เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 53 ความลับของศีรษะคน
นางถึงกับหลับไปแล้ว น่ารื่อมู่ที่เมื่อครู่ยังกะพริบดวงตากลมโตเพื่อยั่วยวนตัวเองอยู่ตอนนี้กลับหลับสนิทไปแล้ว นี่มันอะไรกัน อวิ๋นเยี่ยเกาศีรษะแล้วมองน่ารื่อมู่ซึ่งกำลังนอนหลับฝันหวาน คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ยั่วยวนเจ้าบ่าวเพียงหนึ่งนาทีในคืนวันแต่งงานแล้วหลับไป นางไม่รู้หรือว่ายังไม่ได้ทำเรื่องสำคัญอย่างอื่นอีกที่ต้องทำต่อจากนี้
อวิ๋นเยี่ยมุดเข้าไปในผ้าห่มแล้วถอนหายใจยาว หันไปมองใบหน้าที่ยังคงแดงก่ำอยู่ข้างๆ ยังไม่เรียกว่าสวย ผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ดวงตาคู่นั้นใสสะอาดเหมือนสระน้ำในฤดูใบไม้ผลิ สามารถมองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าครามและเมฆสีขาวจากข้างในนั้น สิ่งเดียวที่มองไม่เห็นก็คือความสับสนวุ่นวายของโลกใบนี้
อวิ๋นเยี่ยหยิบปอยผมที่อยู่ข้างหน้าผากนาง แล้วใช้ปอยผมนั้นแหย่เข้าไปในรูจมูกของนาง นางกำมือขยี้จมูกไปมา ทั้งยังดึงผ้าห่มมาห่มให้แน่นขึ้นอีก ในตอนนี้เองที่อวิ๋นเยี่ยนึกขึ้นได้ว่านางอายุเพียงสิบสี่ปี
หลายวันก่อนขณะที่อวิ๋นเยี่ยนั่งนับกาลาฮั่นที่อยู่ในอกเสื้อจึงคำนวณอายุของนางได้ กระดูกข้อต่อของแกะสิบสี่ตัวซึ่งถูกนางนำไปเล่นจนดำขลับ ด้านนอกดูเหมือนว่ามันจะถูกปกคลุมด้วยหยกเหลวสีน้ำตาลอยู่หนึ่งชั้น ในตำนานกล่าวกันว่า หยกที่ดีที่สุดจะต้องขัดด้วยมือของหญิงสาวเท่านั้น มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถยกระดับคุณภาพของหยกได้ หยกชิ้นนั้นของอวิ๋นเยี่ยที่ถูกแขวนไว้บนคอของน่ารื่อมู่ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าอีกหลายสิบปีข้างหน้ามันจะมีค่ามากกว่านี้มาหรือไม่
อวิ๋นเยี่ยตบหน้าตัวเองเบาๆ นี่มันความคิดอะไรกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้ตนเกิดความใคร่เป็นอย่างมากก็ควรต้องตั้งสติให้ดี เช่นนั้นก็ไม่ควรจะมีความคิดประหลาดเช่นนี้ เด็กหญิงอายุสิบสี่ปีในยุคปัจจุบันกำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้สิ แต่ไม่ไล่ต้อนแกะทุกวันเป็นแน่ และไม่ได้เผชิญหน้ากับความตายได้ตลอดเวลาด้วย
เขาทำตัวเหมือนสัตว์ป่าไม่ลง จะลงมือทำเรื่องนั้นไม่ได้จริงๆ แม้ว่าหญิงบนทุ่งหญ้าจะแก่เกินวัย ร่างกายก็มีพัฒนาการอยู่ในระดับหนึ่ง ทุกครั้งที่เกิดความใคร่ขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยก็จะเกิดความรู้สึกผิดบาปอย่างร้ายแรง การให้การศึกษาภายใต้แนวคิดความปรองดองในสังคมนั้นถือว่าประสบผลสำเร็จในตัวเขาเป็นอย่างมาก
น่ารื่อมู่นอนหลับอย่างเป็นสุขมาก แต่อวิ๋นเยี่ยนอนอย่างทรมานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน่ารื่อมู่หลับจนถึงเที่ยงคืน ขาข้างหนึ่งยื่นออกมาพาดไว้ที่ท้องของเขา จึงยิ่งเหมือนจะเอาชีวิตของอวิ๋นเยี่ย พยายามฝืนนำขาของนางซุกกลับเข้าไปในผ้าห่ม ในหัวคิดถึงซินเย่ว์อย่างสุดชีวิตเท่านั้นจึงได้ผ่านพ้นมาได้
ไม่มีเสียงไก่ขันบนทุ่งหญ้า แต่น่ารื่อมู่ก็ตื่นขึ้นมาได้ตรงเวลา ในเวลานี้ดวงดาวยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้า อวิ๋นเยี่ยที่ขอบตาดำคล้ำไม่รู้ว่าใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของนางมาจากไหน มีเสียงดังสวบสาบ ครั้นสวมเสื้อผ้าเสร็จน่ารื่อมู่ก็หอมแก้มอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แล้วเปิดม่านด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข เดินออกไปประหนึ่งแม่ทัพใหญ่เพิ่งชนะศึก
เทียนสีแดงในกระโจมยังไหม้ไม่หมด กำลังส่องแสงวูบวาบจวนจะดับ ไม่รู้ว่าฮ่วนเหนียงเข้ามาเมื่อไหร่กัน นางยิ้มตาหยีแล้วถามว่า “นายท่าน เมื่อคืนนอนหลับสนิทดีหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยความโกรธว่า “ดีบ้าอะไรกัน ข้าไม่ได้นอนทั้งคืน พวกเจ้าเล่นตลกอะไรกัน”
ฮ่วนเหนียงเอามือป้องปากด้วยความตกใจและพูดว่า “นายท่าน ท่านเองก็ควรห่วงสุขภาพของตัวเองด้วย คนหนุ่มสาวมีความต้องการมากจนไม่รู้จักหักห้ามใจเช่นนี้ไม่ดีนะ” เมื่อพูดจบก็เหล่มองบนเตียง
อวิ๋นเยี่ยกระโดดลุกขึ้นยืน เปิดผ้าห่มออก แล้วพูดกับฮ่วนเหนียงว่า “อายุปูนนี้แล้วคิดอะไรของเจ้ากัน เมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”
เมื่อมองดูเตียงที่สะอาดสะอ้าน ฮ่วนเหนียงสงสัยมากว่า “น่ารื่อมู่บอกข้าว่าเมื่อคืนนี้นางนอนกับท่านนี่”
“ใช่ นอนกับข้า ก็เพียงแค่นอนเท่านั้น พอขึ้นเตียงนางก็นอนหลับเป็นตายจนฟ้าสาง กลางดึกยังแย่งผ้าห่มของข้าด้วย ข้าต้องนอนแช่แข็งหนาวอยู่ค่อนคืน คราวหน้าความคิดที่ไม่มีราคาเช่นนี้ก็ทำให้น้อยๆ ลงหน่อย ข้าจะได้ถูกแช่แข็งน้อยลงอีกสองครั้ง” อวิ๋นเยี่ยที่ตื่นมาในตอนเช้ารู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง
ฮ่วนเหนียงเบิกตาโตมองขึ้นๆ ลงๆ พิจารณาอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมหยุด ดูเหมือนว่าจะเห็นรอยอะไรบางอย่าง
“อย่าคิดได้คิดเหลวไหล สุขภาพข้ายังแข็งแรงดี ไม่มีโรคอะไรที่บอกใครไม่ได้ เพียงแค่ไม่ต้องการทำอะไรมั่วซั่วเท่านั้น หากข้าต้องการนางจริงก็จะดำเนินการอย่างเปิดเผย การทำเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร พวกเราจะกลับกันพรุ่งนี้ อย่าไปทำร้ายสาวน้อยซื่อบื้อคนนั้นเลย”
ฮ่วนเหนียงก้มหน้าลง ลังเลอยู่เป็นนานก่อนจะพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “นายท่าน ข้าไม่อยากกลับไปฉางอันแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่กับน่ารื่อมู่”
อวิ๋นเยี่ยหยุดมือที่ใส่เสื้อผ้าอยู่ ถามอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากกลับฉางอันมาโดยตลอดหรือ เจ้าวางใจ ในครอบครัวข้ามีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น เจ้าต้องเข้ากันได้ดีกับพวกนางอย่างแน่นอน ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขไม่ดีหรือ”
“นายท่าน ข้าไม่มีญาติอีกแล้ว ข้าเชื่อว่าเมื่อกลับฉางอันท่านก็จะดูแลข้าอย่างดี ข้าใช้ชีวิตอยู่บนทุ่งหญ้าเป็นเวลาสามสิบปีแล้ว คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่นี่แล้ว นอกจากนี้ข้าก็ชอบน่ารื่อมู่มาก อยู่กับนางข้ารู้สึกว่ามีความสุขมาก” ฮ่วนเหนียงยิ้มพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“เจ้ากับน่ารื่อมู่เพิ่งจะอยู่ด้วยกันเพียงหนึ่งเดือน ไม่ทันไรก็ชอบนางถึงเพียงนี้แล้วหรือ”
“คนบางคนอยู่ด้วยกันเพียงสองสามวันก็เสมือนว่าอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว คนบางคนแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตก็ยังคงเหมือนคนแปลกหน้า ข้าเข้าใจความรู้สึกน่ารื่อมู่ดี ดังนั้นจึงหาโอกาสเช่นนี้ให้นาง ใครจะรู้ว่ายายเด็กโง่คนนี้แม้แต่โอกาสสุดท้ายนี้ก็ไม่รู้จักไขว่คว้าไว้ โหวเหยีย อย่าทอดทิ้งสาวโง่คนนี้เลย หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากท่าน นางก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่บนทุ่งหญ้าได้อย่างแน่นอน” ฮ่วนเหนียงดึงชายเสื้อของอวิ๋นเยี่ยพร้อมทั้งอ้อนวอน
“ฮ่วนเหนียง เจ้าต้องคิดให้ดี ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะอยู่ในทุ่งหญ้าหรือกลับฉางอัน ไม่ต้องกังวลเรื่องน่ารื่อมู่ข้าจะจัดการเรื่องนางให้เรียบร้อย เจ้าเพียงพิจารณาเรื่องตัวเองก็พอ”
ฮ่วนเหนียงยืนอยู่ด้านหลังอวิ๋นเยี่ย จับผมขึ้นมาเกล้ามวยผมให้ สวมหมวกให้เขา แล้วจัดที่ปิดหูทั้งสองข้างให้เรียบร้อย เหลือบมองเจ้านาย “ข้าหลงรักทุ่งหญ้าแห่งนี้มานานแล้ว ชอบบรรยากาศที่อิสรเสรีของที่นี่ นายท่าน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า องค์หญิงอยู่ที่นี่เพียงลำพังคงอ้างว้าง ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนนาง”
“ข้าจะทิ้งข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันทั้งหมดไว้ให้เจ้า เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ถ้าหากไม่อยากอยู่ที่ทุ่งหญ้าแล้ว เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงจะมีกองคาราวานมาที่นี่ เจ้าก็ตามพวกเขากลับฉางอันก็แล้วกัน”
อวิ๋นเยี่ยเคารพในการเลือกของคนอื่นเสมอ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ขอเพียงคนผู้นั้นเลือกชัดเจน อวิ๋นเยี่ยก็จะให้เขาได้สมหวัง ในมุมมองของเขา อายุขัยเฉลี่ยของผู้คนในราชวงศ์ถังมีอายุเพียงสามสิบปี หากไม่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่อย่าง ‘อิสระ’ เสียหน่อย ไม่เช่นนั้นชีวิตนี้จะต่างอะไรกับเครื่องดนตรีที่ถูกเคลื่อนย้ายไปมา
น่ารื่อมู่ไปเลี้ยงแกะแล้ว ได้ยินเสียงที่มีความสุขของนางตั้งแต่ไกล เสียงเพลงก็เต็มไปด้วยความสุขและความคาดหวัง
เฉิงฉู่มั่วกลับมาแล้ว หลายวันนี้เขาไล่กวาดล้างชนเผ่าเล็กๆ ที่ไม่ยอมสยบ ตามที่เขาบอก เพียงแค่กองทัพเคลื่อนพลเข้าไปก็กำจัดพวกกบฏทั้งหมดทิ้งอย่างสิ้นซาก เขากลับมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ตั้งใจจะมาคุยกับอวิ๋นเยี่ย แต่สุดท้ายกลับถูกฮ่วนเหนียงห้ามไว้ โดยบอกเขาว่าคืนนี้อวิ๋นโหวไม่สะดวกรับแขกในคืนนี้
ชายที่ปกติแล้วโง่จนต้องให้อวิ๋นเยี่ยผ่ากะโหลกศีรษะของเขาออกเพื่อเติมอะไรหลายๆ อย่างเข้าไป ใครจะรู้ว่าในเรื่องนี้แล้วเขากลับเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเพียงแค่มองแววตาของฮ่วนเหนียง จึงไปหาเหอเซ่าดื่มเหล้าด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้
เมื่อตื่นเช้ามาก็เอาแต่เดินวนเวียนรอบๆ อวิ๋นเยี่ย ยังไม่พอ ยังดมกลิ่นฟุดฟิดบนตัวอวิ๋นเยี่ย แล้วหยิบเส้นผมเส้นหนึ่งจากบนเตียง อ้าปากยิ้มอย่างซื่อบื้อ หันมาหาอวิ๋นเยี่ย มีแสงเปล่งประกายภายในดวงตาที่ยิ้มจนตาหยี ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน
“ทำไมดวงตาเจ้าเปล่งประกายความโง่ออกมา ไม่เจอกันหลายวัน ไปหัดเรียนรู้การเดาความคิดคนมาจากไหน” พูดกับเฉิงฉู่มั่วไม่ต้องอ้อมค้อม ถามด้วยความไม่เข้าใจไปเลยตรงๆ ก็พอ
“เสี่ยวเยี่ย เจ้าเริ่มวางแผนการตั้งแต่เนิ่นๆ เพียงนี้เลยหรือ พ่อข้าบอกข้าว่ากระต่ายมีสามรัง เป็นคนจึงควรมีห้าหรือหกรังจึงจะดี ถ้าหากมีรังที่ถูกทำลายโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ยังมีเหลืออีกสี่รังใช่ไหม ก็ดังคำพูดที่ว่าคนเราหากไม่มองการณ์ไกล เช่นนั้นแล้วภัยก็รออยู่เบื้องหน้า”
“คำพูดเหลวไหล กระต่ายสามรังอะไรของเจ้า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่โอรสสวรรค์ปกครองประเทศ มีความจำเป็นต้องเตรียมตัวด้วยหรือ เฉพาะช่วงเวลาเกิดภัยพิบัติเท่านั้นจึงควรที่จะต้องเตรียมการบ้าง ข้าก็เพียงแต่สงสารน่ารื่อมู่ คนคนเดียวต้องดูแลเด็กที่กำลังจะโตเหล่านั้น ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย จึงได้ให้สถานที่ปักหลักใช้ชีวิตก็เท่านั้นเอง ต่อไปห้ามพูดเรื่องไร้สาระอีก” อวิ๋นเยี่ยสั่งสอนเฉิงฉู่มั่วด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเปี่ยมด้วยคุณธรรม
“พี่ชายเข้าใจดีว่าเจ้าหาเรื่องให้หงเฉิงจากไป ตอนนี้ในกองทัพไม่มีทหารหน่วยข่าวกรอง หากจะเล่นตุกติกอะไรนิดหน่อยก็ไม่มีคนรู้ ต่อไปไม่ว่าใครจะถามอะไร พี่ชายจะบอกว่าเสี่ยวเยี่ยเขานอนกับลูกสาวคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ จึงต้องจ่ายค่าชดเชย”
“ไสหัวไป! พวกปากสว่าง” ปากก็ด่าเฉิงฉู่มั่ว แต่ในใจกลับเป็นห่วง ตนเองทำชัดเจนเกินไปหรือไม่ เรื่องที่แม้แต่คนโง่ก็ยังมองออก มีหรือจะปิดบังถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลี่จิ้ง
สถานที่ดังเช่นทุ่งหญ้านี้เลวร้ายมาก เพียงแค่คิดถึงหลี่จิ้งก็มีทหารองครักษ์วิ่งเข้ามาบอกอวิ๋นเยี่ยว่า ผู้บัญชาการใหญ่มีเรื่องจะปรีกษากับอวิ๋นโหว ขอให้ไปที่กระโจมใหญ่ด้วย
หลังจากที่รีบร้อนมาถึงกระโจมใหญ่ ก็เห็นกล่องผ้าใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงาน มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งบาดเจ็บไปทั้งตัวยืนอยู่หน้าหลี่จิ้ง ถูกทหารองครักษ์ยืนล้อมรอบ พร้อมที่จะตัดศีรษะได้ทุกเมื่อ ชายคนนั้นดูคุ้นเคยมาก เขาก็คือซีถงที่ร้องเพลงกลางสายฝนคนนั้น เห็นเพียงเสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น ผมกระเซิง หน้าสกปรกเปรอะเปื้อน บนไหล่และบนหลังมีเลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด ดูท่าว่าน่าจะผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมากมาแน่
“ซีถง ทำไมจึงเป็นเจ้า เจ้าไม่รู้หรือว่าการบุกค่ายทหารต้องถูกประหาร” หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยคารวะหลี่จิ้งแล้ว จึงรีบร้อนถามซีถง
“ข้าเป็นหนี้ชีวิตอวิ๋นโหวอยู่ ได้ยินว่าเจ้าโจรเยี่ยถัวเคยล่วงเกินอวิ๋นโหว ข้าจึงได้ตามไล่ฆ่าเยี่ยถัวเพียงลำพังเป็นระยะทางพันลี้ ในที่สุดก็ได้สังหารมันด้วยดาบข้า ตั้งใจนำศีรษะเขามาให้อวิ๋นโหวได้ดูโดยเฉพาะ” ไม่เจอกันระยะหนึ่ง ชายคนนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ถูกฟันตั้งหลายดาบแต่ก็ยังคงมีพละกำลังเต็มเปี่ยม ความฮึกเหิมไม่น้อยไปกว่าเมื่อครั้งนั้นเลย
หลี่จิ้งพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ชายคนนี้นำศีรษะคนมาถึงค่ายใหญ่ บอกว่าเขาได้ฆ่าโจรชั่วที่ลอบสังหารอวิ๋นโหวระหว่างทาง ข้าไม่เคยเจอเยี่ยถัวมาก่อน จึงเชิญเจ้ามาเพื่อขอให้เจ้ายืนยันเสียหน่อย”
อวิ๋นเยี่ยเปิดกล่องผ้าออก ด้านในเป็นศีรษะของเยี่ยถัวจริงๆ ขณะที่เยี่ยถัวตายนั้นเจ็บปวดมาก ใบหน้ายับย่นจนมองไม่ออกอยู่แล้ว ศีรษะนั้นถูกตัดออกอย่างรวดเร็ว พื้นผิวหน้าตัดนั้นเรียบกริบมาก ในใจอวิ๋นเยี่ยก็เกิดหวาดระแวง
จึงหันกลับไปถามซีถง “เจ้าเป็นศิษย์สำนักไหน พวกเขายังต้องการรู้อะไร”
ทันทีที่คำพูดของอวิ๋นเยี่ยจบลง องครักษ์ที่ยืนล้อมรอบอยู่ก็รีบเอาดาบวางไว้บนจุดสำคัญบนตัวของซีถง ชายคนนี้ดูเหมือนจะเป็นพวกป่าเถื่อนไม่เข้าใจโลก ขณะเผชิญหน้ากับดาบยาวที่เงาวิบวับห้าหกเล่มยังไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย เพียงแค่อ้าปากหัวเราะเสียงดัง ราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะอวิ๋นเยี่ยที่ไม่เข้าใจความหวังดีของเขา
“ซีถง ช่างเถอะ ต่อหน้าข้าไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ข้าจะบอกเจ้าสองเรื่อง ส่วนเรื่องที่สามจะบอกหลังจากที่เจ้ายอมสารภาพแล้ว ข้อแรก เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยถัว ข้อสอง เยี่ยถัวไม่ต้องให้เจ้าฆ่า เขาก็ต้องตายอยู่แล้ว”
“ข้าลอบจู่โจมเขาจึงสามารถกำจัดเขาได้ต่างหาก !” ซีถงตะโกนเสียงดังใส่