เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 37 ทหารต้องยึดถือคำสั่งกองทัพเป็นพื้นฐาน
หลังจากที่ไล่หงเฉิงไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เดินออกจากกระโจมไป หิมะข้างนอกก็ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเดินห่างออกไปสิบกว่าก้าวก็ไม่สามารถมองเห็นร่างแล้ว หิมะที่ทับถมบนพื้นหนาครึ่งฟุต เมื่อเดินตามร่องทางเล็กๆ ที่ทหารเสริมทำความสะอาดไว้ อวิ๋นเยี่ยเดินมาถึงด้านหน้าของกระโจมที่มียอดกระโจมขนาดใหญ่ จึงเห็นทหารเสริมใช้ไม้ยาวๆ ดันหิมะที่ตกค้างบนกระโจมออกเป็นระยะๆ
หิมะนี้ตกหนักเกินไป ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นภัยคุกคามต่อกองทัพ อย่างน้อยเสบียงอาหารก็ไม่สามารถขนส่งได้ ทุกคนรู้ดีว่าการมีซุปร้อนๆ ในวันที่หิมะตกนั้นก็ถือว่าน่าพอใจเพียงใดแล้ว ตอนนี้ความพอใจเช่นนี้ลดลงเหลือครึ่งแล้ว ตอนกลางคืนไม่มีซุปร้อนๆ ให้ดื่มแล้ว
ตอนนี้มีน้ำจำนวนมากแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีวันหมด หิมะที่ปกคลุมเต็มพื้นดินเป็นแหล่งน้ำที่ดีที่สุด แต่ทว่า จะหาเชื้อเพลิงได้จากที่ไหนกัน
พวกคนเลี้ยงสัตว์ใช้มูลวัวแห้ง ตอนนี้ในรัศมีสิบลี้ที่กองกำลังห้าหมื่นคนตั้งค่ายอยู่ เกรงว่าของที่สามารถเผาได้ล้วนถูกนำมาเผาจนหมดสิ้นตั้งนานแล้ว หากใช้มูลวัว แม้ให้วัวหนึ่งล้านตัวถ่ายพร้อมกันก็ไม่มากพอให้เป็นเชื้อเพลิงได้ ตอนนี้หิมะตกอยู่ยังไม่หนาวมากนัก เมื่อหิมะหยุดตก ความหนาวสุดขั้วหัวใจก็จะมาเยือน ตอนนี้ทุกคนจึงหวังว่าหิมะที่ตกหนักนี้จะหยุดในเร็ววัน
น่ารื่อมู่เอาแต่อุ้มลูกแกะตัวหนึ่งนั่งหลบอยู่ที่มุมกระโจมไม่ยอมออกมา เฉิงฉู่มั่วยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับนางดี น่ารื่อมู่เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา จึงรีบอุ้มลูกแกะวิ่งมาหาอวิ๋นเยี่ย
ดูแล้วลูกแกะในอ้อมแขนของนางอายุเพียงแค่หนึ่งเดือน ขนขาวที่อ่อนนุ่มทั้งร่างเป็นวัสดุชั้นดีสำหรับทำเสื้อขนสัตว์ น่ารื่อมู่รีบยกลูกแกะมาไว้เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเยี่ยฟังไม่เข้าใจ ทหารเสริมที่รู้จักภาษาทูเจวี๋ยบอกว่า “อวิ๋นโหว น่ารื่อมู่บอกว่านี่เป็นลูกแกะเพศเมียตัวหนึ่ง ปีหน้าจะต้องให้กำเนิดแกะจำนวนมาก ห้ามฆ่ามันทิ้ง นางยังบอกด้วยว่าคนเลี้ยงสัตว์ที่ต้องการมีชีวิตอยู่จะไม่ฆ่าลูกแกะเพศเมียอย่างเด็ดขาด”
“ฉู่มั่ว เจ้าก็เปลี่ยนไปฆ่าแกะตัวอื่นก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ จะต้องถือสาหาความกับนางให้ได้หรือ เสียฐานะตัวเองเปล่าๆ” อวิ๋นเยี่ยกลอกตาแล้วพูดกับเฉิงฉู่มั่ว
“เสี่ยวเยี่ย เด็กเจ้าก็อารมณ์รุนแรงไปหน่อยกระมัง เอาไหล่ข้างหนึ่งมากระแทกข้า ข้าไม่ได้อยากกินแกะ เพียงแต่อยากได้หนังนั่นเท่านั้น”
อวิ๋นเยี่ยให้น่ารื่อมู่ขอโทษเฉิงฉู่มั่ว คิดไม่ถึงว่านางจะเบ้ปากแล้วไม่ยอมขยับ อุ้มลูกแกะเอียงคอมองหิมะ ข้างนอก ผ่านไปเป็นนานจึงพูดขึ้นว่า “ไม่มี…มูลวัว…เราจะตาย”
เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา เฉิงฉู่มั่วก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องกับนางอีก เขาไม่เข้าใจว่าผู้บัญชาการใหญ่กำลังรออะไรอยู่ ทำไมเขายืนยันที่จะตั้งค่ายรักษาการในทุ่งหญ้าในสภาพอากาศเช่นนี้ นี่ไม่ใช่การตัดสินใจของแม่ทัพที่ฉลาดคนหนึ่งพึงกระทำ
เขาและอวิ๋นเยี่ยเดินออกจากกระโจม เดินเล่นท่ามกลางหิมะตกหนัก หิมะสีขาวนุ่มๆ ถูกเหยียบจนเกิดเสียง เฉิงฉู่มั่วมองดูหิมะที่ทับถมอยู่บนหมวกของอวิ๋นเยี่ยและถามเขาว่า “เสี่ยวเยี่ย ตอนนี้ไม่ว่าสภาพภูมิอากาศหรือสถานที่ต่างไม่เป็นผลดีกับเรา ทำไมผู้บัญชาการใหญ่ยังคงยืนกรานความคิดตัวเอง ข่านเจี๋ยลี่ถูกโจมตีครั้งนี้ ก็ยากที่จะทำอะไรได้อีก ทำไมเราไม่กลับไปที่กองทัพเพื่อเฝ้าเมือง”
อวิ๋นเยี่ยปัดหิมะบนหมวกออก หยิบถั่วเหลืองทอดออกมาจากกระเป๋ากำมือหนึ่งแล้วส่งให้เฉิงฉู่มั่วบางส่วน จากนั้นก็โยนเข้าปากหนึ่งเม็ดแล้วเคี้ยวเสียงดังกรุบๆ มองทิวทัศน์หิมะที่อยู่รอบๆ ราวกับไม่ได้ยินคำถามของเฉิงฉู่มั่ว
“เสี่ยวเยี่ย แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่ บอกข้าไม่ได้หรือ” เขาเค้นถามอีกครั้ง
“ฉู่มั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่ากฎข้อแรกของทหารคืออะไร” ในที่สุดอวิ๋นเยี่ยก็พูดพลางมองเฉิงฉู่มั่วที่ดูร้อนรน
“ข้าย่อมต้องรู้แน่นอน ความกล้าหาญ นี่ก็คือกฎข้อแรกของทหาร มีเพียงความกล้าหาญไม่ขลาดกลัวเท่านั้นจึงจะมีชัยชนะในการต่อสู้อย่างนับไม่ถ้วน ทหารต้าถังเราเพราะมีเกราะที่แข็งแกร่งดาบอันคมกริบ ความกล้าหาญไม่ขลาดกลัว จึงได้กำจัดหมอกควันออกไปได้ตลอดเส้นทาง บุกเบิกแผ่นดินต้าถัง” เฉิงฉู่มั่วแต่ไหนแต่ไรมาเป็นพวกร้อนแรงอยู่เสมอ
“แต่ข้ากลับไม่คิดอย่างนั้น หากมีเพียงความกล้าหาญ แต่กองทัพกลับไร้วินัย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถพูดถึงเรื่องเข้มแข็งได้ เรื่องเก่าก่อนที่ว่าซุนอู่ประหารสนมโปรดและเรื่องกองทัพซี่หลิ่วอิ๋ง ต่างก็แสดงให้เห็นถึงหลักเหตุผลข้อหนึ่งว่าทหารต้องยึดถือคำสั่งกองทัพเป็นพื้นฐาน ตอนนี้เจ้าอยู่ใต้บัญชาของผู้บัญชาการใหญ่ ก็ควรจะเชื่อฟังคำสั่งทางทหารของผู้บัญชาการใหญ่ มากกว่าการที่จะขุ่นเคืองอยู่ในใจ นี่เป็นข้อห้ามของผู้เป็นแม่ทัพและก็เป็นข้อห้ามสำหรับการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้อื่นด้วย จากพฤติกรรมของเจ้าในวันนี้ เจ้ายังเรียกไม่ได้ว่าเป็นทหารที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ รุกเหมือนผาถล่มทะเลคลั่ง ล่าถอยเหมือนเขื่อนถูกน้ำพังทลาย การฝ่าฟันไปพร้อมกัน การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั้งกองทัพจึงจะเป็นหนทางแห่งชัยชนะ วันนี้เจ้าลงมืออย่างหนักกับหงเฉิง ต่อมาก็ขัดคอกับน่ารื่อมู่ สิ่งเหล่านี้บ่งบอกได้ว่าจิตใจของเจ้ายังไม่สงบ ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เพราะอะไร”
ตั้งแต่พบกันที่ซั่วฟางจนถึงตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยยังไม่ได้พูดคุยกับเฉิงฉู่มั่วอย่างเต็มที่สักครั้งเลย เขารู้สึกเสมอว่าตอนนี้เฉิงฉู่มั่วกลายเป็นคนใจร้อน ไม่รู้ว่าความอึดอัดใจนั้นมาจากไหน
เฉิงฉู่มั่วนอนหงายยืดแขนขาอยู่บนหิมะ ดวงตาเบิกกว้างมองท้องฟ้า แม้ว่าหิมะจะตกเข้าตาก็ไม่ยอมหลับตาลง
อวิ๋นเยี่ยนอนข้างๆ เขาแต่ก็ไม่พูดอะไร นอนเป็นเพื่อนเขาอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้หิมะขาวค่อยๆ ปกคลุมร่างของทั้งสองเหมือนกับตอนที่เฉิงฉู่มั่วนอนเป็นเพื่อนเขาอยู่บนกองหญ้าที่หล่งโย่ว
“ข้ามีพี่น้องหลายคนที่เสียชีวิตในการต่อสู้ที่เมืองซั่วฟาง แน่นอนว่าข้าแก้แค้นให้พวกเขาแล้ว ถอนรากถอนโคนเผ่าเล็กๆ ที่ทำร้ายพวกเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะพูด ข้าอยากจะพูดว่าในตอนเช้าเรายังหยอกล้อกันอยู่เลย ข้าสัญญากับพวกเขาว่าเมื่อชนะศึกกลับไปที่ฉางอัน ข้าจะเลี้ยงอาหารเลิศรสที่เจ้าเป็นคนปรุงที่พวกเขาไม่เคยกินมาก่อน พวกเขาก็รอคอยวันนั้นเช่นกัน เพียงแต่เมื่อตกดึกพวกเขาไม่กลับมา ข้าพบพวกเขาในวันรุ่งขึ้นซึ่งทุกคนเสียชีวิตหมด แม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกชาวเผ่าทูเจวี๋ยถอดเอาไปจนหมด บางศพยังมีร่องรอยถูกสัตว์ป่ากัดแทะ ข้าฝังพวกเขา แต่ไม่ได้ทำป้ายหลุมศพให้ ข้ารู้ว่าอยู่ที่นั่นจะไม่มีใครไปเซ่นไหว้พวกเขา ข้าดักซุ่มอยู่ที่นั่นฆ่าพวกทูเจวี๋ยที่สมควรตายไปจนหมดสิ้น แต่ข้าก็รู้สึกน้อยใจ ข้าน้อยใจแทนทหารผู้ที่เสียชีวิตในการต่อสู้เหล่านั้น พวกเขากล้าหาญถึงเพียงนั้น ไม่มีความหวาดกลัว แต่กลับต้องตายโดยที่ไม่มีใครรับรู้เหมือนกับใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ตามธรรมชาติ ข้าเติบโตขึ้นมาในค่ายทหารตั้งแต่เด็ก ดังนั้นข้าไม่กลัวความตาย แต่ข้ากลัวที่จะต้องตายโดยที่ไม่มีใครรับรู้เหมือนพวกเขา”
หลังจากเช็ดคราบน้ำบนใบหน้า อวิ๋นเยี่ยพูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “ที่แท้เจ้าอยากมีชีวิตอยู่เหมือนประทัดสินะ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสักหน่อย ต้องรีบไปร่วมทำศึกกับชาวทูเจวี๋ยในวันพรุ่งนี้ เจ้าต้องถือหอกขี่ม้าบุกเข้ากองกำลังของศัตรูเพียงลำพัง หลังจากฆ่าศัตรูได้หลายคนแล้ว จากนั้นก็ถูกกลุ่มศัตรูจับเจ้าฉีกออกเป็นชิ้นๆ เช่นนี้ก็จะมีคนจดจำเจ้าได้แล้ว”
“นักรบมีไว้เพื่อต่อสู้ การตายในศึกสงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาแม้ตายก็กำลังต่อสู้อยู่ เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีก พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว เจ้าควรจะรู้สึกดีใจไม่ใช่วิตกกังวลถึงเหตุการณ์ต่อจากนี้ หากเจ้ายังคงมีความคิดเช่นนี้ไปตลอด ข้าจะขอให้ท่านลุงเฉิงถอดออกจากกองทัพ แล้วให้ตำแหน่งเจ้าหน้าที่เล็กๆ ในฉางอันแก่เจ้า มีอายุจนถึงแปดสิบปีแล้วค่อยตาย ดีหรือไม่”
“เช่นนั้นให้ข้าถูกหิมะฝังเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า” เฉิงฉู่มั่วพูดเสียงเบาๆ อยู่ในลำคอ
“ถ้าไม่อยากตายก็รีบลุกขึ้น หลายวันที่ผ่านมาหากไม่เจอพวกวิปริต ก็เจอพวกคนงี่เง่า ทั้งยังมีจอมซื่อบื้อเช่นเจ้าเพิ่มอีกหนึ่งคน แม้แต่อารมณ์ของตัวเองก็ไม่สามารถควบคุมได้ ใครยังจะกล้าคาดหวังให้เจ้าดูแลสามตระกูลกันอีก ลูกผู้ชายอกสามศอกกลับมีความคิดเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ขายหน้าคนอื่นหรือไม่ คิดเรื่องที่ไร้ประโยชน์ให้น้อยลงหน่อย ตอนนี้คิดให้มากๆ ว่าจะหาฟืนให้มากขึ้นได้อย่างไรจึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำ ข้ายังไม่อยากแข็งตายทั้งที่พวกเรายังไม่ได้กำจัดข่านเจี๋ยลี่หรอกนะ”
คุยกับเฉิงฉู่มั่วเรื่องความรู้สึกก็เท่ากับรนหาที่อึดอัดเอง เขามักจะมีความคิดแปลกๆ อยู่เสมอ ทั้งยังมักได้รับอิทธิพลจากอารมณ์อีกด้วย ไม่รู้ว่าทำไมท่านลุงเฉิงจึงให้กำเนิดเจ้าคนวิปริตที่ภายนอกดูแข็งกร้าวแต่ภายในกลับละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้
ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขำ จึงยืดสองขาสะบัดตัวกระโดดลุกขึ้นยืน อวิ๋นเยี่ยเอามือกุมท้องงอตัวกลิ้งไปกลิ้งมา แต่ก็ไม่ลุกขึ้นยืน สุดท้ายก็ถูกเฉิงฉู่มั่วลากให้ลุกขึ้น
เพิ่งจะต่อสู้กันเท่านั้น แต่ก็ดูย่ำแย่มาก เสื้อคุมขาวสะอาดที่สวมอยู่นั้นถูกทำจนเลอะเทอะไม่มีดี ไม่รู้ว่าต่อไปจะเล่นอะไรกันอีก
ประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันนั้นไม่สามารถพูดให้เฉิงฉู่มั่วฟังได้ ตอนนี้หลี่จิ้งคงจะกำลังคิดคำนวณที่จะจู่โจมข่านเจี๋ยลี่อย่างฉับพลันไม่ทันให้ตั้งตัว ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะถอนทหารออกไป ตอนนี้ถังเจี่ยนน่าจะกำลังหลอกล่อข่านเจี๋ยลี่อยู่ ตั้งแต่มาถึงค่ายแล้วก็ไม่เคยได้เห็นซูติ้งฟางเลย ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะหมอบซ่อนอยู่ที่ซอกเขาที่ใดที่หนึ่งเพื่อซุ่มโจมตีข่านเจี๋ยลี่แล้วก็เป็นได้
อวิ๋นเยี่ยได้จำลองสถานการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางทหารให้เฉิงฉู่มั่วดูบนแผนที่ หากพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือนำหลี่จิ้งและข่านเจี๋ยลี่มาเล่นเกม หากจะบอกว่าเป็นการวางแผนทางทหารก็แลดูจะประเมินสองคนนี้สูงเกินไปแล้ว เพียงแต่ดูทิศทางของแม่น้ำหวงเหอบนแผนที่แล้ว อวิ๋นเยี่ยพบว่าตนเองนั้นห่างจากเมืองฮูฮอต[1]ไม่ไกลเท่าไร
รู้สึกแอบปวดใจอยู่ลึกๆ ตัวเองเคยมีความทรงจำที่ลึกซึ้งที่สุดกับเมืองนี้ ในตอนนี้มันยังเป็นเพียงพื้นหญ้าที่ถูกหิมะปกคลุม ผู้คนบอกว่าทะเลกลายเป็นทุ่งหม่อน แต่เมื่อมาถึงอวิ๋นเยี่ยที่นี่ ทุ่งหม่อนกลับกลายเป็นทะเล ราวกับว่าเป็นการฉายภาพยนตร์ย้อนกลับวันเวลาอย่างต่อเนื่องที่เล่นวนไปวนมาอยู่ในหัวสมองของเขา
ระยะนี้น่ารื่อมู่มีงานอดิเรกเพิ่มขึ้น นั่นก็คือเก็บของต่อไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่ได้เก็บลูกแกะตัวน้อยมาจากเฉิงฉู่มั่วแล้ว นางก็ไม่เคยหยุดการเดินทางที่โชคดีนี้เลย วันนี้เก็บวัวหนึ่งตัว พรุ่งนี้เก็บม้าหนึ่งตัว จนกระทั่งเจ้าของของสัตว์ที่หายไปมาหาถึงที่ อวิ๋นเยี่ยจึงได้รู้ว่าน่ารื่อมู่ได้เก็บแม้กระทั่งม้าศึกและดาบแสนหวงของจางกงจิ่นอีกด้วย
ใบหน้าของเหอเซ่าบิดเบี้ยวราวกับมะระขี้นก ชี้ไปที่วัวเจ็ดแปดตัวในกระโจมของน่ารื่อมู่ บอกว่าวัวเหล่านั้นเป็นของเขา
อวิ๋นเยี่ยโกรธมาก ผลักเหอเซ่าล้มลงบนพื้นหิมะแล้วต่อยเขาอย่างแรง ใครบอกว่าวัวเหล่านั้นเป็นของเจ้า หากเจ้าเรียกพวกมันจะขานรับหรือไม่ แน่นอนว่าต้องเป็นพวกที่น่ารื่อมู่เก็บมาจากด้านนอกกระโจม เช่นนั้นก็เป็นของนาง แม้ว่านางจะเก็บจากกระโจมของเจ้าเช่นนั้นก็คือของนาง เมื่อครู่ที่เพิ่งถูกจางกงจิ่นตอกจนหน้าหงายอย่างรุนแรง ยังหาที่ระบายไม่ได้ ก็ได้เจอพวกรนหาที่ถึงที่แล้ว
เหอเซ่าโวยวายด้วยความโกรธสุดขีด “ก็ได้ ก็ได้ มันเป็นของนาง ข้ายอมแล้ว ยังไม่พออีกหรือ”
อวิ๋นเยี่ยต่อยเหอเซ่าอยู่ตรงนี้ น่ารื่อมู่มองดูทั้งที่ยิ้มหน้าบาน รอจนอวิ๋นเยี่ยระบายอารมณ์เสร็จแล้ว ยังคล้องแขนออดอ้อนอวิ๋นเยี่ยอย่างมีความสุข ดูเหมือนว่านางจะพอใจกับผู้ชายของนางเป็นอย่างมาก
ท้องอ้วนๆ ของเหอเซ่าหายไปแล้ว ดังนั้นเมื่อต่อยเขาจึงไม่รู้สึกสนุกมือเหมือนเมื่อก่อน ใครบอกให้เขาเป็นนายอำเภออยู่ดีๆ ไม่เอา กลับจะมาเป็นพ่อค้าที่นี่ ไม่รู้หรือว่าพ่อค้าไม่มีฐานะทางสังคมในต้าถัง
เหอเซ่าเป็นห่วงอย่างมากว่าวัวหลายร้อยตัวของเขาจะถูกน่ารื่อมู่เก็บไป จึงย้ายฝูงวัวออกห่างจากกระโจมหลังแล้วปล่อยไว้ด้านนอกประตูค่ายอันแสนไกล ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ยังมีทหารเสริมอีกหลายคนที่พอจะมีทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ อยู่ก็ไปกางกระโจมใหม่ถัดจากฝูงวัวด้วย
สองวันนี้ น่ารื่อมู่ผู้หดหู่ไม่มีของดีๆ ให้เก็บเลย จึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่งนางเก็บเด็กชาวเผ่าทูเจวี๋ยอายุสิบเอ็ดสิบสองปีได้สามคน นางจึงกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง
——
[1] ฮูฮอต หรือ ชื่อจีนกลางว่า ฮูเหอเฮ่าเท่อ เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน