เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 45 ม้าเร็วกับตราพระราชลัญจกร
เหอเซ่าเห็นเรื่องการข่มขู่เช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก ไฉเซ่าก็ทำเช่นเดียวกันนี้มาก่อน ตอนนี้เขาก็ยังอยู่ดีมีสุขอยู่ไม่ใช่หรือ ท่านเหอผู้มั่งคั่งร่ำรวยน่าเกรงขามทำการคารวะหลี่จิ้งแล้วกล่าวว่า หากเงินของทหารขาดไปแม้แต่หนึ่งเหวิน ขอให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่ไปที่บ้านได้เลย หากมีสิ่งใดทดแทนได้ก็สามารถหยิบไปได้เลย แม้จะนำภรรยาของเขาไปก็ไม่เป็นไร จวนของจื่อเจวี๋ยก็ยังพอจะมีราคาอยู่บ้าง เชิญเอากลับไปให้หมด
หลี่จิ้งมองขึ้นลงอยู่หลายครั้งประเมินเขาอยู่ครู่หนึ่ง มองไม่ออกจริงๆ ว่าชายอ้วนที่เหม็นกลิ่นเงินทองแดงจะเป็นถึงจื่อเจวี๋ย เพียงแต่นี่ก็ทำให้เขารู้สึกโล่งอกไม่น้อย หลังจากชัยชนะแล้ว ขอเพียงเหล่าทหารไม่บ่นโอดครวญ เขาก็คร้านจะเข้าไปยุ่มย่ามถามไถ่
เมื่อมีการศึกครั้งนี้เป็นปฐมบท คิดว่าขวัญกำลังใจของทหารต้าถังและจิตใจประชาชนคงต้องมีความมั่นใจมากขึ้น เซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน ทูเจวี๋ยตะวันตกก็ควรสงบเสงี่ยมลงไปบ้าง ทุ่งหญ้ากว้างได้กลายเป็นดินแดนแห่งการเลี้ยงม้าของต้าถังแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะตนเองฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามช่วงชิงชัยชนะในพระหัตถ์ของพระเจ้ากลับมา เขาสูดอากาศอันหนาวเย็นของทุ่งหญ้า ม้าเร็วหงหลิงน่าจะไปถึงเมืองฉางอันแล้วกระมัง! หลี่จิ้งอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างได้ใจ
หลี่ซื่อหมินที่อยู่ในตำหนักไท่จี๋กำลังตรวจฎีกาอยู่ พู่กันสีแดงชาดยกค้างอยู่กลางอากาศเป็นเวลานานจนกระทั่งมีหมึกสีแดงชาดไหลจากปลายพู่กันหยดลงบนฎีกา เขาจึงรู้สึกตื่นตระหนกและได้สติกลับมา มองดูรอยหยดของหมึกนั้นที่สีแดงสดเหมือนรอยเลือด จึงอดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องทุ่งหญ้าที่ห่างไกลออกไปนับพันลี้ ที่นั่นมีทหารหลวงแห่งแดนกวนจงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของต้าถังถึงหนึ่งแสนคน ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังประสบกับความทุกข์ยากเพียงใดท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ
จึงโยนพู่กันในมือลง ยืนอยู่ในท้องพระโรงที่สูงมองไปยังทิศทางของทุ่งหญ้า เขาไม่สงสัยในความสามารถของหลี่จิ้ง เขาไม่สงสัยในความจงรักภักดีของจางกงจิ่น ไฉเซ่าหมกมุ่นอยู่ในวังวนความแค้นเกินไป มิฉะนั้นให้เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ ตนเองจึงจะรู้สึกมั่นใจมากที่สุด
ทันใดนั้น เขาก็หรี่ตาลง บนท้องฟ้าของป่านอกเมืองฉางอันมีอีกาฝูงใหญ่บินฉวัดเฉวียนไปมาในอากาศ ไม่ยอมหยุด รอบเมืองฉางอันนั้นมีอีกามากมาย ในฤดูหนาวหากพวกมันหิวถึงขีดสุดยังกล้าที่จะบินไปที่โต๊ะอาหารเพื่อแย่งอาหารกับผู้คน ถ้าหากพวกมันตกใจจนไม่ยอมกลับไปที่รัง แสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากใกล้เข้ามา เป็นไปได้ว่าจะเป็นทหารม้า หลี่ซื่อหมินที่ผ่านการทำศึกสงครามมามากมายก็สามารถหาข้อสรุปให้ตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมองดูที่ยอดเขา คบเพลิงยังไม่ได้ถูกจุดขึ้น เขานึกสงสัยอยู่บ้างว่าใครที่ใจกล้าถึงเพียงนี้ กล้านำกองกำลังเข้าใกล้ฉางอัน เขาออกคำสั่งเพียงคำเดียว ก็มีสายลับของหน่วยข่าวกรองออกไปในทันที
จำนวนองครักษ์ในพระราชฐานชั้นในได้เพิ่มขึ้นอีกสองเท่าในบัดดล ทหารองครักษ์ประจำเมืองฉางอันก็ได้รับคำเตือน ทหารประจำหัวเมืองเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นหนึ่งเท่าในทันที แต่ทว่าทหารม้ากองนั้นก็ยังไม่ลดความเร็วลง ทำให้เกิดฝุ่นตลบขึ้น เมื่อยืนอยู่บนกำแพงเมืองฉางอันก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เสียงแตรดังขึ้นเหนือท้องฟ้าเมืองฉางอัน ทหารในค่ายใหญ่เป็นเหมือนมดที่ออกจากรัง มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อยู่นอกเมืองก็รีบเข้าประตูเมืองอย่างรวดเร็ว จากนั้นประตูก็ค่อยๆ ปิดลง
อวี้ฉือกงแม่ทัพใหญ่ผู้ดูแลคูเมืองโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ วันเวลาแห่งความสงบสุขแท้ๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเขากลับไม่รู้อะไรเลย ช่างเป็นความอัปยศในชีวิตยิ่งนัก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะสั่งสอนเจ้าคนใจกล้ากลุ่มนี้เสียหน่อย
อวี้ฉือกงที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเห็นหัวหน้าม้าเร็วของหน่วยหงหลิง หมวกชุดศึกที่มีพู่สีแดงสีสันโดดเด่นมากท่ามกลางฝุ่นที่คละคลุ้ง
“มีทหารม้าเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น” อวี้ฉือกงปากพูดพึมพำ จากนั้นออกคำสั่งให้เปิดประตูเมือง เขาลงจากหอคอย ขี่ม้าถือหอกออกไปหยุดอยู่หน้าประตูเมืองเพียงลำพังรอการมาถึงของม้าเร็วหน่วยหงหลิง ทหารม้าหนึ่งพันคนนั้นยังไม่อยู่ในสายตาของอวี้ฉือกง
ม้าเร็วหน่วยหงหลิงยังไม่ทันมาถึงด้านหน้าก็ตะเบ็งเสียงตะโกนว่า “เราชนะแล้ว! เราชนะแล้ว! กองทัพเราได้ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่เขาอินซันแล้ว ฆ่าทหารทูเจวี๋ยไปสองหมื่นคน จับเชลยศึกและยึดอาวุธได้นับไม่ถ้วน!” ตะโกนพลางขี่ม้าอ้อมเลยแม่ทัพอวี้ฉือกงไปราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน
ให้ดิ้นตาย คราวนี้หลี่จิ้งได้ก้าวหน้าครั้งใหญ่แน่ เขาถึงกับกำจัดข่านเจี๋ยลี่ได้จริงๆ เขาไม่สนใจการเสียมารยาทของม้าเร็วหน่วยหงหลิง ในความเป็นจริงแล้ว ขอเพียงไม่ใช่ฮ่องเต้มาด้วยพระองค์เอง ม้าเร็วเหล่านี้สามารถเพิกเฉยต่อบุคคลที่มาได้
เขาเอาเรื่องอะไรกับม้าเร็วหน่วยหงหลิงไม่ได้ แต่ทำไมพวกงี่เง่าที่อยู่ด้านหลังเหล่านี้ก็มองเห็นว่าเขาไม่มีตัวตนด้วย ทั้งยังกล้าขี่ม้าบุกเข้าประตูเมือง เบื่อชีวิตแล้วหรืออย่างไร ขณะที่ถือหอกหม่าซั่วกำลังจะบุกเข้าไปข้างหน้า ก็เห็นว่าชายที่เป็นหัวหน้าคือเจ้าหงเฉิง เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่ขี่ม้าห้อตะบึงมาตลอดทาง กองกำลังทหารม้าข้างหลังเขาก็เละเทะไม่เป็นขบวน นี่ไม่ใช่รูปแบบที่จะทำศึก หงเฉิงยกมือขึ้น ทหารม้าข้างหลังก็รีบเลาะตามกำแพงเมืองไปยังค่ายทหารราวกับคลื่นยักษ์ในทันที เหลือเพียงทหารม้าห้าสิบคนติดตามเขามุ่งหน้าเข้าประตู
เพียงพริบตาเดียว ท่านแม่ทัพใหญ่อวี้ฉือที่เตรียมจะแสดงแสนยานุภาพของตัวเองก็ถูกปล่อยให้ต้องยืนอย่างอ้างว้างอยู่หน้าประตูเมืองพร้อมกับฝุ่นที่ตลบอบอวลบนท้องฟ้า ม้าอูหย่า[1]ตัวหนึ่งเดินออกมาจากท่ามกลางฝุ่นละออง เสื้อคลุมสีแดงสดของแม่ทัพอวี้ฉือก็เต็มไปด้วยฝุ่นดิน ได้ยินเพียงเสียงโห่ร้องดีใจราวกับฟ้าผ่าในเมืองฉางอัน ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากหัวเราะเสียงดังฮ่าๆ
เสียงโห่ร้องที่กึกก้องดังจากประตูเมืองยาวเรื่อยไปจนถึงเขตพระราชฐาน ไม่นานนัก ทหารราชองครักษ์ในเขตพระราชฐานก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจเช่นกัน หลี่ซื่อหมินซึ่งสวมชุดเกราะเต็มยศนั่งอยู่บนบัลลังก์ก็วางกระบี่ในมือลงและนำมันเก็บเข้าแท่นที่วางกระบี่ ตบกระบี่เบาๆ สองครั้ง พึมพำกับตัวเอง “โอกาสในการฆ่าศัตรูด้วยมือเราเองนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ “
จากนั้นจึงรีบมาที่หน้าประตูตำหนักไท่จี๋เพื่อรอข่าวชัยชนะ เห็นเพียงขันทีคนหนึ่งที่เข้าเวรเช้าถกชายเสื้อรีบวิ่งขึ้นบันไดมา ยังไม่ทันได้หยุดยืนนิ่งก็รีบรายงานต่อหลี่ซื่อหมินว่า “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ท่านแม่ทัพหลี่จิ้งได้กำราบทหารทูเจวี๋ยที่เชิงเขาอินซันได้อย่างราบคาบแล้วพ่ะย่ะค่ะ โดยฆ่าศัตรูไปสองหมื่นคนและจับเชลยศึกพร้อมทั้งยึดทรัพย์สมบัติได้นับไม่ถ้วน”
“เราได้ยินเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของประชาชนแล้ว นี่เป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดในใต้หล้านี้ เราดีใจจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เรียกเหล่าขุนนางมาเฉลิมฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ตำหนักไท่จี๋!” หลี่ซื่อหมินรับเอกสารราชการนั้นไว้แล้วคลี่ออกภายใต้แสงอาทิตย์ คิดอย่างละโมบว่าอยากจะกลืนกินทุกตัวอักษรลงกระเพาะให้หมดสิ้น
สนธิสัญญาพันธมิตรที่แม่น้ำเว่ยสุ่ยเป็นความอัปยศอดสูที่สุดในชีวิตของหลี่ซื่อหมิน กองทหารม้าชาวเผ่าทูเจวี่ยยกพลบุกเข้าดินแดนต้าถังอย่างเหิมเกริม ไล่เข่นฆ่าประชาชนของต้าถังอย่างโหดเ**้ยม แต่ตนเองกลับต้องเจรจาอย่างนอบน้อมยอมเป็นพันธมิตรกับเขาที่แม่น้ำเว่ยสุ่ย ทั้งยังต้องยอมมอบทรัพย์สินเงินทองมากมายนับไม่ถ้วนให้อีกด้วย ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ความอัปยศอดสูเป็นเสมือนงูพิษที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจเขาทีละคำๆ
ตอนนี้ทุกอย่างได้จบสิ้นและผ่านพ้นไปแล้ว ชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันออกอันทรงพลังจะไม่มีอยู่อีกต่อไป ความเคียดแค้นที่สุมอกก็มลายสลายสิ้นภายใต้แสงอาทิตย์ยามบ่าย
เขาเห็นหงเฉิงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่น มีรอยยิ้มที่สั่นเป็นระลอกคลื่นในแววตา พออยู่ห่างจากเขาอีกสิบกว่าก้าวก็รีบคุกเข่าลงและเดินเข่าเข้าหา เขาไม่ได้เป็นข้าราชบริพาร เขาเป็นทาสประจำตระกูล ไม่รู้ว่ามีข่าวดีอะไรจึงทำให้เจ้าหมาน้อยตัวนี้อย่างเขาตื่นเต้นดีใจมากถึงเพียงนี้
กล่องที่ห่อด้วยผ้าต่วนสีเหลืองถูกเขายกขึ้นสูงเหนือศีรษะ หลี่ซื่อหมินไม่ได้รับผ่านมือของคนอื่น ทาสผู้ภักดีเท่าชีวิตคนนี้ เกียรติยศทั้งชีวิตผูกพันอยู่กับความเชื่อมั่นในตัวเขา หงเฉิงจะไม่ทำให้ตัวเขาต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
ผ้าต่วนสีเหลืองนั้นห่อเอาไว้หลายชั้นมาก ขณะที่หลี่ซื่อหมินเปิดฝาออก หยกโปร่งใสเปล่งประกายเจิดจรัสก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา เขาหยิบตราพระราชลัญจกรขึ้น ช่างเป็นเนื้อหยกที่อบอุ่น เมื่อถือเอาไว้ในมือก็รู้สึกสบายมือ นี่ก็คือตราพระราชลัญจกรอย่างนั้นหรือ เจ้าสุนัขตัวนี้ได้มันมาจากทุ่งหญ้าอย่างนั้นหรือ
“ฝ่าบาท ตราพระราชลัญจกรนี้กระหม่อมไปตามหามาจากทุ่งหญ้าเพื่อถวายแก่พระองค์ กระหม่อมได้ทำการทดสอบแล้ว ไม่ใช่ของปลอมแน่นอน” หลี่ซื่อหมินฟังผ่านหูแต่ไม่สนใจ เขาไม่สนใจเสียหน่อยว่าตราหยกชิ้นนี้จะได้มาจากแห่งใดและก็ไม่สนใจด้วยว่าสุดท้ายแล้วจะสังเวยกี่ชีวิตเพื่อตราหยกชิ้นนี้ เขารู้แต่เพียงว่าของสิ่งนี้เดิมก็สมควรเป็นของเขามาตั้งแต่ต้นแล้ว ใครก็ตามที่ครอบครองมันไว้เท่ากับกำลังรนหาที่ตาย
“ก่อนที่กระหม่อมจะออกเดินทาง ฝ่าบาทได้ทรงประทานภาพวาดตราประทับเพื่อใช้แยกแยะของจริงแก่กระหม่อม กระหม่อมไม่ได้ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง หลังจากต้องลำบากเหนื่อยยากมานาน ในที่สุดกระหม่อมก็ได้ค้นพบมัน ซึ่งระหว่างนี้หลานเถียนโหวได้ช่วยเหลือกระหม่อมไว้มาก” นับว่ายังดีที่หงเฉิงยังพอมีมโนธรรมอยู่เล็กน้อย ยังจำได้ว่าอวิ๋นเยี่ยช่วยเขาหาตราตราพระราชลัญจกรเจอ ขณะที่รายงานความดีความชอบของตัวเองก็ยังถือโอกาสพูดถึงเขาด้วย แต่เขาจะไม่บอกหลี่ซื่อหมินอย่างแน่นอนว่าความยากลำบากของเขานั้นก็คือการซ่อนตัวแอบฟังอยู่ข้างหลังกระโจมอันแสนยากลำบากเพียงนี้
“อวิ๋นเยี่ย เขาไม่ได้อยู่ที่เมืองซั่วฟางหรือ หลี่จิ้งออกคำสั่งให้เขากลับฉางอันไม่ใช่หรือ เขาไปที่เขาอินซันได้อย่างไร เขากล้าขัดคำสั่งกองทัพหรือ” หลี่ซื่อหมินเริ่มรู้สึกโกรธเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ที่มีพื้นฐานมาจากกองทัพ เขาจึงเกิดปฏิกิริยาขุ่นเคืองกับพฤติกรรมขัดคำสั่งกองทัพและกระทำการโดยพลการเป็นที่สุด
“ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงพิโรธ หลานเถียนโหวถูกหนังสือคำสั่งปลอมฉบับหนึ่งหลอกให้ไปยังเขาอินซัน มีคนถอดความสารลับของกองทัพเราได้ และปลอมแปลงหนังสือคำสั่ง ผู้บัญชาการใหญ่ได้ออกคำสั่งให้หลานเถียนโหวกลับเมืองหลวง เมื่อไปถึงมืออวิ๋นโหวกลับกลายเป็นคำสั่งที่ว่าให้เขาไปรายงานตัวที่ค่ายใหญ่ในเขาอินซัน ดังนั้นอวิ๋นโหวจึงไปที่เขาอินซัน”
หลี่ซื่อหมินเป็นทหารมาก่อน มีหรือจะไม่เข้าใจถึงอันตรายของสารลับที่ถูกคนอื่นถอดความได้ เขาตกใจมาก ความปลาบปลื้มที่ได้ตราพระราชลัญจกรเมื่อครู่หายสิ้นไปในทันที การจะได้ครอบครองตราพระราชลัญจกรหรือไม่นั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อเขามากนัก แต่การที่สารลับของกองทัพถูกถอดความได้นี่จึงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
“ทำไมหลี่จิ้งถึงยังกล้าเคลื่อนพลภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ช่างไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย ใครกันที่อุกอาจเช่นนี้”
“กราบทูลฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมทราบมาเป็นฝีมือของเยี่ยถัวแห่งแคว้นคังที่ทำการปลอมแปลงหนังสือคำสั่ง ดูเหมือนว่าต้องการที่จะรู้อะไรบางอย่างจากอวิ๋นโหว แต่อวิ๋นโหวไม่ได้บอก กระหม่อมจึงไม่ได้ถามต่อ แต่มีเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งที่จะต้องกราบทูล นั่นคือกระหม่อมได้เขียนสารลับชุดใหม่ขึ้นหนึ่งชุด ทหารต้าถังเราไม่ต้องกังวลกับการถูกถอดความสารลับอีกต่อไป”
เมื่อหงเฉิงคิดถึงเรื่องนี้ก็เกิดความได้ใจขึ้น คุณงามความชอบอันยิ่งใหญ่ อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการ หลี่จิ้งไม่กล้ารับ ทำให้เขาได้กำไรอย่างสบายๆ เพียงแต่เมื่อคิดถึงเงื่อนไขของอวิ๋นเยี่ย จิตใจของหงเฉิงก็ยังมีเลือดไหลอยู่ ห้าพันก้วนเชียวนะ เงินที่ตนเองสะสมมาค่อนชีวิตก็เปลี่ยนเป็นแซ่อวิ๋นด้วยประการนี้
หลี่ซื่อหมินก้มหน้ามองไปที่หงเฉิง แล้วมองดูตราหยกในมือ ถามหงเฉิงว่า “เจ้าเสียเงินไปกับสารลับชุดนี้เท่าไร”
หงเฉิงที่กำลังเศร้าโศกไม่แม้แต่จะคิดก็ตอบอย่างทันควัน “ห้าพันก้วน เขาเรียกห้าพันก้วน” เมื่อพูดจบก็รู้สึกว่าไม่ถูก จึงรีบหมอบราบกับพื้นสารภาพผิด
“เป็นลายมือของอวิ๋นเยี่ยจริงๆ เช่นนั้นสารลับชุดนี้ก็คงเชื่อถือได้ ทำให้เรามั่นใจได้มากกว่าที่เจ้าเขียนเองเสียอีก เพียงแต่นี่จะไม่เท่ากับว่าความลับทั้งหมดของกองทัพเราต่อไปก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของเขาได้อย่างนั้นหรือ” เห็นหลี่ซื่อหมินไม่พิโรธ หงเฉิงก็รู้ว่าเรื่องนี้ก็ควรปล่อยผ่านไปอย่างคลุมเครือเช่นนี้ เมื่อได้ยินหลี่ซื่อหมินถามขึ้น จึงตั้งใจยืดอกขึ้นและพูดว่า “ขอฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวล กระหม่อมรับประกันว่า ความหมายของสารลับนี้นอกจากกระหม่อมแล้วไม่มีใครสามารถถอดความได้ แม้แต่อวิ๋นโหวเองก็ทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นหงเฉิงที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม หากหลี่ซื่อหมินเป็นคนที่ไม่เข้าใจข้ารับใช้คนนี้ คงสั่งให้คนลากออกไปตัดศีรษะแล้ว ดังนั้นจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ถามว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
“กระหม่อมได้เรียนรู้วิธีการอย่างหนึ่งจากอวิ๋นโหวซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงสารลับได้ร้อยแปดพันเก้า แม้ว่าอวิ๋นโหวจะฉลาดปราดเปรื่อง แต่หากต้องการที่จะถอดความสารลับของกระหม่อม กระหม่อมขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะก่อนที่จะรวมข้อมูลของสารลับชุดนี้ จะต้องมีหนังสือเล่มหนึ่งก่อน”
“บัดซบ เพียงแค่น้ำหมึกไม่กี่หยดในท้องเจ้า สามารถรอดพ้นจากสายตาของอวิ๋นเยี่ยได้หรือ นอกเหนือจากตำราปฐมวัยไม่กี่เล่มนั้นแล้ว เจ้าเคยอ่านหนังสืออีกมากมายอย่างนั้นหรือ” หลี่ซื่อหมินไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เขาคิดว่าหงเฉิงคงต้องถูกอวิ๋นเยี่ยหลอกอีกอย่างแน่นอน
“ฝ่าบาท หนังสือเล่มนี้ยังไม่ปรากฏขึ้น กระหม่อมเตรียมจะเขียนตำราขึ้นหนึ่งเล่ม”
หลี่ซื่อหมินวิงเวียนศีรษะขึ้นในทันใด พวกซื่อบื้อที่มีความรู้เพียงน้อยนิดคิดจะเขียนหนังสือหรือ
“เจ้าคิดจะเขียนหนังสืออะไร จะเขียนอย่างไร”
——
[1] ม้าอูหย่า คือ ม้าที่มีขนดำขลับทั้งตัว มีเพียงกีบเท้าสี่เท้าที่เป็นสีขาวราวหิมะ เป็นม้าศึกประเภทหนึ่งที่มีชื่อสียง ในสมัยฉ้อปาอ๋องถือเป็นม้าศึกที่แข็งแกร่งที่สุด