านั้นข่มเหงนั้นช่างดูไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ จึงกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปและเก็บความคิดนี้ไว้ในมันสมองส่วนลึกของเขา
ในขณะที่อวิ๋นเยี่ยยังคงพัวพันอยู่กับเรื่องเซียวฮองเฮาและตราพระราชลัญจกรของแคว้นฉวนอยู่นั้น ท้องฟ้าที่สว่างสดใสได้เพียงไม่กี่วันก็มีหิมะตกโปรยปรายอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีลมมีเพียงหิมะตกลงมา หิมะก้อนโตร่วงลงบนมือของน่ารื่อมู่ที่ยื่นออกมา เพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นคราบน้ำ
นางยืนอยู่นอกกระโจมเป็นเวลานานแล้ว บนไหล่นั้นมีหิมะขาวหนาๆ ปกคลุมอยู่ ก่อนที่นางจะถูกคนอื่นมองเป็นตุ๊กตาหิมะ อวิ๋นเยี่ยจึงพานางกลับไปที่กระโจม
ดวงตากลมโตของน่ารื่อมู่นั้นมีน้ำตาคลอ พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยเสียงอึกอักในลำคอ “หิมะ…แกะ…ตาย” นางยังพูดภาษาฮั่นให้เป็นประโยคไม่ได้ ได้แต่พูดออกมาทีละคำเท่านั้น
อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางหมายถึงอะไร หิมะในปีนี้ตกมากเป็นพิเศษ นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับคนเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้า หญ้าบนทุ่งหญ้าถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะหนา วัวและแกะต้องเขี่ยหิมะและน้ำแข็งด้านบนออกเพื่อให้ได้ต้นหญ้าบางส่วน วัวและแกะผอมๆ ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะทำเช่นนี้ จึงได้แต่ต้องอดตายทั้งเป็น
น่ารื่อมู่เรียกหิมะเช่นนี้ว่ายมทูตขาว ยมทูตขาวไม่เพียงแต่กลืนกินวัวและแกะ ทั้งยังกินคนอีกด้วย การมาเยือนทุกครั้งของเขานับเป็นหายนะบนทุ่งหญ้า
ก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญหน้ากับยมทูตขาว ผู้เฒ่าในชนเผ่าก็จะเรียกทหารมารวมตัวกัน เตรียมม้าศึกพร้อมธนู ออกล่าเหยื่อในสถานที่ที่มีชาวฮั่นและนำอาหารที่อุดมสมบูรณ์กลับมาทุกครั้ง ที่บ้านของน่ารื่อมู่มีเพียงบิดาที่ขาพิการ ดังนั้นจึงไม่ได้ส่วนแบ่งของที่ยึดมาได้นี้
สิ่งที่ยมทูตขาวหลงเหลือไว้ให้น่ารื่อมู่ก็คือความอดอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ในปีนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นักรบในเผ่าเหล่านั้นต่างก็ล้มตายอยู่ในพงหญ้าหมดแล้ว ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยทหารม้าของต้าถังที่กำลังห้อตะบึง พวกเขาเองก็กำลังล่าเหยื่ออยู่ ซึ่งเหยื่อก็คือคนเลี้ยงสัตว์ที่กำลังสั่นเทาหลบซ่อนอยู่ในกระโจม
เมื่อเห็นน่ารื่อมู่กำลังโศกเศร้า อวิ๋นเยี่ยก็สลัดความคิดเรื่องเซียวฮองเฮาและตราพระราชลัญจกรของแคว้นฉวนจากสมองเขาทิ้งไปทันที ในใจเขาไม่ว่าจะฮองเฮาอะไรหรือตราพระราชลัญจกรอะไรก็ไม่สามารถเทียบได้กับรอยยิ้มแสนหวานของน่ารื่อมู่ได้
ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ถูกผู้ชายแย่งกันไปมากับตราพระราชลัญจกรที่มุมหักไปมุมหนึ่ง หากนำมาเปรียบเทียบกับน่ารื่อมู่หญิงสาวผู้นี้ซึ่งมีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนเมฆขาวแล้ว ยังถือว่าเป็นการดูหมิ่นนางเสียด้วยซ้ำ
อวิ๋นเยี่ยพบว่าความรู้สึกที่มีต่อน่ารื่อมู่นั้นเป็นความสงสารและความชื่นชมเสียมากกว่า หญิงสาวแห่งทุ่งหญ้าคนหนึ่งที่อ่อนโยนบอบบางเหมือนหญ้าป่าบนทุ่งหญ้า แต่ในเวลาเดียวกันก็เข้มแข็งดื้อดึงเหมือนหนังวัว แต่นางได้ก้าวเข้ามาในหัวใจของเขาแล้วโดยที่เขาไม่รู้ตัว
เมื่อยมทูตขาวมาแล้ว คนเลี้ยงสัตว์สามารถทำได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือพวกเขาต้องฉวยโอกาสรีบฆ่าวัวและแกะในขณะที่พวกมันยังพอมีเนื้ออยู่บ้าง แล้วโยนทิ้งไว้ในหิมะเพื่อแช่แข็ง จากนั้นจึงค่อยๆ กินพวกมัน นี่คือเสบียงส่วนเดียวที่พวกเขามีในฤดูหนาว
กองทัพต้าถังก็กำลังทำสิ่งเดียวกัน วัวและแกะที่ยึดมาได้ถูกฆ่าตายไปทีละฝูงๆ จากนั้นจึงให้เหอเซ่านำพวกมันไปทำเป็นเนื้อแห้งแสนอร่อย พวกคนเลี้ยงสัตว์ที่ถูกจับเป็นเชลยร้องไห้ฟูมฟาย เมื่อฆ่าวัวและแกะจนหมด ก็จะถึงคราวของพวกเขาแล้ว นี่คือกฎแห่งทุ่งหญ้า การฆ่าประชากรส่วนเกินทิ้งเพื่อให้อาหารเพียงพอแก่คนที่เหลืออยู่ในการใช้ชีวิตช่วงฤดูหนาว บรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนของชาวเผ่าทูเจวี๋ยได้ตายด้วยน้ำมือของคนเผ่าตัวเองมากกว่าตายภายใต้คมดาบของชาวต้าถังมากมายเหลือคณานับ
น่ารื่อมู่เอาศีรษะซุกไว้ในผ้าห่ม นางไม่อยากได้ยินเสียงร้องของชาวเผ่าเดียวกัน เสียงร้องไห้ที่โหยหวนนั้นทำให้หัวใจนางแทบแหลกสลาย
หงเฉิงมาหาอวิ๋นเยี่ย เขาค่อนข้างภาคภูมิใจ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเดินกะเผลกๆ เขาเพิ่งจะเรียนสารลับใหม่ได้สำเร็จ จึงตั้งใจจูงแกะหนึ่งตัวมาขอบคุณอวิ๋นเยี่ย
“อวิ๋นโหว ข้าเหล่าหงเพิ่งจะเรียนเรื่องสารลับที่ท่านสอนได้สำเร็จ พวกเราต่างก็เป็นคนในกองทัพ เช่นนั้นข้าจะไม่พูดคำพูดเหน็บแนมที่แสดงออกถึงความใจแคบเหล่านั้นก็แล้วกัน วันนี้มาที่นี่ตั้งใจมาขอขมาที่เมื่อวานได้ล่วงเกินท่านโดยเฉพาะ ท่านดู ข้าได้ฟันตัวเองแล้วหนึ่งแผล หากอวิ๋นโหวยังไม่พอใจ เหล่าหงจะแทงตัวเองอีกดาบจนกว่าท่านจะพอใจ ดีหรือไม่”
เจ้าหมอนี่ดูไม่เหมือนจะมาขอขมาเลยสักนิด ดูเหมือนเป็นการข่มขู่เสียมากกว่า การโดนดาบเพียงหนึ่งแผลสำหรับเขาถือเป็นเรื่องธรรมดาเสมือนกินข้าว เขาก็ฟันตัวเองหนึ่งดาบแล้ว อวิ๋นเยี่ยยังจะทำอะไรได้อีก จึงได้แต่ต้องให้อภัยเขา พวกซื่อบื้อในกองทัพก็มักจะเป็นเช่นนี้ที่ทำให้การขอโทษดีๆ กลายเป็นเรื่องเลือดตกยางออกไปเสีย
เมื่อเห็นในมือเขากำ “ซัวเหวินเจี่ยจื้อ” ไว้และหนังสือถูกบีบจนยู่ยี่ยับเยิน อวิ๋นเยี่ยกลอกตาขึ้นแล้วถอนหายใจ หน่วยข่าวกรองของต้าถังไม่ควรจะมีแต่พวกที่ไร้สมองเช่นนี้สิ นับตั้งแต่ที่ ‘ซัวเหวินเจี่ยจื้อ’ ปรากฏขึ้นจนถึงปัจจุบันนี้ไม่รู้ว่าได้มีการพิมพ์แล้วกี่เล่ม สำนักศึกษาที่สอนตัวเลขอารบิกมาเกือบหนึ่งปีแล้ว หนังสือ ‘การคำนวณเบื้องต้น’ ที่ตนเรียบเรียงขึ้นมาก็ไม่รู้ว่ามีการพิมพ์ไปจำนวนเท่าไรแล้ว แต่เจ้ากลับถือหนังสือขาดๆ เล่มนี้เดินโอ้อวดไปทั่ว หากเป็นหน่วยข่าวกรองที่พอจะมีสมองสักหน่อยก็คงจะคาดเดาสารลับอันใหม่ของเจ้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หลี่ซื่อหมินสอนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตนเองไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดเช่นนี้หรือ
“อวิ๋นโหว ตอนนี้การถ่ายทอดความลับของต้าถังเราคงจะไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อยแล้วกระมัง” หงเฉิงยังมีหน้าถาม อวิ๋นเยี่ยอยากจะต่อยเขาจริงๆ
“เหล่าหง ตอนนี้ข้าโกรธจนไม่มีที่จะระบายแล้ว เจ้าจะต้องให้ข้าต่อยเจ้าหนักๆ สักหมัด ข้าจึงจะบอกเหตุผลให้เจ้ารู้ แต่บอกเจ้าไว้ก่อน ตอนนี้ที่ข้าโกรธไม่ใช่เรื่องเมื่อวานนี้ แต่เป็นเรื่องที่เจ้าเพิ่งจะก่อขึ้นตอนนี้ ต้าถังมีคนโง่เง่าเช่นเจ้า เป็นความอัปยศของฝ่าบาท เป็นความเศร้าใจของข้าราชสำนักเช่นพวกข้า” อวิ๋นเยี่ยกัดฟันพูดกับหงเฉิง
“เหล่าหง เจ้ารีบถอดชุดเกราะออก โดนต่อยสักหนึ่งหมัดจะได้ประโยชน์มากมาย น้องชายในตอนนั้นถูกต่อยไปหนึ่งหมัดก็ได้เคล็ดลับในการผลิตเกลือ ไม่รู้ว่าการที่เจ้าโดนหมัดนี้จะได้ประโยชน์เรื่องอะไร” ไม่รู้ว่าเฉิงฉู่มั่วโผล่มาจากที่ไหน แล้วก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยอีกว่า “เสี่ยวเยี่ย เด็กเจ้าห้ามไม่ให้ข้าฆ่าแกะ บอกว่านางจะกินอาหารให้น้อยลงอีกนิดหน่อยเพื่อให้แกะตัวนั้นได้มีชีวิตรอด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราพี่น้องคงได้กินเจกันแน่”
เมื่อเหล่าหงได้ยินเฉิงฉู่มั่วพูดเช่นนี้ จึงรีบโยนชุดเกราะไปข้างๆ อย่างรวดเร็ว เปลือยร่างกายส่วนบนพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “มีกงเหยียน้อยรับประกัน ผลประโยชน์นี้ต้องขอรับไว้ ไม่เช่นนั้นท่านต่อยข้าสองหมัด จะได้ประโยชน์สองเรื่อง”
เมื่อครู่ใครบอกว่าเขาโง่กัน ให้ตายสิ ฉลาดกว่าลิงเสียอีก อวิ๋นเยี่ยโกรธจนตัวสั่นแล้ว ชี้ไปยังหงเฉิงแต่พูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “เจ้าหมอนี่ ทำผิดใหญ่หลวง วันนี้ต้องทำให้เขาจำให้ขึ้นใจ ฉู่มั่ว เจ้าหมัดหนัก เจ้าต่อยเขา ข้าต่อยเขาเหมือนนวดหลังให้เขามากกว่า คงไม่จดจำอะไรแน่ เจ้าลงมือ ต่อยตรงจุดที่บอบบาง”
ไม่ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยพูดประโยคที่สอง เฉิงฉู่มั่วก็กระโดดขึ้นมาต่อยหมัดใส่ท้องของหงเฉิง ต่อยจนหงเฉิงตัวงอ ข้อศอกของเขาก็กระแทกเข้าที่ด้านหลังของหงเฉิง ไม่รอให้หงเฉิงร้องครวญครางออกมา ก็ปล่อยทั้งหมัดและเท้าออกมาต่อเนื่องเป็นชุด จากนั้นจึงปัดมือด้วยความพึงพอใจและพูดกับหงเฉิงว่า “เหล่าหง นี่คือความสมัครใจของเจ้า ไม่ใช่ว่าข้าไร้น้ำใจ เจ้าก็ได้ยินแล้ว พี่น้องข้าพูดว่าต้องการให้เจ้าจำให้ขึ้นใจ หากไม่ลงมือหนักพี่น้องข้ากลัวว่าเจ้าจะจำไม่ได้น่ะ”
“เฉิงฉู่มั่ว เจ้าหนุ่ม จำไว้ให้ดีว่าไม่มีใครสามารถต่อยข้าโดยไม่เสียค่าชดเชยได้ แค้นนี้ข้าจะจำไว้” ไม่เสียทีที่เป็นทหารกล้าในกองทัพ ในเมื่อโดนต่อยรุนแรงถึงเพียงนี้ ก็ยังคงพูดอย่างโหดเ**้ยมอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้ายังกล้าไปหาเรื่องฉู่มั่วอีกหรือ ฉู่มั่วเจ้าออกไปก่อน คำพูดต่อไปนี้เจ้าไม่ควรฟังและห้ามฟังด้วย จึงไปนอกกระโจมแล้วไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ภายในระยะสามสิบก้าวของด้านนอกกระโจม ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้” อวิ๋นเยี่ยชักสีหน้าพูดกับเฉิงฉู่มั่ว
เฉิงฉู่มั่วรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยต้องมีคำพูดที่สำคัญมากที่จะพูดกับหงเฉิง ซึ่งมันต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองแน่นอน เขาไม่เหมาะที่จะยืนฟังอยู่ด้านข้างจริงๆ จึงพยักหน้าแล้วออกไป
หงเฉิงเองก็รู้สึกว่าอวิ๋นเยี่ยดูเหมือนจะโกรธจริงๆ จึงลุกขึ้นแต่โดยดี โค้งกายรอคำสอน
“เหล่าหง เจ้าเป็นคนในหน่วยข่าวกรอง สมควรรู้ว่าควรจะเก็บความลับอย่างไร แม้แต่ภรรยาและลูกก็ห้ามบอก แต่ตอนนี้เจ้าถือ ‘ซัวเหวินเจี่ยจื้อ’ เอาไว้ในมือ ปากก็เดินป่าวประกาศว่าเจ้าเข้าใจสารลับอันใหม่แล้ว มันหมายความว่าอย่างไรกัน ความประมาทเช่นนี้ นี่เป็นพฤติกรรมที่เจ้าทำเป็นประจำหรือ เจ้าเป็นหูเป็นตาแทนฝ่าบาท เจ้าไม่มีคุณสมบัติคู่ควรกับตำแหน่งนี้ สารลับใหม่นั้นดูซับซ้อนแต่แท้จริงแล้วเรียบง่าย ขอแค่เพียงเป็นคนที่มีมันสมองสักเล็กน้อยก็จะสามารถจับต้นชนปลายจากเบาะแสเหล่านี้ได้ การจะประติดประต่อขึ้นมานั้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ เจ้าคิดว่าเพราะอะไรข้าจึงนำหนังสือที่ดูธรรมดาที่สุดมาสอนเรื่องสารลับให้พวกเจ้ากัน ก็เพราะต้องการให้เจ้ารู้ว่าหลังจากเรียนรู้เรื่องสารลับเป็นแล้ว จะรีบเปลี่ยนเป็นหนังสืออื่นๆ สารลับอันนี้ข้ารู้ สวี่จิ้งจงรู้ ซุนซือเหมี่ยวรู้ หลี่จิ้งรู้ มีคนรู้มากมายถึงเพียงนี้ ยังมีคำว่าความลับให้คุยอีกหรือ แต่เจ้าท่าทางเหมือนจะรู้สึกว่ายังมีคนรู้ไม่มากพอใช่ไหม” อวิ๋นเยี่ยขึ้นเสียงถาม
เพียงชั่วพริบตา หงเฉิงก็เหงื่อไหลดั่งสายฝน คุกเข่าข้างหนึ่ง บาดแผลที่ขาก็ปริแตกออกและเลือดเริ่มไหลลงมาจากบริเวณหัวเข่า
“อวิ๋นโหวโปรดสอนข้าด้วย อวิ๋นโหวโปรดช่วยข้าด้วย!”
“เหล่าหง หากต้องการเก็บความลับ สิ่งแรกก็คือคนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี เจ้ากลับไปแล้วเขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องคำนึงถึงเนื้อหา แต่จะต้องเขียนคำทั้งหมดออกมาให้ครบก็พอ จากนั้นหนังสือเล่มนี้ก็เก็บเอาไว้สื่อสารกันในหน่วยงานภายในของพวกเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีการรั่วไหลของข้อมูลเกิดขึ้นแน่นอน แน่ล่ะ ต้องบอกไว้ก่อนว่าในกรณีที่พวกเจ้าไม่มีใครทรยศกันเอง”
“อวิ๋นโหว ข้าน้อยเพียงแค่รู้หนังสือ แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนหนังสืออย่างไร” หงเฉิงพูดอ้ำอึ้ง
“สิ่งที่ต้องการก็คือการที่เจ้าเขียนหนังสือไม่เป็น แม้กระทั่งตัวเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร แล้วคนอื่นจะเดาได้อย่างไร แล้วจะถอดความสารลับของเจ้าได้อย่างไร รีบไสหัวไป! ต่อไปให้ข้าเจอเจ้าให้น้อยครั้งลงหน่อย พอเห็นคนเช่นเจ้าแล้วข้าจะอารมณ์เสียขึ้นมา ข้ายังอยากมีชีวิตอีกสองปี”
หงเฉิงสวมเสื้อผ้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจ อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวพันกับหน่วยข่าวกรอง เขามองเห็นความโง่เขลาของตน จึงได้มอบความคิดอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้แก่ตน เช่นนี้แล้วหากเกิดเรื่องข้อมูลรั่วไหลครั้งใหม่ขึ้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ลองนึกถึงกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของหน่วยข่าวกรองแล้ว หงเฉิงก็สลัดความคิดที่จะดึงอวิ๋นเยี่ยเข้ามาเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรอง!!!
——
[1] หวงอี้ นักเขียนนวนิยายแนวกำลังภายในชื่อดังของจีน ผู้ประพันธ์นวนิยายเรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศ