เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 42 ไม่เคยมีคำว่าโชคช่วยสำหรับชัยชนะ
อวิ๋นเยี่ยและซุนซือเหมี่ยวได้นำทหารคุ้มกันแพทย์ซึ่งในมือถือดาบหลายสิบคนเดินแวะเยี่ยมทุกกระโจม ทหารที่ออกศึกทุกคนโดนลากตัวออกมาตรวจมือและเท้า ร่างกายพวกเขานั้นเหม็นมาก กลิ่นเท้ายิ่งชวนให้ผู้ที่ได้กลิ่นแทบจะอาเจียน กลิ่นบรรยากาศในกระโจมนั้นสามารถทำให้ผู้คนฝันร้ายได้เลย
อวิ๋นเยี่ยที่มีโรคค่อนข้างรักความสะอาดก็นิ่งสงบมาก ไม่ใส่แม้แต่หน้ากากอีกด้วย เท้าใหญ่ๆ อันสกปรกถูกดึงออกจากผ้าห่มมาวางไว้บนมือ ก่อนจะตรวจดูอย่างละเอียด
“มีนิ้วเท้าซ้ายสองนิ้วเป็นสีดำสนิท หมดหวังในการรักษาแล้ว ขอแนะนำให้ตัดทิ้ง ต้องรีบตัดทิ้งทันทีมิฉะนั้นมันจะติดเชื้อ”
เหล่าทหารไม่มีครอบครัวอยู่ที่นี่ ส่วนพวกเขาเองก็หมดสติไม่รู้ความ ผู้ที่สามารถทำการตัดสินใจแทนได้ก็คือแม่ทัพใหญ่จางกงจิ่น เมื่อดูอย่างละเอียดแล้วจึงได้เขียนอักษรลงไปบนเอกสารสองตัวว่าอนุญาต นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยตั้งเงื่อนไขอย่างจริงจัง เพราะเขาไม่ต้องการให้นักรบเหล่านี้คิดว่าตนเองตัดสินใจตัดอวัยวะในร่างกายบางส่วนออกมาโดยพลการ นี่คือความเคารพ และก็เพื่อลดปัญหาให้น้อยลง หากทหารไม่มีเหตุผลขึ้นมา พวกเขาจะใช้ดาบมาเจรจา
เมื่อเห็นจางกงจิ่นลงนามแล้ว ก็มีทหารเสริมนำน้ำอุ่นมาล้างเท้าของทหารเหล่านั้นทันที จากนั้นใช้แอลกอฮอล์เช็ดเพื่อฆ่าเชื้อ แล้วส่งกรรไกรคมกริบไปที่มือของอวิ๋นเยี่ย ปากกรรไกรขยับเข้าออกไปตามขอบของบริเวณผิวที่ดำคล้ำ เมื่อตัดลงไป นิ้วเท้าก็หลุดออกจากฝ่าเท้าอย่างง่ายดาย ทหารที่ถูกทำการผ่าตัดเพียงแค่ส่งเสียงอือๆ เบาๆ แต่ยังคงหลับไม่ได้สติอยู่ นิ้วเท้าสีดำสองนิ้วถูกทหารเสริมนำผ้าฝ้ายที่สะอาดมาห่อไว้และวางไว้ด้านข้างหมอนของทหาร ฝ่าเท้าก็ถูกพันด้วยผ้าฝ้ายอย่างแน่นหนา
ตลอดทั้งวันไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยได้ตัดนิ้วมือนิ้วเท้าไปมากเท่าไร มีกระทั่งการตัดเท้าที่เหลือครึ่งฝ่าเท้าซึ่งไม่มียาชา ทหารที่น่าสงสารเหล่านั้นส่งเสียงร้องโหยหวนระหว่างนอนหลับอยู่ น้ำตาไหลนองหน้า แม้ว่าจะส่งเสียงดัง แต่พวกเขาทุกคนต่างก็คิดว่ากำลังฝันอยู่ หลายวันนี้พวกเขาประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าฝันร้ายเสียอีก ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดไม่เคยห่างหายไปจากพวกเขาเลย
อวิ๋นเยี่ยตัดปลายนิ้วเท้าของทหารคนหนึ่งทิ้ง แล้วใช้ด้ายไหมเย็บหนังทั้งสองด้านติดเข้าด้วยกัน จากนั้นห่อให้เรียบร้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่า ทหารคนนั้นกำลังจ้องมองเขาอยู่ แต่ดวงตาของเขามองอย่างไม่มีเป้าหมาย เขายังหลับอยู่ อวิ๋นเยี่ยจึงค่อยๆ ปิดหนังตาของเขาลง เมื่อได้ยินเขาหายใจอย่างสม่ำเสมอจึงค่อยเดินจากเขาไป
การตัดอวัยวะส่วนที่ตายด้านนั้นคนจะไม่รู้สึกตัว เพราะเส้นประสาทล้วนถูกทำลายหมดแล้ว บางคนที่ถูกตัดนิ้วมือยังไม่มีแม้แต่เลือด มีเพียงของเหลวสีเหลืองอ่อนไหลซึมออกมาจากร่างกาย อวิ๋นเยี่ยจำไม่ได้ว่าตัวเองทำมานานเพียงใดแล้ว จนกระทั่งเขาได้พบกับซุนซือเหมี่ยว จึงได้รู้ว่าเขาทำเสร็จแล้ว
“วันนี้ข้าตัดนิ้วมือและนิ้วเท้าจำนวนมากแถมยังมีใบหูอีกหลายอัน แล้วเจ้าล่ะ” อวิ๋นเยี่ยล้างมือพลางถามซุนซือเหมี่ยว
“เช่นเดียวกับเจ้า เพียงแต่ข้าก็แค่ตัดจมูกของคนสองคนด้วย การผ่าตัดครั้งนี้ ราบรื่นเกินความคาดหมายจริงๆ” ซุนซือเหมี่ยวล้างมืออยู่อีกข้าง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“พวกเราชนะแล้ว ไม่ใช่หรือ นักพรตซุน สงครามครั้งนี้อย่างน้อยก็สามสิบปีที่ชาวทูเจวี๋ยจะไม่มาระรานชายแดนต้าถังอีก มันคุ้มค่ากันมาก เพียงแต่ต้องลำบากพวกเขาแล้ว”
“ฟ้าดินไม่ลำเอียง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ข้ารู้ดีว่ามนุษย์เราเกิดมาบนโลกนี้เพื่อที่จะมารับทุกข์ เจ้ากับข้าเองต่างก็ต้องทนทุกข์เช่นกัน ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่” หลายวันนี้เหล่าซุนเห็นโศกนาฏกรรมบนโลกนี้มากเกินไป ดังนั้นจึงคิดว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่อรับกรรมโดยไม่รู้ตัว
“ท่านนักพรต ตอนนี้เป็นเวลาที่หนาวเหน็บที่สุดของฤดูหนาว ซึ่งสามารถทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ ไม่น่าแปลกใจที่ท่านเกิดความคิดเช่นนี้ เพียงแต่ว่าท่านเป็นนักพรตมานานหลายปี ทำไมจึงถูกมารร้ายภายนอกเข้าครอบงำได้ง่ายดายเพียงนี้ ข้าคิดว่าจิตใจของท่านจะต้องเข้มแข็งหาที่เปรียบไม่ได้ ใครจะรู้ว่าท่านก็ช่วงเวลาที่บอบบางเช่นกัน” เมื่อเดินออกจากกระโจม อวิ๋นเยี่ยดึงเศษผ้าเล็กๆ ออกจากรูจมูกแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง อากาศเย็นๆ ได้ไหลเข้าไปเต็มปอด จึงค่อยทำให้เขากระชุ่มกระชวยขึ้นมาในทันใด
กลับมาถึงกระท่อมหิมะของตัวเอง ถังเจี่ยนซึ่งนอนหลับอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ยังคงกรนเสียงดังสนั่นดั่งฟ้าผ่า อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ทำให้เขาตื่น แต่วางหม้อดินลงบนเตา ตั้งใจที่จะทำอาหารเย็นด้วยตัวเองสักหน่อย เมื่ออยู่ข้างนอก เรื่องอาหารการกินอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยต้องพึ่งพาใคร เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลค่าย เขาจึงเลิกกินอาหารเพียงลำพัง แต่จะกินอาหารพร้อมกับเหล่าทหาร แม้ว่ามันจะเป็นอาหารหมูก็ตาม เขาก็จะพยายามปรุงออกมาให้หอมอร่อยมากที่สุด
นิสัยนี้เขาได้เรียนรู้มาจากเฉิงเหย่าจิน ที่จริงแล้วเหล่าเฉิงนั้นปากสูงมาก แต่เขาก็ชอบอาหารทุกอย่างในค่ายทหาร จะเห็นได้ว่าในงานเลี้ยงเขาก็ดื่มกินอาหารอย่างไม่คิดมาก ทั้งยังถือทังปิ่งชามใหญ่ที่ดูคล้ายน้ำมูกเทเข้าปากด้วยเช่นกัน ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ จึงคิดถึงเหล่าเฉิงโดยไม่มีสาเหตุ อาจเพราะตนเองเหนื่อยล้ากับการรบราฆ่าฟันนี้มากแล้ว
โจ๊กในหม้อตุ๋นส่งเสียงเดือดปุดๆ ไม่ยอมหยุด เขาก็ใช้ช้อนคนไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเคล็ดลับอย่างหนึ่งในการต้มโจ๊กที่มารดาเขาเคยสอนให้ทำ หากต้องการกินโจ๊กที่อร่อย มีเพียงคำเดียวนั่นก็คือคน เขาจึงคนมันไปเรื่อยๆ
ผ่านไปเป็นเวลานาน จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นพลางเขกศีรษะตัวเอง เมื่อครู่ตัวเองเอาแต่คิดเรื่อยเปื่อยเพียงเพื่อต้องการลบล้างสถานการณ์ที่เห็นในวันนี้ออกจากหัวสมองเท่านั้นเอง มนุษย์ทุกคนต้องการจดจำแต่สิ่งที่สวยงามที่สุด ลืมเหตุการณ์ที่โหดร้ายน่าเศร้าเหล่านั้น แม้ว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดจากการกระทำของตัวเองก็ตาม
เขาหาไข่เยี่ยวม้ามาสองฟอง ซึ่งนี่เป็นของที่ท่านย่าเตรียมไว้ให้เขา ในไหขนาดใหญ่ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ฟองแล้ว เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองว่าเขายังไม่ลืมอดีตอันแสนห่างไกล เขาจึงเตรียมทำโจ๊กไข่เยี่ยวม้ากับเนื้อไก่สักหนึ่งหม้อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าถ้าเพิ่มเนื้อวัวลงไปมันจะอร่อยไหม เขาอยากลองทำดู อยากลองมากๆ
ไม่เลว กลิ่นหอมชวนดมมาก เขาสูดดมลึกๆ อย่างเคลิบเคลิ้ม ขณะกำลังเตรียมจะตักใส่ชาม ก็ได้ยินเสียงคนพูดจากด้านหลัง
“ตักสองชาม ข้าขอชามใหญ่ด้วย” พูดอย่างไร้มารยาท แต่อวิ๋นเยี่ยก็ยังฟังเขา จึงตักชามใหญ่ให้เขา คนที่ทำเพื่อประเทศชาติที่เพิ่งรอดจากความตายมา ขอเพียงแค่นี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากเกินไป
ถังเจี่ยซึ่งปกติเป็นคนสุภาพเรียบร้อยและเก็บอารมณ์เก่งนั้นไม่สนใจไอร้อนของโจ๊กไข่เยี่ยวม้ากับเนื้อไก่ที่ลอยขึ้นมาเลย เขากลืนคำโตๆ ลงไปเหมือนผีที่หิวโหย เมื่อถูกโจ๊กร้อนๆ ลวกเข้า บางครั้งก็แลบลิ้นออกมาระบายความร้อน หาได้มีท่าทีเหมือนดังอดีตหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
“เจ้ากินช้าๆ หน่อย ข้าไม่ได้แย่งกับเจ้าเสียหน่อย เป็นถึงหัวหน้าผู้อื่นแล้วยังจะทำตัวเหมือนเด็กอีก เจ้าหรือข้าใครอายุมากกว่ากันกันแน่”
ถังเจี่ยนเช็ดปากด้วยแขนเสื้อ แล้วส่งชามเปล่าให้อวิ๋นเยีย บอกให้รู้ว่าต้องการอีกชาม
“ถ้าเจ้าถูกแช่แข็งในหิมะอยู่สิบกว่าวัน ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีสภาพดีไปกว่าข้าสักเท่าไร เจ้าอยู่ในค่ายทหารและมีกระท่อมที่อบอุ่นอยู่ มีอาหารรสเลิศ เจ้ารู้ไหมว่าหลายวันที่ข้าใช้ชีวิตอย่างไร ศีรษะพร้อมหลุดจากบ่าตลอดเวลาเชียวนะ” พูดจบยังค้อนอวิ๋นเยี่ยอีกด้วย
“เจ้าหนีจากกองทัพที่อลหม่านออกมาได้อย่างไร นี่เป็นทักษะที่ยอดเยี่ยมเลย สอนข้าหน่อยสิ ให้ข้าได้มีความรู้เพิ่มบ้าง” เรื่องการหลบหนีออกมาของถังเจี่ยนเป็นอะไรที่อัศจรรย์มาก อวิ๋นเยี่ยอยากรู้
คิดไม่ถึงว่าเมื่อถามคำถามนี้ จะทำให้ถังเจี่ยนซึ่งปกติเป็นคนมีอารมณ์ขันถึงกับร้องไห้ แม้กระทั่งข้าวก็ลืมกิน ถือชามขาวยิ่งร้องไห้ยิ่งเสียใจมากขึ้น สุดท้ายถึงกับร้องไห้เสียงหลงอีกด้วย
ถังเจี่ยนเป็นคนเข้มแข็งคนหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าในฐานะทูตที่ฮ่องเต้ส่งตัวมาเพื่อเกลี้ยกล่อมข่านเจี๋ยลี่นั้น ทั้งภูมิปัญญาและความกล้าหาญของเขาต้องอยู่เหนือผู้อื่นอย่างที่สุด มิฉะนั้นคงไม่มอบภารกิจนี้ให้เขา
โจ๊กเย็นหมดแล้ว ถังเจี่ยนก็หยุดร้องไห้แล้วก้มหน้าค่อยๆ ละเลียดกินโจ๊ก ในที่สุดเขาก็วางชามกับตะเกียบลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหวสนใจที่จะรู้ว่าข้าเอาชีวิตรอดมาจากความตายได้อย่างไรจริงๆ น่ะหรือ”
“ไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์หรอก ผู้บัญชาการใหญ่ลอบจู่โจมค่ายในตอนเช้า ชาวเผ่าทูเจวี๋ยวุ่นวายกันไปหมด ข้าได้ขุดหลุมไว้ในกระโจมตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเกิดความวุ่นวายขึ้นข้าก็มุดเข้าไปในหลุม มีทหารองครักษ์เอากระดานไม้มาวางไว้บนร่างข้าพร้อมหลอดเล็กๆ อันหนึ่ง ให้ข้าคาบไว้ในปากเพื่อหายใจ สุดท้ายพวกเขาก็เอาทรายกลบบนร่างข้า ข้าอาศัยหลอดเล็กๆ นี่เพื่อหายใจจึงได้เอาชีวิตรอดมาได้ อวิ๋นโหวคิดว่าอย่างไร” ถังเจี่ยนมองอวิ๋นเยี่ยแล้วยกชามโจ๊กขึ้นมากินต่อ
“ข้าเพียงแค่ต้องการถามประโยคเดียว องครักษ์ ผู้ติดตามและขุนนางผู้ติดตามของเจ้าอยู่ที่ไหน พวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
มือของถังเจี่ยนสั่นเทาจนชามในมือเกือบหล่นลงมา เขายิ้มเจื่อนๆ ย้อนถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
เมื่อเห็นถังเจี่ยนที่เจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยก็นึกถึงบันทึกที่เกี่ยวกับตัวเขาในหนังสือประวัติศาสตร์ว่า ในวันที่แปด หลี่จิ้งลอบจู่โจมชาวเผ่าทูเจวี๋ย ถังเจี่ยนได้กลับมา
จากคำอธิบายที่ไม่ต่อเนื่องของถังเจี่ยน ในที่สุดอวิ๋นเยี่ยก็เรียบเรียงเรื่องราวได้ ตั้งแต่ที่คังซูมี่จับกุมตัวเซียวฮองเฮาไว้ รัชทายาทหยวนเต๋อยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าถังแล้ว ข่านเจี๋ยลี่ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี ตนเองไม่สามารถต่อต้านทหารที่แข็งแกร่งหนึ่งแสนคนของต้าถังได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ส่งจื๋อซือซือลี่เป็นทูตพิเศษไปยังเมืองฉางอันเพื่อขออภัยโทษและสวามิภักดิ์ต่อถังไท่จง แต่แท้จริงแล้วกำลังวางแผนรอเวลาให้หญ้าโตม้ามีกำลังขึ้นมาเหมือนเดิม แล้วจึงเคลื่อนพลไปยังทะเลทรายทางเหนือรอการฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ถังไท่จงจึงส่งหน่วยหงหลูซื่อ[1]ถังเจี่ยนกับคนอื่นๆ ไปยังทูเจวี๋ยเพื่อปลอบขวัญ แล้วมีคำสั่งให้หลี่จิ้งนำกองทหารเพื่อประสานงาน หลี่จิ้งคิดว่าแม้ว่าข่านเจี๋ยลี่จะพ่ายแพ้ แต่ก็ยังมีกองทหารจำนวนมาก หากปล่อยให้เขาหลบหนีไปยังทะเลทรายทางเหนือเพื่อพึ่งพาชนเผ่าเซวียเหยียนถัวซึ่งจะยากแก่การติดตาม ขณะที่ถังเจี่ยนอยู่ที่ทูเจวี๋ย ข่านเจี๋ยลี่ผ่อนปรนไม่ทันระวัง ดังนั้นเมื่อถูกลอบจู่โจมจึงโดนจับได้โดยไม่ต้องทำสงคราม หลี่จิ้งสั่งให้จางกงจิ่นนำกองทหารตามหลัง ตนเองนำทหารม้าชั้นเยี่ยมหมื่นนายและเตรียมเสบียงสำหรับกินเป็นเวลายี่สิบวัน เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนเร่งรีบมุ่งหน้าไปยังเขาไท่ซาน กองทัพของหลี่จิ้งไปถึงเขาอินซัน พบว่าในค่ายยังมีทหารอยู่หนึ่งพันกว่าคน จึงได้จับเป็นเชลยศึกกลับมาทั้งหมด ข่านเจี๋ยลี่เห็นทูตต้าถังมาเพื่อปลอบใจ จึงคิดว่าปลอดภัยไร้กังวล และไม่ได้เตรียมการป้องกันให้แน่นหนาขึ้น
ในสภาพอากาศที่หนาวที่สุด หลี่จิ้งอาศัยจังหวะที่ทุ่งหญ้ามีหมอกลงหนา สั่งให้กองหน้าซูติ้งฟางนำทหารกล้าสองร้อยคนออกไปจู่โจม ภายใต้หมอกหนาที่ปกคลุม พวกเขาบุกไปถึงหน้าค่ายของข่านเจี๋ยลี่จึงถูกพบตัวเข้า ข่านเจี๋ยลี่ผู้ซึ่งชอบหลบหนีก็ได้ทอดทิ้งประชาชนของตัวเองอีกครั้ง เมื่อหาม้าตัวที่เร็วที่สุดได้ก็หนีออกไปก่อน ละทิ้งคนเลี้ยงสัตว์ชาวทูเจวี๋ยกว่าแสนคนไว้จึงถูกหลี่จิ้งกวาดล้างทั้งหมด กองทหารม้าที่เก่งที่สุดของชาวทูเจวี๋ยก็ล้มหายตายจากไปในการจู่โจมครั้งนี้ด้วย อาจกล่าวได้ว่าถึงแม้ข่านเจี๋ยลี่จะหนีไป แต่ชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันออกก็ล่มสลายแล้ว
การเปลี่ยนแปลงของกาลเวลานั้นรวดเร็วมาก เมื่อตอนที่อวิ๋นเยี่ยมาถึงราชวงศ์ถังนั้นเป็นช่วงเวลาที่ข่านเจี๋ยลี่กำลังยิ่งใหญ่อยู่ในแดนกวนจง นำทหารสองแสนนายยกทัพมาถึงแม่น้ำเว่ยสุ่ย น้ำหมึกในสัญญาพันธมิตรระหว่างหลี่ซื่อหมินและข่านเจี๋ยลี่ยังไม่ทันแห้ง ข่านเจี๋ยลี่ก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
สามารถกล่าวได้ว่าในฐานะชาวต้าถังคนหนึ่ง ศัตรูคนแรกของอวิ๋นเยี่ยก็คือข่านเจี๋ยลี่ ตอนนี้เมื่อเห็นว่าศัตรูที่แข็งแกร่งถูกกำจัดแล้ว ในใจก็รู้สึกสบายใจลงหลายส่วนอย่างไม่รู้ตัว
คิดว่าหลี่จีผู้ที่จะทำคะแนนได้ดีที่สุดจะต้องไม่พลาดโอกาสอันยอดเยี่ยมในการทำคะแนนต่ออย่างแน่นอน เมื่อคิดว่าในภายหน้าตนเองสามารถลบหลู่ดูหมิ่นกษัตริย์แห่งทุ่งหญ้าได้ตามอำเภอใจในฉางอัน อวิ๋นเยี่ยก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้
“เหตุใดอวิ๋นโหวจึงหัวเราะอยู่คนเดียว พูดออกมาให้ฟังด้วย จะได้ช่วยให้ข้าปรับเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อชัยชนะจบลง ข้าเองก็จะได้ปลอดโปร่งโล่งใจด้วย” ในที่สุดถังเจี่ยนก็เดินออกมาจากความโศกเศร้าได้แล้ว
“ข้าบอกได้เลยว่าในครั้งนี้แม้ติดปีกก็ยากที่จะหลบหนีได้ แม่ทัพหลี่จีจะต้องไม่ปล่อยให้โอกาสอันดีนี้หลุดมือไปแน่ ตามหลักการแล้ว บางทีพวกเรากับข่านเจี๋ยลี่อาจมีความเป็นไปได้ที่จะได้เป็นขุนนางร่วมสมัยกัน ถ้าหากได้พบข่านเจี๋ยลี่ที่ฉางอันและข้าอาจจะยียวนเล็กน้อย เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะคาดโทษหรือไม่”
——
[1] หงหลูซื่อ เป็นชื่อหน่วยงานในสมัยโบราณ