เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 44 จิตใจคนที่ชุบด้วยทองคำ
องค์หญิงอี้เฉิงจากไปอย่างสงบ หญิงอีกนางหนึ่งที่ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ รออยู่ด้านข้างกองไฟเพื่อที่จะเก็บเถ้ากระดูกของนาง นางเป็นเพียงหญิงรับใช้ ความผิดบาปทั้งหมดยังไม่ใช่สิ่งที่นางต้องมาแบกรับ อวิ๋นเยี่ยพินิจมองหญิงรับใช้ผู้นี้อย่างละเอียด พบว่าบนใบหน้านางไม่ได้แสดงออกถึงความเศร้าเลย มีเพียงความตื่นเต้นคล้ายกับได้เกิดใหม่
ซุนซือเหมี่ยวมอบโหลกลมที่มีหูหิ้วลายนกแก้วสีทองงามวิจิตรประณีตใบหนึ่งให้กับหญิงรับใช้ ด้านบนมีฝาแกะสลักลายดอกบัว ทำไมดูแล้วรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ จนกระทั่งเปลวไฟค่อยๆ มอดดับลง เหล่าซุนช่วยหญิงรับใช้ทุบกระดูกขององค์หญิงอี้เฉิงให้ป่นเป็นผงจากนั้นใส่ลงในโหล อวิ๋นเยี่ยจึงได้พบว่าโหลเงินใบนั้นดูเหมือนจะเป็นของสะสมของตัวเองที่นำกลับมาจากเยี่ยถัวเพียงสองใบ ใบหนึ่งคือกาเหล้าม้าเริงระบำ อีกใบหนึ่งคือโหลกลมที่มีหูหิ้วลายนกแก้วสีทอง ไม่รู้ว่าเยี่ยถัวคิดเช่นไรจึงไม่ได้นำไปด้วย ทั้งหมดกลับถูกวางไว้ข้างๆ อวิ๋นเยี่ยที่กำลังสลบไสลอยู่ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะนำกลับไปใส่ลูกอมเพื่อเอาใจซินเย่ว์ ตอนนี้เห็นทีจะไม่ต้องแล้ว ซินเย่ว์คงไม่อยากได้โหลที่เคยบรรจุอัฐิมาก่อนแน่
นำไปโดยไม่บอกถือเป็นพฤติกรรมเยี่ยงโจร พฤติกรรมเช่นนี้ของเหล่าซุนนั้นไม่เหมาะสม อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปเอาเรื่องเหล่าซุนด้วยความโมโห
“นักพรตซุน โหลใบนี้… “
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้พูดจบ กล้ามเนื้อใต้โหนกแก้มทั้งสองข้างของเหล่าซุนก็กระตุกไม่หยุด ถามอย่างไม่เกรงใจว่า “เจ้ามีปัญหาอย่างนั้นหรือ” ราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่ในจุดที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา
“ไม่มี ไม่มีปัญหาอะไรใดๆ เลย ข้าเพียงอยากจะถามว่า ต้องการสิ่งของอื่นๆ ฝังไปพร้อมกันหรือไม่ ข้ายังมี ข้ายังมีกาเหล้าอาชาร่ายรำอยู่อีกหนึ่งอัน มันสวยมากเลยทีเดียว ไม่มีสิ่งอื่นที่จะฝังเป็นสมบัติผู้ตายได้ดีกว่ามันแล้ว” นี่เป็นเพราะอวิ๋นเยี่ยมันสมองตอบสนองอย่างรวดเร็ว หากเจอพวกทื่อๆ สักหน่อย ถ้าวันนี้ยังอยากมีชีวิตอยู่รอดกลับมาก็คงได้แต่ฝันไปเสียเถอะ!
“ไสหัวไป รีบๆ ไสหัวไป เห็นพวกเดรัจฉานในกองทัพอย่างพวกเจ้าแล้วมันน่าโมโหนัก”
ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าซุนก็เหมือนภูเขาไฟปะทุ ในที่สุดก็ระเบิดออกมา เพียงแต่แรงกระตุ้นได้รับค่อนข้างกว้าง ถึงแม้ว่าเรื่องการกำจัดองค์หญิงอี้เฉิงอวิ๋นเยี่ยจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพียงแต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นคนสวมชุดทหารก็อดไม่ได้ที่จะระบายอารมณ์ใส่
อวิ๋นเยี่ยเดินหันหลังกลับด้วยสีหน้าเอือมระอา ก็ได้ยินซุนซือเหมี่ยวพูดขึ้นอีกว่า “กลับมา” ดูเหมือนว่าเหมือนว่าเมื่อครู่เหล่าซุนยังด่าไม่สะใจ เตรียมที่จะด่าอีก อวิ๋นเยี่ยคิดว่าวันนี้จงทำตนเป็นมนุษย์ไม้ ปล่อยให้เขาว่าไป
มีคราบน้ำตาบนใบหน้าของเหล่าซุน ไม่รู้ว่าเพิ่งจะไหลออกมาเมื่อครู่หรือไม่ เขาชี้ไปที่หญิงรับใช้ข้างกายเขาและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “จัดการเรื่องนางด้วย อย่าให้นางต้องทุกข์ทรมานอีก ให้นางได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบปลอดภัย ทุกข์ทรมานมาทั้งชีวิต ให้นางได้เป็นคนอย่างแท้จริงสักช่วงหนึ่ง ข้าเป็นคนที่ออกบวช ข้างกายไม่สะดวกจะมีหญิงรับใช้ติดตาม”
เหล่าซุนมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับองค์หญิงอี้เฉิงหรือไม่ ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าที่จะถามและยังไม่พร้อมที่จะถาม ซุนซือเหมี่ยวผู้ซึ่งสงบดุจขุนเขามาโดยตลอด ไม่เพียงแต่ไม่รักษาภาพพจน์ทั้งยังร้องไห้อีกด้วย กำลังจะตาย นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องจัดการดูแลหญิงรับใช้ชรานั้นไม่เป็นปัญหาอะไรเลย กลับไปบอกเหล่าเหอก็เรียบร้อยแล้ว
ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความคิดของอวิ๋นเยี่ย เหล่าซุนจึงพูดว่า “ให้นางติดตามเจ้า ดูแลเจ้า หากกล้าที่จะส่งนางไปสถานที่อื่นก็ลองดู”
“พวกเราเพิ่งจะเผาเจ้านายของนางจนตาย ท่านไม่กลัวว่านางจะเกิดโทสะขึ้นแล้ววางยาข้าอะไรทำนองนี้หรือ” นี่เป็นหายนะครั้งใหญ่ ต้องถามให้ชัดเจน
เหล่าซุนมองดูโหลเงินแล้วเหม่อลอย ส่งเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงที่ล่องลอยมาจากสรวงสวรรค์ “เจ้าเชื่อไหมว่าข้าวางยาพิษฆ่าเจ้าได้ในตอนนี้”
คราวนี้จิตใจเริ่มสงบลงแล้ว จึงเรียกหญิงรับใช้ให้ถือเถ้ากระดูกและติดตามอวิ๋นเยี่ยไปเพื่อหากระโจมพักผ่อน เหลือเพียงซุนซือเหมี่ยวนั่งขัดสมาธิสวดมนต์ตามลำพังอยู่ข้างกองไฟ
ที่ควรตายก็ตายแล้ว ที่ควรฆ่าก็ฆ่าแล้ว ชนชั้นสูงชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่กินจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ถูกดาบหัวตัดตัดศีรษะลงมาทีละคนๆ มีบางคนที่เลือดจากส่วนคอนั้นพุ่งสูงได้ถึงหนึ่งจั้ง ดูเหมือนว่าจะคับแค้นใจมาก ทำให้ทหารทั้งกองทัพชื่นชมว่าการแสดงของเขาดีมาก เมื่อเห็นคนไหนที่เลือดไม่ไหลพุ่งออกมาก็จะร้องเสียดายพร้อมๆ กัน มองไปยังกองกะโหลกที่กลิ้งเกลื่อนกลาดบนพื้นราวกับกำลังมองอุจจาระสุนัข
เพชฌฆาตมีพลังมากจริงๆ ตอบรับกับความเกลียดแค้นของผู้ชม โดยตั้งใจเลือกลงดาบที่ตำแหน่งของต้นคอแทน ซึ่งหากลงดาบที่ตำแหน่งนี้จะทำให้เลือดพุ่งสูงที่สุด
เรื่องหญิงรับใช้ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว รวมถึงมอบอาหารให้นางมากมาย ทั้งยังเลือกเสื้อคลุมหนังที่เหมาะกับขนาดตัวนางให้นางสวม
“นายท่าน ข้าน้อยต้องการอาบน้ำ ขอให้ท่านได้โปรดอนุญาตด้วย” ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยกลัวที่จะได้ยินคำว่าอาบน้ำมาก เพิ่งจะมีคนบ้าคนหนึ่งอาบน้ำด้วยไฟจนถูกเผาเป็นเถ้ากระดูก ตอนนี้ก็มาอีกคนแล้ว จะให้เขาไม่หวาดกลัวได้อย่างไร
หญิงรับใช้มองออกว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นวิตกกังวล จึงยิ้มแล้วพูดว่า “นายท่านไม่ต้องกังวล ข้าน้อยเพียงแต่ต้องการต้มน้ำร้อนอาบเท่านั้น ข้าไม่ได้อาบน้ำอุ่นมาสามสิบปีแล้ว”
พระเจ้า จะสกปรกเพียงไหนกัน สมควรต้องอาบ มิฉะนั้นกระโจมนี้คงไม่สามารถให้คนอยู่ได้แล้ว
“วันนี้ข้ายุ่งมากตลอดทั้งวัน กว่าจะได้กลับมาก็เป็นช่วงเย็นแล้ว กระโจมของข้าปกติจะไม่มีใครเข้ามา ข้าจะส่งทหารเสริมอีกคนเพื่อช่วยเจ้ายกน้ำ มีเตาอยู่ในที่พัก เจ้าต้มน้ำเอง ถังอาบน้ำจะมีคนนำมาให้เจ้า ค่อยๆ อาบไม่ต้องร้อนใจ” เมื่อพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็เดินออกไป การยืนคุยกับผู้หญิงที่ไม่ได้อาบน้ำให้สะอาดมาเป็นเวลาสามสิบปีชวนให้เครียดจริงๆ จึงให้เหล่าจวงส่งถังไม้ขนาดใหญ่ไปให้นาง อวิ๋นเยี่ยยังได้มอบโหลเจ่าโต้ว[1]ให้ด้วย ซึ่งนี่เป็นของที่อาหญิงตั้งใจเตรียมไว้สำหรับอวิ๋นเยี่ยโดยเฉพาะ นางได้ใช้ผงถั่วลันเตาชั้นดีแล้วเติมเครื่องหอมจำพวกกานพลู ไม้กฤษณา และอื่นๆ สารพัดชนิด เมื่ออาบน้ำเสร็จ คนอาบก็จะมีกลิ่นเดียวกับเจ่าโต้วเลย หอมติดตัวแม้ครึ่งวันผ่านไปก็ไม่จางหาย
หญิงรับใช้ดีใจมากจนน้ำตาริน นี่เป็นสิ่งของที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้กัน จึงรู้สึกว่าอวิ๋นเยี่ยดีกับนางมาก นางหารู้ไม่ว่าตั้งแต่ที่นางเข้ามา อวิ๋นเยี่ยมักจะรู้สึกว่าในกระโจมมีกลิ่นแปลกๆ จึงอยากใช้เจ่าโต้วมาดับกลิ่นเสียหน่อย
เมื่อคนถูกฆ่าหมดแล้ว ในค่ายทหารก็เตรียมตั้งหม้อ เสียงเอะอะดังไปทั่ว กองไฟทั้งหมดถูกจุดขึ้นพร้อมกัน ค่ายทหารก็อุ่นขึ้นทันที หม้อถูกแขวนไว้บนกองไฟเล็กๆ เนื้อวัวและเนื้อแกะลอยเดือดปุดๆ อยู่ในน้ำซุปสีขาวขุ่น เหล้าปั่นผสมแอลกอฮอล์ไหใหญ่ถูกวางเรียงไว้ทั่วไปหมด เมื่อดื่มเพียงหนึ่งคำก็ทำให้ยากจะลืมเลือนแต่เมื่อปวดศีรษะขึ้นมาก็ทำให้เหมือนตายทั้งเป็น
เหล่าทหารที่ถูกตัดนิ้วมือและนิ้วเท้านั้นกำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยสัพเพเหระกัน ผู้ที่ถูกตัดนิ้วก้อยจะถูกคนอื่นดูหมิ่น นิ้วเท้าด้วนไปสองนิ้วจึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ ผู้ที่เท้าขาดครึ่งเท้าถือเป็นวีรบุรุษ จนกระทั่งชายสองคนที่ไม่มีจมูกคาบเนื้อและลุกขึ้นยืนต่อหน้าทุกคน ทุกคนต่างก็เงียบลงทันที ทั้งยังพร้อมใจกันเรียกพวกเขาเป็นลูกพี่อีกด้วย
ความเป็นความตายในสนามรบถือเป็นเรื่องธรรมดา การต้องเสียอวัยวะในร่างกายเพียงบางส่วนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย เมื่อเทียบกับสหายที่แข็งตายแล้ว อย่างน้อยตนเองก็ยังสามารถดื่มเหล้ากินเนื้อสัตว์ได้ ยังจะมีอะไรไม่พอใจอีก ชัยชนะครั้งใหญ่นี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าจะต้องได้รับรางวัลใหญ่อย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ของที่เหล่าทหารยึดมาได้นั้นท่านผู้บัญชาการใหญ่ก็ยังไม่ให้แบ่ง โดยบอกว่าจะเก็บไว้ให้พวกเขาเอาไว้สู่ขอเจ้าสาวเมื่อกลับถึงกวนจง ฝ่าบาทคงไม่ทรงสนพระทัยของเล่นพวกนี้ที่พวกเจ้าแลกมาด้วยชีวิตอย่างแน่นอน
หลี่จิ้งคงไม่คิดว่าของเล่นพวกนี้ที่ฮ่องเต้ไม่สนใจ เขาเองก็มองข้าม แต่มีบางคนตาโตเปล่งประกายวาววับจ้องมองน้ำลายไหลตั้งนานแล้ว ดาบที่ฝังด้วยอัญมณีมากมาย อานม้าที่ฝังด้วยเงินเต็มไปหมด โกลนม้าชุบทองชั้นดี เหล็กปากม้าชุบทองชั้นดี กล่องเงินชุบทองชั้นดี ชนชั้นสูงแห่งทุ่งหญ้าชอบแต่สีทองเท่านั้น ดังนั้นของหลายสิ่งหลายอย่างจึงเป็นสีทองเหลืองอร่าม แล้วจะให้เหอเซ่าผู้ที่รักทรัพย์สินเงินทองดั่งชีวิตนั่งนิ่งเฉยต่อไปได้อย่างไร ในมือถือจานเงินลายปลาทองคู่ขอบมังกรชุบทองอยู่หนึ่งใบ แล้วชูสามนิ้วให้ทหารที่อยู่ตรงหน้าเขา
ได้ยินเพียงเสียงร้องครวญของทหาร “นี่เป็นของที่ข้าหามาได้ด้วยความยากลำบาก เจ้าให้ราคาแค่สามเหวิน ข้าไม่ขาย อย่างน้อยห้าเหวิน ไม่เช่นนั้นข้าจะเอากลับ”
เหอเซ่าอ้าปากค้างอยู่เป็นนาน จากนั้นรีบดึงแขนของทหารอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “พี่ชาย เจ้าร้ายกาจมาก ข้ากลัวเจ้าแล้ว ห้าเหวินก็ห้าเหวิน รับเงินไว้ด้วย ได้เจอคนที่ประเมินสินค้าเป็นเข้าให้แล้ว” ทหารที่กำลังได้ใจโยนเหรียญที่อยู่ในมือช่างน้ำหนักดู ขณะที่กำลังจะออกไปกลับถูกคนคนหนึ่งจับไว้ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองดู ที่แท้เป็นชนชั้นสูงอ่อนวัยคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้เรียกให้เขารอครู่หนึ่งด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็รีบรุดไปหยุดที่เบื้องหน้าคนอ้วนที่รับซื้อถาดของตนเอง คว้าตัวชายอ้วนขึ้นแล้วต่อยเขาอย่างแรง ทหารนั้นดูจนทนไม่ไหว คิดจะเอาเงินสองเหวินที่เมื่อครู่เขาต้องการเพิ่มไปคืนให้กับชายอ้วน ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะเดินกลับมาแล้วพูดกับเขาว่า “ถาดดีๆ เช่นนี้เจ้าขายเพียงแค่ห้าเหวินหรือ เจ้าโง่หรือไม่”
“ข้าน้อยไม่รู้ว่ามันคืออะไร อย่างไรเสียมันไม่ใช่ทองคำ ข้าไปถามหัวหน้ากองแล้ว ขายได้ห้าเหวินก็ถือว่าดีมากแล้ว” ทหารยืนบ่นพึมพำอยู่ในปาก
“เจ้าไม่รู้อะไร ถาดที่เจ้านำมามีค่ามาก อย่างน้อยต้องได้ห้าสิบเหวิน ต้องทนทุกข์ทรมานแช่แข็งอยู่ในกองหิมะตั้งหลายวัน มีค่าเพียงห้าเหวินหรือ” ชนชั้นสูงอ่อนวัยคนนี้นับเงินสี่สิบห้าเหวินวางไว้ในมือของทหาร เมื่อให้เงินแล้วก็ไล่ตะเพิดเขาออกไป
ทหารที่ยังคงมึนงงมองดูกองเงินในมือของเขา นี่เป็นเสบียงอาหารสองตั้น[2]เชียวนะ หากใช้ประหยัดก็มากพอจะให้ใช้ได้ครึ่งปี ช่างเป็นลูกหลานของพวกมีฐานะโดยแท้จริง ทำอะไรใจปล้ำมาก แตกต่างจากเจ้าอ้วนที่ตั้งใจจะหลอกพวกเราที่เป็นทหาร
เหอเซ่าที่มีแต่ฝุ่นเต็มตัวปีนออกมาจากด้านหลังโต๊ะ ปัดฝุ่นบนตัวและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ซื้อเพียงแค่ห้าเหวินไม่ดีหรือ เจ้ายินดีข้าเต็มใจ ทำไมจะต้องให้ราคาจริงพวกเขาด้วย หากเขาเอาไปจำนำที่โรงรับจำนำในเมืองฉางอัน ก็ได้เพียงไม่กี่สิบเหวินเท่านั้น”
“ให้ตายสิ ในสายตาเจ้าตอนนี้มีแต่เงินเท่านั้น ไม่คิดสงสารทหารเหล่านั้นบ้างเลยหรือ จะว่าไป ถาดใบนั้นเดิมเจ้าตั้งใจจะให้ราคาเท่าไร”
“ข้าชูนิ้วมือสามนิ้ว หมายถึงสามร้อยเหวิน ใครจะรู้ว่าเขาคิดว่าเป็นสามเหวิน บังคับให้ข้าเพิ่มเป็นห้าเหวิน แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร” เหอเซ่ายักไหล่เลียนแบบอวิ๋นเยี่ย แสร้งทำเป็นว่าข้าคือผู้บริสุทธ์
เหตุการณ์นี้แพร่กระจายไปทั่วค่ายทหาร พ่อค้าอ้วนรังแกเหล่าทหารจึงถูกอวิ๋นโหวสั่งสอนยกใหญ่ ทั้งยังช่วยทวงเงินของทหารกลับคืนมาให้ด้วย ซึ่งนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยได้รับการยกย่องไปทั่วค่ายทหาร แม้กระทั่งซูติ้งฟางที่นอนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่บนแคร่ผิงไฟก็ยังยกนิ้วหัวแม่มือให้
“ได้ยินมาว่าพี่ชายเจ้าขายมีดหั่นเนื้อพร้อมฝักของชาวเผ่าหูไปถึงสองร้อยเหวิน เป็นเส้นทางทำมาหากินที่ไม่เลว แบ่งให้พี่ชายได้ทำบ้าง ต่อไปจะไม่ลืมส่วนแบ่งของเจ้าเลย”
“เส้นทางทำมาหากินอะไรกัน ก็แค่ค่ายเล็กๆ ที่อยู่ทางด้านนั้น ได้ยินว่าขอเพียงเป็นของที่พี่น้องเรายึดมาได้แต่ไม่ต้องการมัน สามารถเอาไปที่นั่นเพื่อแลกเงินได้ หากไม่ต้องการพกพาเงินก้อน ยังสามารถขอให้พวกเขานำเงินไปส่งที่บ้านได้ เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นธรรมอยู่ เจ้าลองไปดูสิ”
ด้วยเหตุนี้ การค้าของเหอเซ่าจึงยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้านหนึ่งเขาก็รับสิ่งของของทหารเอาไว้และจ่ายเงินให้พวกเขา จากนั้นก็เอาคืนเงินจากมือของพวกเขา สิ่งที่ส่งให้ทหารก็คือกระดาษแผ่นเล็กๆ หนึ่งแผ่นที่มี ลายเซ็นและตราประทับของเหอเซ่า
หลี่จิ้งตั้งใจถามเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ได้รู้ว่าเหอเซ่าต้องการเพียงส่งสมุดบัญชีกลับไปที่ฉางอันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องลากรถบรรทุกเหรียญทองแดงหลายสิบคันวิ่งไปตามทุ่งหญ้า ที่ฉางอันจะมีคนนำเงินไปจ่ายคืนให้กับภรรยาและลูกๆ ของทหารครบทุกคนอย่างแน่นอน เขาอยากรู้มากว่าความคิดนี้ใครเป็นคนคิดขึ้นมา แต่หลังจากเห็นอวิ๋นเยี่ยก็ไม่พูดอะไรอีกเลย เพียงแต่ข่มขู่เหอเซ่าว่าถ้ากล้าตุกติกกับเงินของทหาร เขาก็ไม่รังเกียจที่จะตัดเส้นเอ็นถลกหนังเหอเซ่า
——
[1] เจ่าโต้ว เป็นสบู่อาบน้ำในสมัยโบราณ ทำขึ้นจากการบดตับอ่อนของหมูให้เหลวแล้วเติมผงถั่วและเครื่องหอมผสมลงไป จากนั้นทำให้เป็นก้อนแล้วนำไปตากให้แห้ง สามารถขจัดคราบสกปรกบนผิวหนังได้
[2] ตั้น มาตรชั่งน้ำหนักของจีนในสมัยโบราณ โดย 1 ตั้นเท่ากับประมาณ 30 กิโลกรัม (120 จิน)