เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 7
เฉิงฉู่มั่วถือโอกาสที่แสงจันทร์ลาพ้นขอบฟ้าแล้ว ถือถุงอาหารจำนวนมากออกมา พี่น้องของเขาไม่ได้กินข้าวอิ่มท้องตั้งแต่มาถึงเมืองซั่วฟาง เขามักจะไปหาอวิ๋นเยี่ยเพื่อหาของกิน แม้ว่าเขาไม่สามารถดูแลปากท้องผู้ใต้บังคับบัญชาหนึ่งพันกว่าคน แต่พี่น้องที่เฝ้ายามกะกางคืนมักจะได้รับอาหารที่คาดไม่ถึงเสมอ
ห้องของเหอเซ่ายังคงสว่างอยู่ อวิ๋นเยี่ยจึงเดินเข้าไปและเปิดประตู เห็นเพียงคนอ้วนนั่งขดอยู่ข้างๆ อ่างกระถางเตาไฟ ใช้เหล็กสามง่ามอันเล็กย่างกุนเชียง กุนเชียงที่นุ่มและมัน น้ำมันหยดใหญ่ๆ ไหลเยิ้มออกจากรูเล็กๆ ที่ตั้งใจเจาะไว้บนกุนเชียง หยดลงในกระถางเตาไฟ ทำให้เปลวไฟสีส้มแดงลุกพรึบขึ้นเป็นครั้งคราว เหอเซ่าพลิกย่างกุนเชียงอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ตัวว่าคนที่เปิดประตูเดินเข้าคืออวิ๋นเยี่ย ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่อาหาร อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้รบกวนเขาและยืนกอดอกอยู่ตรงนั้นเพื่อดูเขาย่างกุนเชียง
เหอเซ่าหยิบกุนเชียงแนบชิดจมูกเพื่อดมกลิ่นหอมและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็คว้าถุงเหล้าที่อยู่ข้างๆ มือขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกแล้วกัดกุนเชียงหนึ่งคำ หลับตาเคี้ยวอย่างเคลิบเคลิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะมีน้ำใจกับอาหารเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเห็นเขากินทิ้งกินขว้างมาก่อน แม้แต่ในร้านอาหารที่เมืองฉางอัน เขามักจะกินข้าวจนไม่เหลือสักเม็ดและแม้แต่น้ำซุปก็ไม่เหลือ มีสองครั้ง หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยทานอาหารร่วมกับเขา เขายังเหล่มองเศษผักที่เหลืออยู่ในจานข้าวของอวิ๋นเยี่ย บ่งบอกว่าอยากจะกระโจนเข้าไปกินให้หมดอย่างชัดเจน
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขาหาเหล่าเหอให้ทำเรื่องนี้ช่างเหมาะสมจริงๆ เขาไม่ปฏิเสธอาหารใดๆ เลย ขอเพียงแค่เป็นของกินเขาก็สามารถจับใส่กระเพาะอาหารได้ ช่างเป็นคนที่มีโภชนาการที่ดีคนหนึ่ง สำหรับเรื่องอาหาร ได้ยินเขาบ่นเพียงครั้งเดียวนั่นก็คือขนมเปี๊ยะในกองทัพแห้งและแข็งเกินไป มักจะขูดหลอดลม กลืนลำบาก ถ้าหากมีน้ำซุปมาแกล้มมันจะอร่อยมากเลย คุณชายผู้รากมากดีจอมเสเพล บ้าผู้หญิงคนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตที่ลำบากยากเข็ญได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน นี่ก็เป็นจุดแข็งที่มีไม่มากของผู้ชายคนนี้
ชิ้นส่วนต่างๆ ของสัตว์ที่สามารถนำมาใช้ได้เขาก็ไม่เคยละทิ้ง โดยทั่วไปชาวต้าถังจะไม่กินอวัยวะภายในของสัตว์ โดยเฉพาะคนเลี้ยงสัตว์ พวกเขาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่สะอาด หากไม่โยนทิ้งก็คือนำไปเลี้ยงสุนัข เหล่าเหอเชื่ออย่างดื้อดึงว่าสิ่งเหล่านี้สามารถกินได้ ก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน จึงทำหม้อไฟเครื่องในวัว เมื่อดมกลิ่น ดูสีสันแล้วอวิ๋นเยี่ยแม้ต้องหิวตายก็จะไม่กินอย่างเด็ดขาด ท่ามกลางสายตาของสาธารณชนเหล่าเหอตักขึ้นมาชามใหญ่ๆ กินลงไปอย่างเอร็ดอร่อย โดยหน้าไม่เปลี่ยนสีและไม่หวาดกลัว ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้วยต่างก็ตกใจกันยกใหญ่
ตามที่เขาร้องขออย่างหนักแน่นอวัยวะภายในทั้งหมดได้รับการเก็บรักษาไว้ เมื่อมองดูกองอวัยวะภายในของวัวและแพะเหล่าเหอก็ร้อนรนดั่งโดนไฟเผา ไม่มีใครชอบซุปเครื่องในเนื้อวัวที่เขาทำ แม้แต่ให้โดยไม่คิดเงินก็ไม่มีใครเอา โชคดีที่อากาศหนาวเย็น เก็บไว้สักสองสามวันก็ยังไม่ถึงกับเน่าเสีย
หลังจากที่ได้รู้ว่าเหล่าเหอได้กินซุปเครื่องในซึ่งถึงขั้นที่จะฆ่าคนได้ ก็อาเจียนจนหน้ามืดตามัว แม้แต่น้ำดีก็ยังอาเจียนออกมาหมด อวิ๋นเยี่ยไปที่ห้องเก็บเครื่องในวัวและแพะของเขา เอามือปิดจมูกเลือกบางชิ้นส่วนไป เมื่อกลับไปยังที่พักของตัวเอง เหล่าเหอยืนพิงกรอบประตูด้วยอาการอ้อนเปลี้ยเพลียแรง ดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร เขาพบว่าหลังจากทำความสะอาดเครื่องในวัวแล้ว อวิ๋นเยี่ยได้ใส่ต้นหอมและหัวไชเท้าลงไปต้มด้วยกัน ไม่นานนักซุปเครื่องในหนึ่งหม้อที่น้ำซุปใสๆ และมีกลิ่นหอมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาไม่ลังเลเลยที่จะตักซุปเครื่องในขึ้นมาหนึ่งชาม ซุปเครื่องในเพียงหนึ่งชามที่ทำให้เหล่ากินจนน้ำมูกน้ำตาไหล กระชากคอเสื้ออวิ๋นเยี่ยแล้วต่อว่าว่า เจ้ามีวิธีปรุงที่อร่อยกลับไม่ทำ รอให้ตัวเองต้องหน้าแตกก่อนจึงค่อยทำ ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
เหล่าเหอกินกุนเชียงคำเล็กๆ ทีละคำด้วยความเสียดาย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนในห้อง ครั้นเงยหน้าขึ้นมองจึงพบว่าอวิ๋นเยี่ยยืนกอดอกดูเขากินอยู่ตรงนั้น รู้สึกค่อนข้างอาย เพราะเขารู้ว่าขณะที่ตัวเองกำลังกินมีอากัปกิริยาอย่างไร
“เจ้ามานี่ได้ครู่หนึ่งแล้วหรือ”
“ตอนที่เจ้ากำลังเลียน้ำมันบนกุนเชียงแล้วลวกปากข้าก็มาถึงแล้ว”
“ห้ามพูดออกไปนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าปิดปากเสีย”
“เพียงแค่กิริยาตอนกินอาหารของเจ้า ทั่วทั้งเมืองซั่วฟางใครๆ ก็รู้กันหมด เจ้าคิดจะฆ่าปิดปากกองทัพต้าถังที่อยู่ที่นี่ให้หมดทุกคนหรือ”
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ข้าสู้ไม่ไหว อยากจะหัวเราะเยาะก็เชิญ อย่างไรเสียข้าก็มีกิริยาการกินเช่นนี้ล่ะ จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้แล้ว”
เมื่อพูดจบ ก็ส่งถุงเหล้าให้อวิ๋นเยี่ย ดึงเขาให้นั่งลงด้านข้างกระถางเตาไฟ แล้วหยิบแท่งเหล็กเล็กๆ ขึ้นมาเสียบกุนเชียงอันใหม่แล้วย่างต่ออีก
“เหล่าเหอ ทำไมเจ้าต้องทรมานตัวเองเช่นนี้ด้วย เจ้าให้คนรับใช้ทั้งหมดที่บ้านส่งมาให้ออกไปขนผ้าและเสบียง แต่ไม่เหลือไว้ข้างกายสองสามคนเพื่อดูแลเจ้า อย่างไรเสียก็อยู่อย่างสุขสบายจนเป็นนิสัยเสีย จะทนความยากลำบากนี้ได้หรือ” วันนี้อวิ๋นเยี่ยจึงได้รู้ว่าข้างกายเหล่าเหอไม่มีคนรับใช้เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว ทั้งหมดถูกสั่งให้ไปขนส่งหนังวัวและหนังแพะกลับเมืองหลวง จากนั้นถือโอกาสขนผ้าฝ้ายกลับมาบางส่วน พวกเขาไม่ต้องการผ้าไหม ของสิ่งนั้นไม่เป็นที่ต้องการของตลาดในเมืองซั่วฟาง นี่เป็นเรื่องที่เหล่าเหอสั่งกำชับอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
เมื่อเห็นเหล่าเหอไม่พูดอะไร อวิ๋นเยี่ยจึงพูดขึ้นอีกว่า “องครักษ์ของที่บ้านไม่ใช่แรงงาน เจ้าไม่ควรให้พวกเขาทำงานของพวกแรงงาน ตอนนี้เครื่องในวัวและแพะต่างก็ถูกทหารในกองทัพกินจนหมดเกลี้ยง เจ้าไม่มีอะไรต้องทำแล้ว การหยุดพักให้ดีน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกกว่านะ เงินนั้นหาได้ไม่มีวันหมด เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน”
“น้องชาย เจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัว ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นเจ้ากำลังเฟื่องฟู การค้าที่บ้านก็ทำอย่างเป็นความลับ สำนักศึกษาก็เป็นสถานที่ที่ดีในการแสวงหาชื่อเสียง ไม่ขาดแคลนทั้งเงินทองและเสบียงอาหาร เจ้าก็แค่ไม่อยากเดินเข้าสู่เส้นทางในวงราชการเท่านั้นเอง หากคิดจะทำ ตำแหน่งของเจ้าในตอนนี้คงสูงส่งมากแล้ว จะปีนขึ้นไปอีกสักหน่อยก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตระกูลก็จะหยั่งรากลึกได้เป็นร้อยปี ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเหอข้าจะสามารถเปรียบเทียบได้ เจ้าไม่รู้สถานการณ์ที่บ้านข้า การออกมาครั้งนี้ข้าได้ใช้ไพ่ใบสุดท้ายที่เหลืออยู่เล็กน้อยออกมาจนหมด ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะ เครื่องประดับของพี่สะใภ้เจ้าก็นำไปจำนำแล้ว หากการค้าครั้งนี้ล้มเหลวข้าก็เหลือแต่ความตายสถานเดียว แต่โชคดีที่น้องชายสายตาเฉียบแหลม คาดการณ์ได้แม่นยำ คราวนี้ส่งกลับไปหนึ่งรอบ เพียงแค่หนังวัวและหนังแพะที่ส่งกลับไปก็สามารถขายได้สองสามพันก้วนในฉางอันแล้ว คราวนี้ที่บ้านก็จะได้สบายใจได้และข้าก็โล่งใจ สินค้าเหล่านั้นสำคัญกว่าชีวิตของข้ามากนัก องครักษ์ที่บ้านก็เป็นคนชราทั้งนั้น รู้จักหนักเบา ความรู้สึกของชีวิตที่ฟันฝ่าความเป็นความตายมาหลายทศวรรษ พวกเขาไม่บ่นแน่นอน”
เป็นผู้ชายที่เห็นว่าครอบครัวนั้นสำคัญกว่าชีวิตตนเองอีกคนหนึ่งแล้ว อวิ๋นเยี่ยนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำหลังจากมาถึงราชวงศ์ถัง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเจื่อนๆ แผนการทั้งหลายที่ตนเองพยายามทำด้วยความยากลำบากพื้นฐานเดิมนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากเหล่าเหอ น่าขำที่เมื่อครู่เขาเพิ่งจะพยายามเกลี้ยกล่อมเหล่าเหออยู่เป็นเวลานาน
ชายทั้งสองคนที่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ได้คิดที่จะพูดคุยอะไรอีก เพียงแต่กุนเชียงที่อยู่บนแท่งเหล็กของเหล่าถูกย่างจนเกิดเสียงปริแตกเท่านั้น
ดวงจันทร์ได้ขึ้นสู่ท้องฟ้า กุนเชียงก็กินหมดแล้ว เหล่าเหอส่งอวิ๋นเยี่ยออกนอกห้อง ทั้งคู่มองขึ้นไปบนฟ้าอย่างค่อนข้างเศร้า ถ้าเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง อวิ๋นเยี่ยก็หวังว่าความรู้สึกนี้จะคงอยู่ต่อไป แต่น่าเสียดายที่ข้างๆ คนอ้วนหน้ากลมเหมือนซาลาเปา
มีคนกำลังเป่าแตรอยู่ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าเฉาเอ่อร์ แรกเริ่มนั้นเป็นของต้นกกสองใบ ต่อมาค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างลักษณะของขลุ่ย เสียงแห่งความโศกเศร้าทำให้คนมีความรู้สึกปวดใจเจียนตาย ไม่ดีเลย “หูเจียสือปาไพ” ไม่ใช่เพลงที่เป็นมงคล ตอนนี้เมืองซั่วฟางไม่ได้ต้องการความทุกข์เศร้า ไม่ต้องการความรู้สึกที่ซับซ้อน ที่ต้องการคือความห้าวหาญของทหารที่จะออกรบ อย่างเช่นเพลงปลุกระดมของฮิตเลอร์นั้นก็ไม่เลว แม้เป็นทำนองเพลงของ “กุ่ยจื่อจิ้นชุน” ก็ดีกว่าเพลง “หูเจียสือปาไพ” ที่ชวนให้คนฟังเจ็บปวดแทบขาดใจนี้มาก
ที่ลานข้างๆ นี้เอง สวี่จิ้งจงผู้น่ารังเกียจคือผู้ที่เป่าเพลงนี้ เขากำลังสงสารเห็นใจตัวเองหรือตั้งใจดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นโดยมีเป้าหมายแอบแฝง
ไม่รู้แล้ว ถือว่าเขาประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จจนดึงดูดใจอวิ๋นโหวเหยียผู้อยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
ด้วยท่าทีที่สง่างามมาก ยกเว้นหน้าท้องอ้วนๆ ที่น่าเกลียดนิดหน่อย อย่างอื่นถือว่าดีหมด ยืนพิงเงากำแพงอยู่ในลานบ้าน ผมที่สยายอยู่ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งพอดี เมื่อแสงจันทร์สาดส่อง เหมือนผีซาดาโกะชัดๆ เฉาเอ่อร์ก็ส่งเสียงคล้ายผีครวญ จะไม่ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวนได้อย่างไร
“เจ้าคิดว่าเจ้าน่าสังเวชอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าข้าดึงเจ้ามาที่เมืองซั่วฟางเพราะตั้งใจจะหาเรื่องเจ้าใช่หรือไม่” เดิมอวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะหันหลังและเดินกลับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูด
“ในตอนกลางวันข้าน้อยยังได้ล่องแพอยู่กับครอบครัว ตกดึกก็ได้รับคำสั่งทางทหารให้มายังดินแดนรกร้างแห่งนี้ ชะตากรรมที่น่าประหลาดใจของข้าน้อยนั้นยากจะเจอได้ในต้าถัง” สวี่จิ้งจงหยุดเป่าเฉาเอ่อร์ยิ้มพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“ข้าเคยได้ยินบทกวีบทหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามเขา
“หากพูดถึงกลยุทธ์การรบทัพจับศึก ข้าน้อยย่อมสู้อวิ๋นโหวไม่ได้ แต่หากพูดถึงโคลงฉันท์กาพย์กลอน สวี่จิ้งจงมั่นใจว่าไม่เป็นสองรองใคร” ตอบอย่างมาดมั่น เขามีความมั่นใจนี้
“มีชายคนหนึ่งที่รู้สึกสงสารเวทนาตัวเองเหมือนกับเจ้า ได้เขียนบทกวีนี้ขึ้นโดยสองประโยคแรกคือ ได้รับแต่งตั้งดูมีอนาคต ยามถูกปลดน่าสลดสู่เฉาโจว คล้ายกับสถานการณ์ปัจจุบันของเจ้าอยู่นะ ถ้ามีโอกาสพวกเจ้าลองเสวนากัน ต้องค้นพบบางสิ่งที่เหมือนกันแน่”
สวี่จิ้งจงคิดจนหัวแทบระเบิด ก็คิดไม่ออกว่าที่มาของบทกวีทั้งสองประโยคนี้มาจากไหน จากบทกวีก็รู้ได้ว่าท่านนี้ก็เป็นขุนนาง เหตุใดเขาจึงไม่รู้จักบทกวีที่ดีสองประโยคนี้กัน ต้องเป็นอวิ๋นเยี่ยเพิ่งแต่งเขียนขึ้นและนำมาหาเรื่องข้าแน่
“ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวจะให้ความกระจ่างบทกวีทั้งบทได้หรือไม่ เพื่อให้ข้าน้อยได้เปิดโลกทัศน์” เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้อวิ๋นเยี่ยหน้าแตก
“บทกวีทั้งบทเป็นเช่นนี้ ได้รับแต่งตั้งดูมีอนาคต ยามถูกปลดน่าสลดสู่เฉาโจว อยากขจัดความชั่วเสียให้หมด หาได้จดจ่อกับความชราไม่ ย้อนมองเขาหนานซันบ้านอยู่หนใด หลานกวนหิมะโปรยม้าไปไม่ได้ รู้มีใจคิดจึงมาจากแดนไกล ด้วยมีใจเก็บศพข้าผู้นี้เอย เป็นอย่างไรบ้าง พอจะมีความหมายที่ดีอยู่บ้างกระมัง”
อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องกังวลว่าสวี่จิ้งจงจะรู้จักบทกวีนี้ ยังไม่รู้ว่าหานอวี้อยู่ที่ไหนเลย อวิ๋นเยี่ยสามารถใช้ความโศกเศร้าของเขาเพื่อตอกหน้ากลับสวี่จิ้งจงได้อย่างเต็มที่
บทกวีเป็นบทกวีที่ดี สวี่จิ้งจงร่ำเรียนมาก็ไม่น้อย แน่นอนว่าต้องฟังออก อวิ๋นเยี่ยยังไม่สามารถเขียนบทกวีที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้ ประสาอะไรกับที่บทกวีนี้ผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนเป็นผู้แต่งขึ้น ซึ่งสิ่งนี้มั่นใจได้เลยว่าตัวเองไม่รู้จักแม้กระทั่งบทกวีที่ดีเช่นนี้ จะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามก็สมควรแล้ว แม้ว่าเขาเย่อหยิ่งแต่ในด้านการศึกษาแล้วเขากลับไม่ยอมปล่อยผ่านไปแบบไม่ใส่ใจ จึงโค้งคำนับขอโทษอวิ๋นเยี่ย “ข้าน้อยช่างเป็นคนที่โง่เขลา ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เขียนบทกวีนี้” ราชวงศ์ของเรายังไม่มีขุนนางผู้ใดที่ถวายฎีกาจนถูกปลดให้เป็นตัวอย่างได้ หรือจะเป็นขุนนางของราชวงศ์ก่อน”
“บุคคลผู้นั้นชื่อว่าหานอวี้ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่ข้าต้องการบอกเจ้าก็คือ เจ้าไม่ใช่คนไร้ความสามารถ เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งเดือนทำให้เมืองซั่วฟางพลิกโฉมหน้าใหม่ ผลงานของเจ้านับว่ายิ่งใหญ่ แต่เพราะอะไรเจ้าจึงไม่นำพรสวรรค์ที่มีไปใช้ให้ถูกทาง จุดประสงค์ที่เจ้ามาสำนักศึกษาข้ารู้ดี ในใจเจ้าเองก็รู้ดี ในเมื่อเจ้ามีความคิดที่ไม่ควรมี การต้องเผชิญหน้ากับการถูกตอบโต้กลับก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว สำนักศึกษาไม่ใช่สถานที่ที่จะใช้เพื่อแสดงอำนาจของผู้ใดผู้หนึ่ง มีหนึ่งคนข้าก็กำจัดหนึ่งคน แม้ว่าจะต้องใช้วิธีการบางอย่างก็ตาม ขอเพียงเจ้ายอมลดตัวทำงานและเลิกคิดเล็กคิดน้อยพวกนี้ อนาคตในวงราชการของเจ้าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เจ้าลองตรึกตรองดู ข้าขี้เกียจจะพูดอ้อมค้อม มักรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นมันงี่เง่า ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้าดูหมิ่นเจ้า ก็จงมาตอบโต้ได้ข้าจะรออยู่ เพียงแต่ครั้งต่อไปจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เช่นนี้อีกแล้ว”
ไม่ว่าสวี่จิ้งจงจะคิดอย่างไร อวิ๋นเยี่ยมีความภูมิใจในตัวเอง การเป็นคนที่ไม่มีตัวตนในประวัติศาสตร์ เขาไม่สนใจว่าประวัติศาสตร์ในอนาคตจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร เขาออกจากลานบ้านของสวี่จิ้งจง เหลือเพียงสวี่จิ้งจงที่กำลังยืนอึ้งอยู่ เขาเริ่มเหนื่อยเล็กน้อยและเตรียมจะกลับไปนอน เขาไม่รู้สึกตัวเลยว่าในมุมที่มืดที่สุดด้านนอกกำแพง มีคนคนหนึ่งกำลังเฝ้าดูเขาและมองแผ่นหลังที่จากไปของเขา…