เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 6
นับตั้งแต่เมืองซั่วฟางมีขุนนางทางการแพทย์มาสองคน เมืองจึงมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ที่ชื่อสวี่จิ้งจงทำหน้าที่จัดการความสะอาดของเมืองทั่วทั้งเมือง งานของเขาก็คือไม่อนุญาตให้มีขยะเพิ่มขึ้นในเมืองซั่วฟาง เขาสร้างส้วมเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบส้วม ถ้ามีคนที่ปัสสาวะและอุจจาระเรี่ยราดตามถนน หากถูกจับได้มีการลงโทษเพียงอย่างเดียวคือทำความสะอาดส้วมทั้งหมดจนกว่าจะจับคนต่อไปได้
มีบ่อน้ำหลายสิบแห่งเพิ่มขึ้นในเมืองซั่วฟาง เรื่องการอาบน้ำจึงกลายเป็นประเด็นร้อนทั่วทั้งเมือง ถ้าคุณเดินผมกระเซิงสกปรกมอมแมมอยู่ในเมือง ก็จะมีทหารร่างใหญ่ช่วยอาบน้ำให้คุณ อุปกรณ์เดียวที่พวกเขามีคือแปรงไม้ไผ่ คนที่ถูกจับอาบน้ำต่างส่งเสียงร้องครวญครางเหมือนหมู เขาจะต้องสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ให้สัตว์ป่าเถื่อนเหล่านั้นอาบน้ำให้ตัวเองอีกเป็นแน่
นักพรตซุนได้นำยาผงบางส่วนละลายในน้ำและสาดไปทั่วเมือง จากนั้นชาวบ้านในเมืองพบว่าแมลงวันจำนวนมากในช่วงก่อนลดน้อยลงไปมาก สำหรับเรื่องที่ว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ จะตายสักเท่าไร แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่นักพรตซุนจะต้องพิจารณา
ตั้งแต่อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่าต้นกำเนิดของโรคระบาดคือแมลงวันและยุง ซึ่งหนูนั้นหนีไม่พ้นอยู่แล้ว นักพรตเฒ่าจึงเห็นการกำจัดแมลงวัน ยุงและหนูทั้งหมดที่อยู่บนโลกเป็นหน้าที่ที่สำคัญในชีวิตเขา เริ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดนักพรตเฒ่าจึงดื้อดึงถึงเพียงนี้ หลังจากได้ฟังประวัติความเจ็บปวดของครอบครัวเขาจึงได้รู้ว่า ญาติของเหล่าซุนได้เสียชีวิตไปทีละคนด้วยโรคระบาดร้ายแรงครั้งหนึ่ง สาเหตุที่เขามาเมืองซั่วฟางก็เพื่อเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวที่ฝังลึกที่สุดในใจของเขา
พระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่ามองโลกด้วยเม็ดทราย น้ำหนึ่งหยดมีสิ่งมีชีวิตนับแสน ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยตาตัวเองหรือคำนวณด้วยทฤษฎีแปลกๆ สรุปแล้ว คำพูดสองประโยคนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ อวิ๋นเยี่ยบอกเหล่าซุนว่า ถ้าสามารถหาผลึกคริสตัลที่บริสุทธิ์ได้ เขาพอจะสามารถลองสร้างเครื่องมือที่สามารถมองเห็นวัตถุเล็กๆ ได้ ด้วยประสิทธิภาพของเครื่องมือนี้ เขาจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าอะไรเป็นสาเหตุของโรคระบาด
ด้วยเหตุนี้เหล่าซุนจึงเพิ่มงานอดิเรกขึ้นอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการรวบรวมคริสตัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบคริสตัลใสไม่มีสี
นิสัยคือการปลูกฝัง แม้ว่าเมืองซั่วฟางในตอนนี้ยังคงทรุดโทรม แต่ชาวบ้านที่อาศัยในเมืองก็สัมผัสได้กับการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แม้ว่าเสื้อผ้าจะขาดรุ่งริ่งแต่ก็ไม่เป็นที่ขบขัน ขอเพียงเสื้อผ้าสะอาดก็สามารถเดินหน้าเชิดอกตรงบนถนนได้ ทั้งยังได้โอกาสหัวเราะคนสกปรกที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเมืองอีกด้วย
ชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์ใกล้เมืองซั่วฟางนั้นร่ำรวยมากและพึ่งพาใบบุญของกองทัพ พวกเขาไม่ต้องประสบปัญหาที่ขายวัวและแพะไม่ได้อีกต่อไป ทั้งยังไม่ต้องฆ่าวัวและแพะที่ผอมโซก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึงแล้วทิ้งไว้ในทุ่งหญ้าร้าง พวกมันไม่สามารถทนจนพ้นฤดูหนาวที่ยาวนานได้ แทนที่จะเลี้ยงให้เปลืองเสบียงสู้ฆ่าทิ้งเสียจะดีกว่า ทุกครั้งที่กำจัดพวกมันทิ้งก็เป็นบาดแผลในใจของพวกเขา
ตอนนี้ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าเมืองแล้ว ชาวฮั่นที่ทำปศุสัตว์บางคนถามถึงสาเหตุ จึงได้รู้ว่าพวกเขาสกปรกอาจจะแพร่เชื้อโรคได้
เพื่อสกัดกั้นกองทัพใหญ่ จึงเริ่มจากเมืองซั่วฟางลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิง จากนั้นโยนซากศพของวัวและแพะลงไปในแหล่งต้นน้ำตามแนวแม่น้ำต่างๆ พวกเขาต้องการใช้วิธีการของชาวซยงหนูเพื่อขัดขวางการจู่โจมของกองทัพใหญ่ ข่านเจี๋ยลี่คิดง่ายเกินไปหน่อย เขาไม่รู้ว่าการแพร่เชื้อโรคภายใต้ความหนาวเหน็บในฤดูหนาวทางภาคเหนือนั้นไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย อีกทั้งไม่มีใครต้องการใช้น้ำในฤดูหนาวเพราะน้ำมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ลมหนาวในเดือนแปดไม่เพียงแค่พัดพาความเย็นมา แต่ยังนำแหล่งน้ำประเภทหนึ่งมาให้อีกด้วยซึ่งนั่นก็คือหิมะ
ตอนนี้เหอเซ่ายิ้มจนหุบปากไม่ลง เขาไม่คิดว่าวัวและแพะบนทุ่งหญ้าจะมีราคาถูกเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ถ้าหากอยู่ที่ฉางอันแล้วใช้ผ้าป่านหนึ่งพับแลกวัวหนึ่ง ทางการจะแทรกแซงทันที ไม่เพียงแต่จะยึดวัวของเจ้า แม้แต่ผ้าก็อย่าหวังจะได้คืน ทั้งยังจะถูกคนทั้งฉางอันด่าทออีก ชั่วชีวิตนี้ไม่กล้าเงยหน้าพบปะผู้คนอีก ลูกหลานสามชั่วอายุคนจะพากันโชคร้าย
แต่หากเป็นที่นี่ไม่เป็นไร คนที่มาแลกวัวที่อยู่ข้างหน้านั้นถูกต่อยไปสามครั้งแล้ว ราคาตลาดปัจจุบันคือวัวสามตัวต่อผ้าหนึ่งพับ ชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์ใช้สายตาที่มองดูคนโง่เง่ามองเหอเซ่า เหอเซ่าใช้สายตาที่มองคนที่ถูกปอกลอกมองชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์ ต่างฝ่ายต่างก็ได้ตามที่ต้องการ
ยังไม่ต้องพูดถึงเนื้อวัวเพียงแค่หนังวัวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหอเซ่าตื่นขึ้นมาจากความฝัน ผ้าป่านเพียงห้าร้อยก้วนก็สามารถแลกกับวัวและแพะได้มากมายเพียงนี้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถขนย้ายกลับไปได้ ไม่เช่นนั้นนี่คงเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมในฉางอัน ชาวฮั่นที่ทำปศุสัตว์ห้าสิบคนได้รับการว่าจ้างให้ฆ่าวัวและแพะ ฆ่าตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก ทำทุกวันห้ามหยุด เนื้อวัวชิ้นใหญ่ก็ให้รมควันบนกองฟืน จากนั้นพอกเกลือหนาๆ ปล่อยให้อากาศแห้งบนทุ่งหญ้าพัดให้แห้ง นี่คือเสบียงกองทัพที่ดีที่สุด เนื้อวัวไม่ต้องต้มสุก การดิบๆ จะได้รสชาติที่ยอดเยี่ยม มีเพียงอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่รู้ว่าทหารม้าของเจงกีสข่านก็อาศัยมัน ยังมีนมของม้าศึก ไม่ต้องนำติดตัวไปมากนักก็สามารถเดินทางไกลนับหมื่นลี้ได้และทำศึกได้อย่างไม่ต้องหยุดพัก
ชาวฮั่นไม่คุ้นเคยกับการกินเนื้อวัวและเนื้อแพะทุกวัน ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงบดใบชาให้เป็นผง ผสมไว้ในขนมเปี๊ยะที่ตนเองทำเพื่อเป็นของว่าง
เฉิงฉู่มั่วนั่งยองๆ อยู่บนเก้าอี้กินเนื้อแพะจุ่มอยู่กับอวิ๋นเยี่ย แพะอ้วนๆ ในฤดูใบไม้ร่วงนั้นอร่อยเป็นที่สุดแล้ว ทั้งสองได้กินขาแพะหมดไปแล้วข้างหนึ่ง ดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกเฉิงฉู่มั่วเช็ดปากแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย การค้าดีๆ เช่นนี้เหตุใดจึงมอบให้กับคนอื่น พวกพี่น้องทำกันเองไม่ดีกว่าหรือ”
“กินของเจ้าไป เจ้าตั้งใจทำศึกให้ดีก็พอ เรื่องอื่นยังไม่ต้องให้เจ้ามากังวล เจ้าต้องกลับบ้านครบสามสิบสองอย่างสมบูรณ์จึงจะเป็นเรื่องสำคัญ เงินเพียงไม่กี่สตางค์เจ้าก็สนใจด้วยหรือ ขณะที่ข้าจะมาที่นี่ป้าสะใภ้บอกให้ข้าต้องดูแลเจ้าให้ดี ห้ามไม่ให้เจ้าเป็นอะไรแม้แต่น้อย หากเจ้าเกิดโชคร้าย จุดจบข้าก็ไม่ต่างไปจากเจ้าเสียเท่าไร”
“ข้าทนเห็นเจ้าอ้วนเหอวางมาดต่อหน้าข้าไม่ไหว วันๆ เอาแต่พูดเรื่องผ้าป่านหนึ่งพับแลกกับวัวสามตัว ชวนให้คนฟังรำคาญ”
ดูให้ดี นี่คือเสบียงของกองทัพ ขอเพียงแม่ทัพหลายๆ ท่านนั้นเห็นดีด้วยก็จะขยายออกไปให้ทั่วทั้งกองทัพหากให้พวกเราสามตระกูลดูแลขนมเปี๊ยะอัดก้อน เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะอนุญาตให้ส่งมอบเนื้อให้กับพวกเราหรือ ที่ฉางอันข้าติดค้างหนี้น้ำใจครั้งใหญ่ต่อเหล่าเหออยู่ นำการค้านี้มาตอนแทน ก็เหมือนกับการใช้ประโยชน์จากของที่ไร้ค่า”
มีของดีต้องแบ่งสามส่วน นี่เป็นเหตุผลที่อวิ๋นเยี่ยเข้าใจมานานแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่คนๆ หนึ่งจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดในใต้หล้านี้ไว้คนเดียว กินอาหารเพียงคนเดียวฟ้าดินจะลงโทษ อวิ๋นเยี่ยประสบด้วยตนเองมาแล้ว ในแผนกจะได้ผลประโยชน์อย่างหนึ่งที่เรียกว่า พรีเมียม ก็คือการที่คุณไปซื้อของในนามบริษัท เนื่องจากซื้อปริมาณมากจึงมีราคาต่ำกว่าราคาตลาด ราคาส่วนต่างนี้แน่นอนว่าต้องเป็นผลประโยชน์ต่อพนักงานจัดซื้อ ผู้ขายเองก็ชอบ พนักงานจัดซื้อคนก่อนของบริษัททุกครั้งซื้อของกลับมา มักจะนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาฝากเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ ปลาหางยาวหลายกิโลกรัม ไม่มีขาดมือ ทุกคนยิ้มร่ามีความสุข ต่อมาเปลี่ยนเจ้าหน้าที่จัดซื้อคนใหม่ พี่ชายคนนี้ชอบไปไหนมาไหนเพียงคนเดียวเสมอ สุดท้ายไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนเปิดโปงความลับที่แต่ละคนก็รู้อยู่แก่ใจออกไป ดังนั้นพี่ชายเจ้าหน้าที่จัดซื้อคนนี้จึงชื่อฉาวโฉ่ทั่วบริษัทและต้องชดใช้เงินเป็นจำนวนมาก ไม่มีทางเลือกจึงต้องย้ายไปยังแผนกอื่น สุดท้ายไปอยู่แผนกใหม่ก็อยู่ไม่ได้อีก ก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะมาถึงราชวงศ์ถังไม่นานนักเขายังคงเป็นพนักงานทั่วไปในบริษัทอยู่เหมือนเดิม ชีวิตต้องพังลงเพราะโลภเก็บไว้แต่ผู้เดียว
ฐานะอวิ๋นเยี่ยในยุคปัจจุบันไม่สามารถเทียได้กับฐานะเขาในตอนนี้ แต่หลักการและเหตุผลนั้นเหมือนกัน และใช้ได้กับทุกระดับชั้น
จุดแข็งของเฉิงฉู่มั่วก็คือการทำศึก ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิวและตระกูลอวิ๋นภายหน้ายังต้องพึ่งพาเขาในการยืนหยัดในกองทัพ ดังนั้นเหล่าเฉิงจึงคาดหวังในตัวเขาสูงมาก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้านไม่เคยให้เขาต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว ประการแรกก็เพื่อให้เข้ามีใจมุ่งมั่นในการศึก ประการที่สองหากโชคร้ายก็ยังมีผู้สืบทอดต่อ เพื่อสานต่องานในวันหน้า
หลังจากเซวียว่านเช่อได้ดื่มเหล้าลับของตระกูลอวิ๋น ก็ดูถูกเหล้าประเภทอื่นๆ และบอกว่าพวกนั้นเป็นน้ำ ตามที่เขาบอกหากวันหนึ่งไม่ได้ดื่มสองอึกจะรู้สึกกระสับกระส่าย โรคชนิดนี้มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายไปทั่วเมืองซั่วฟาง โดยเฉพาะกับขุนนางระดับสูง แต่ละคนป่วยกันอย่างรุนแรง เหล้าที่ที่บ้านส่งมาในระยะหลังนี้ถูกนำมาให้ไต้เท้าเหล่านี้ดื่มแก้อาการติดเหล้า ทำจนเฉิงฉู่มั่วบ่นกระปอดกระแปดอยู่บ่อยๆ
เดือนแปดในเขตซีเป่ย หิมะโปรยปรายแล้ว ในช่วงเวลานี้ของแดนกวนจงยังเป็นช่วงที่สวมเสื้อตัวเดียวได้ แต่ในเมืองซั่วฟางเริ่มสวมเสื้อหนังกันแล้ว ในช่วงกลางคืนนั้นหนาวเหน็บมาก เหอเซ่าด้านหนึ่งก็วางท่า ด้านหนึ่งก็ตรวจดูกุนเชียงที่กองอยู่เต็มห้อง ชุดก่อนหน้าถูกเหล่าหนิวแย่งเอาไป นอกจากนี้เขายังเก็บขนมเปี๊ยะแห้งของตระกูลอวิ๋นไว้เต็มคลังสินค้า โดยบอกว่าเตรียมไว้จะได้อุ่นใจ
ชุดนี้เตรียมไว้ให้ไฉเซ่า กั๋วกงได้เตรียมเงินไว้นานแล้ว เป็นตั๋วเงินเพียงหนึ่งใบ เหอเซ่าเพียงแค่กลับไปที่ กรมพลเรือนในเมืองฉางอัน ก็สามารถเบิกเงินได้ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว อย่างไรเสียที่เมืองซั่วฟางนี้เงินก็ไม่มีประโยชน์สักเท่าไร ก้อนเงินหนึ่งก้อนยังใช้ยากกว่าผ้าป่านหนึ่งพับ หรือเทียบไม่ได้แม้กระทั่งหม้อใบหนึ่ง หากมีสาวงามอยู่ในมือ ชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์เหล่านี้ก็ยอมรับได้ สิ่งที่พวกเขาไม่สนใจเลยก็คือเงิน