เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 10 งานเลี้ยง
งานเลี้ยงนั้นไม่สงบตั้งแต่แรกเริ่ม หลังจากที่ยกแก้วดื่มฉลองให้กับต้าถังเจริญรุ่งเรืองนับร้อยปี ขอให้ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปีพร้อมกันแล้ว นอกจากสามพี่น้องแห่งราชวงศ์แล้ว ผู้ที่ฐานะสูงที่สุดก็คืออวี้ฉือกงที่กำลังถือไหเหล้าตามหาอวิ๋นเยี่ย เหล้าฉลองชัยนั้นไม่ดื่มไม่ได้ เพียงแต่ภาชนะที่ใช้ใส่เหล้านั้นใหญ่ไปหน่อย อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจหากว่าใช้ถ้วยซัง[1] แต่ใส่ไหเหล้าก็เกินไปแล้วจริงๆ เพิ่งจะกลับถึงบ้าน ในท้องก็มีขนมเพียงเล็กน้อยที่เสี่ยวยาส่งเข้าปากมา ก็ต้องล้างท้องด้วยการดื่มเหล้าดีกรีสูงของตระกูลอวิ๋นแล้วหรือ
ให้ตายสิ ในกองทัพเน้นเป็นสำคัญว่าเจ้าสามารถเมาเหล้าตายได้ แต่ห้ามตกใจตายอย่างเด็ดขาด อวี้ฉือจอมซื่อบื้อเลือกโอกาสได้เหมาะมาก กองทหารมีชัยกลับมาเป็นช่วงเวลาที่จะดื่มได้อย่างสะใจ ทั้งยังนำเรื่องในอดีตที่พวกเขาเอาชนะโต้วเจี้ยนเต๋อได้แล้ว พวกเขาและหลี่ซื่อหมินใช้หมวกของชุดเกราะมาใส่เหล้าดื่มอดีตมาเป็นตัวอย่างอีกด้วย
เมื่อพูดถึงรุ่นอาวุโส หลี่เฉิงเฉียน หลี่ไท่และหลี่เค่อก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้ จึงได้แต่ต้องลุกขึ้นดื่มเป็นเพื่อน ภายใต้สายตาที่เหยียดหยามของอวี้ฉือจอมซื่อบื้อ สามพี่น้องจึงวางแก้วเหล้าในมือลง หยิบไหเหล้าข้างๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าศีรษะคนขึ้นมา จ้องมองเหล่าอวี้ฉือด้วยแววตาที่เคียดแค้นตาไม่กะพริบ
หลี่กังกลับไม่ห้าม คนอื่นๆ ต่างก็พากันตะโกนโห่ร้องกันอยู่อย่างสนุกสนาน คอยืดคอยาวรอให้พวกเขาทั้งห้าแข่งกันดื่ม อวิ๋นเยี่ยนั้นค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ส่งไหเหล้าในมือให้กับทหารผ่านศึกที่ติดตามเขาออกรบ ทหารผู้นั้นซาบซึ้งใจจนดวงตาแดงก่ำ
เหล้าชั้นเลิศของตระกูลอวิ๋นมีดีกรีที่แตกต่างกันมีห้าสิบดีกรี สี่สิบดีกรีและยี่สิบดีกรี แต่ไหเหล้าที่อวี้ฉือจอมซื่อบื้อส่งใส่มืออวิ๋นเยี่ยเมื่อครู่นั้นกระดาษที่ปิดอยู่ด้านบนมีตัวเลขใหญ่ๆ เขียนไว้ว่าหกสิบ ให้ตายสิ นี่เป็นผลผลิตจากความล้มเหลวในการกลั่นแอลกอฮอล์ หากไม่ส่งให้คนอื่นอวิ๋นเยี่ยต้องเมาตายแน่
หลี่เฉิงเฉียนเป็นจอมเจ้าเล่ห์ในจอมเจ้าเล่ห์เพราะคลุกคลีกับอวิ๋นเยียมาเป็นเวลานาน เรื่องสายตานั้นไม่ต้องพูดถึงเมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยส่งไหเหล้าให้กับทหาร เขาก็ไม่ได้โง่ รู้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาตบหน้าอกทหารผ่านศึกและส่งไหเหล้าในมือให้เขา ปากก็พูดขอบคุณทหารที่ไม่กลัวตายเสียสละเพื่อราชวงศ์ถังไม่หยุด แน่นอนว่าเหล้าไหนี้ต้องให้ทหารหาญได้ลิ้มลองก่อน หลี่ไท่และหลี่เค่อประทับใจความใจกว้างของพี่ชาย แน่นอนจึงส่งไหเหล้าในมือให้เขา เหล่าอวี้ฉือลูบหนวดเครายกย่องเสียงดังว่าคนหนุ่มรุ่นหลังหลายคนนี้มีความนิสัยเหมือนคนโบราณ พวกหลี่กังก็ส่งเสียงโห่ร้องชื่นชม ทุกคนลุกยืนขึ้น ยกจอกเหล้าขึ้นและรอให้พวกอวิ๋นเยี่ยยกไหเหล้าขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนจะได้ดื่มอย่างสะใจด้วยกัน
ไม่ง่ายเลยกว่าที่อวิ๋นเยี่ยจะหาไหเหล้าที่ด้านบนมีกระดาษปิดที่เขียนว่ายี่สิบออกมาจากกองไหเหล้าได้ เตรียมที่จะนำไปดื่มให้สะใจกับเหล่าอวี้ฉือ
“เสี่ยวเยี่ย ช่วยพี่น้องด้วยสิ เจ้าต้องมีวิธีใช่ไหม เหล้าไหที่เจ้าหาออกมาแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างไร” หลี่เฉิงเฉียนซึ่งแกล้งเลือกไหเหล้าพลางถามอวิ๋นเยี่ย
“อย่าหาว่าพี่น้องกันแล้วไม่ดูแลเจ้า จำนวนตัวเลขที่อยู่บนไหเหล้ายิ่งน้อยยิ่งดี” หลังจากได้ยินดังนี้หลี่เฉิงเฉียนเองก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ในไม่ช้าก็หาไหเหล้าดีกรีต่ำออกมาได้สามไห คิดๆ แล้วก็ส่งไหเหล้าที่เขียนเลขสิบห้าส่งให้หลี่ไท่และยี่สิบให้กับหลี่เค่อ ตัวเองกัดฟันแล้วหยิบไหเหล้าที่เขียนสามสิบไว้ออกมาหนึ่งไห หาไหที่มีตัวเลขน้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ
เมื่อเหล่มองไปที่ไหเหล้าของเหล่าอวี้ฉือ ตัวเลขห้าอารบิกขนาดใหญ่สองตัวเขียนอยู่ด้านบน ทำให้หลี่เฉิงเฉียนวางใจได้ไม่น้อย มีกรรมการตรวจสอบเหล้าทำการตรวจสอบโคลนที่ผนึกไว้บนไหว่าเรียบร้อยดี จึงเอาโคลนปิดผนึกออกและดึงผ้าไหมสีแดงบนฝาไหออก กลิ่นหอมของเหล้าลอยคละคลุ้ง เหล่าอวี้ฉือตะโกนเสียงดัง “หมดไห” ทหารผ่านศึกที่ไปร่วมรบก็ตะโกนพร้อมกัน สุดท้ายยกไหเหล้าดื่มอย่างสะใจ อวิ๋นเยี่ยดื่มด้วยท่าทีที่ห้าวหาญมาก นี่คือสิ่งที่เรียนรู้จากเซวียว่านเริ่นขณะที่อยู่ที่ทุ่งหญ้า ก้นไหเหล้าถูกยกเอียงขึ้นระดับสายตา กรอกเหล้าคำใหญ่ใส่ปาก ที่มุมปากก็มีเหล้าไหลทะลักออกมาไม่หยุด อึกๆๆ ท่าทีองอาจผึ่งผายของนักรบปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด ทุกคนต่างตะโกนร้องเยี่ยม หลี่เฉิงเฉียนดื่มพลางเหล่มองอวิ๋นเยี่ย เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยดื่มด้วยท่าทีเช่นนี้ เขาจึงรีบยกไหเหล้าให้สูงขึ้นกว่าเดิมอีกหลายส่วน หลี่ไท่และหลี่เค่อเคยดื่มเหล้ารสเลิศของตระกูลอวิ๋น เมื่อคิดถึงรสชาติที่รุนแรงนั้นแล้วในใจยังอกสั่นขวัญแขวน สุดท้ายจึงดื่มไปหนึ่งอึกแล้วเบิกตากว้าง จากนั้นก็กรอกคำโตทันที พวกเขารู้สึกว่ารสชาติไม่เลว
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างครึกครื้นทุกคนดื่มเหล้าจนหมดไห ดวงตาของอวี้ฉือจอมซื่อบื้อเริ่มแดงขึ้น ตบไหล่ของอวิ๋นเยี่ยอย่างสนิทสนม จากนั้นก็ตบหลังของสามพี่น้องตระกูลหลี่อีกหลายที เหล้าในปากของหลี่เค่อก็พ่นออกมาทันที ไม่ใช่เพราะดื่มจนเมา แต่เป็นเพราะอวี้ฉือกงตบหลังจนเหล้าไหลออกจากกระเพาะของเขา
อวี้ฉือกงไม่ถือสาแม้แต่น้อย สามพี่น้องตระกูลหลี่วันนี้ให้เกียรติเขาเต็มที่ ขณะกำลังจะไปชื่นชมสักหน่อย ก็เห็นว่าทหารผ่านศึกของตระกูลอวิ๋นล้มฟุบลงกับพื้นดัง “ตุบ” ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคอแข็งดื่มพันจอกไม่เมาเหมือนอวี้ฉือจอมซื่อบื้อ ดื่มเหล้าดีกรีแรงตั้งเกือบแบนมีไม่กี่คนที่สามารถทนรับไหว ถึงแม้หลี่เฉิงเฉียนจะยืนโงนเงน แต่สายตานั้นยังคงชัดแจ้งยืนหยัดอยู่ได้
อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าเหล่าอวี้ฉือกกำลังจะไปหยิบเหล้าอีก มองไปที่ไหเหล้าก็ไม่มีที่ตัวเลขน้อยกว่าสามสิบเหลือแล้ว จึงมองเหล่าเฉียนที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ เหล่าเฉียนที่ฉลาดหัวไวก็เดินมาด้านหลังอวิ๋นเยี่ยทันที อวิ๋นโหวในขณะนี้เริ่มต้านฤทธิ์เหล้าไม่อยู่กำลังจะล้มแล้ว ใครจะไปรู้ว่าหลี่เฉิงเฉียนจะชิงตัดหน้าล้มใส่ตัวเหล่าเฉียนก่อน เหล่าเฉียนจึงต้องพยุงรัชทายาทไว้ ไม่กล้าที่จะปล่อยให้เขาล้มลง เมื่อเขาล้มแล้วหลี่ไท่และหลี่เค่อก็ไม่โง่ องค์ชายทั้งสามเมาหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเมาล้มทับอยู่บนร่างหลี่เฉิงเฉียน
ขันทีที่หลี่เฉิงเฉียนพามาและคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋น ส่งคนทั้งสี่ที่ติดพันกันอย่างไม่ยอมปล่อยมือกลับไปที่ห้องของอวิ๋นเยี่ย อวี้ฉือจอมซื่อบื้อหัวเราะร่วนด้วยความภาคภูมิใจมาก เพียงแค่ตนเองออกโรงก็ทำให้ทั้งเจ้าภาพและแขกผู้มีฐานะสูงที่สุดถึงกับพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า จะไม่ให้เขาภาคภูมิใจได้อย่างไร
หลี่กังชี้อวี้ฉือกงอยู่เป็นนานแต่แล้วก็วางมือลง กฎของกองทัพนักปราชญ์อย่างเขาไม่มีทางไปตำหนิได้ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป ตัวละครเอกถูกมอมเหล้าจนเมาหมดแล้ว งานเลี้ยงของตระกูลอวิ๋นก็กลายเป็นสถานที่ที่มีฝูงมารก่อความไม่สงบทันที นักเรียนของสำนักศึกษาก็เลียนแบบการยกไหเหล้าดื่มบ้าง ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องพูดต่อห้องโถงรับแขกของตระกูลอวิ๋นก็เริ่มเต็มไปด้วยผีขี้เมา
เมื่อพวกอวิ๋นเยี่ยเข้ามาในห้องนอน ไม่ต้องให้คนพยุงอวิ๋นเยี่ยก็ลุกขึ้นยืน หลี่เฉิงเฉียนก็บิดคอและยืนขึ้นเช่นกัน หลี่ไท่ซึ่งถูกทับไว้ด้านล่างสุดก็เสแสร้งโอดครวญ แล้วผลักหลี่เค่อลงจากร่างกายของเขา
“เสี่ยวเยี่ย เหล้าบ้านเจ้าไม่เลวเลย รสที่ข้าดื่มเมื่อครู่นั้นอร่อยมาก ขอเพิ่มอีกหน่อย พวกเราค่อยๆ ดื่มในห้อง แล้วก็ขอกับแกล้มนิดหน่อย ข้าหิวมาก” หลี่เค่อยังไม่ทันลุกขึ้นมา ก็อ้าปากขอของกินกับอวิ๋นเยี่ยแล้ว
“ไม่มีใครถามว่าเกิดอะไรขึ้นเลยหรือ” อวิ๋นเยี่ยเหล่มองแล้วถามสามพี่น้องราชนิกุล
“มีอะไรน่าถาม เหล้าของเจ้านั้นเจ้าเลือกเอง เหล้าของพวกข้าพี่ใหญ่เลือกส่งมาให้ จะถามมากมายไปทำไม แค่ดื่มก็พอแล้ว เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเหล้าเหล่านั้นอันไหนดีกรีต่ำ อันไหนดีกรีสูง”
“ด้านบนมีตัวเลขอยู่ ยิ่งน้อยก็ยิ่งดีกรีต่ำ ของข้าด้านบนเขียนว่ายี่สิบ แล้วของพวกเจ้าล่ะ” อวิ๋นเยี่ยเห็นสิ่งที่หลี่เฉิงเฉียนทำแต่แรกแล้ว สิ่งที่เขาต้องการก็คือฉีกกำแพงกระดาษบางๆ นี้ทิ้งไป เช่นนี้จะเป็นผลดีต่อความสามัคคีของสามพี่น้องเป็นอย่างมาก
“ของข้าด้านบนเขียนว่าสิบห้า” หลี่ไท่พูด
“ของข้าด้านบนเขียนว่ายี่สิบ” หลี่เค่อพูด
“โชคร้ายจริงๆ ตั้งใจจะหาไหที่ด้านบนเขียนเลขสิบแต่ก็หาไม่เจอ จึงได้แต่ต้องหยิบไหที่ด้านบนเขียนสามสิบ โชคดีที่ทำเหล้ากระฉอกออกมาจำนวนมาก มิฉะนั้นแม้เป็นเหล้าดีกรีต่ำเพียงสามสิบดีกรีก็เอาชีวิตข้าได้” หลี่เฉิงเฉียนอย่างไรเสียก็เป็นคนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูของราชนิกุลตั้งแต่เยาว์วัย จึงรู้ดีว่าจะรักษาหน้าได้อย่างไร
ประเด็นที่จะพูดก็ได้พูดแล้วไม่จำเป็นต้องพูดต่อแล้ว จึงตะโกนเรียกเหล่าเฉียนให้เขาเตรียมอาหารแล้วส่งมาที่ห้องนอน อวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะคุยกับสามพี่น้องดีๆ สักครั้ง เพียงแต่เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนมีท่าทีหมดอาลัยตายอยากจึงละทิ้งความคิดนี้ไป ปฏิกิริยาตอบสนองทางจิตในของเหล่าราชนิกุลไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ในเวลานี้การสนทนากันก็ได้แต่คุยอย่างขอไปทีและการคาดเดา จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา ทำไมต้องวางตัวเสมือนหนึ่งเป็นพระเจ้า จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่ทั้งสามคนไม่มีใครโง่เลย
ปล่อยให้เป็นไปตามวัฏจักรจะดีกว่า อย่าไปทำเรื่องที่เป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์การพัฒนาเลยรังแต่จะทำให้เสียงาน ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาก็แสดงออกถึงสติปัญญา ไม่ใช่สิ่งที่คนที่มีต้นกำเนิดจากรากหญ้าเช่นตัวเองจะไปเปรียบเทียบได้ สิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือความสมเหตุสมผล แต่ละคนมีเป้าหมายที่ต่างกัน จุดเริ่มต้นก็แตกต่างกัน สิ่งที่ประสบพบเจอก็ต่างกัน อาศัยอะไรไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เปลี่ยนได้ยากที่สุดในโลกนี้ เรื่องที่ศาสตราจารย์เฉพาะทางในยุคปัจจุบันยังไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วตนเองจะอาศัยอะไร อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็ตื่นตระหนกขึ้น ได้ชีวิตราบรื่นเกินไปจนเริ่มถือดีขึ้นมา
“เฉิงเฉียน ได้ยินมาว่าเจ้าหมั้นกับลูกสาวของท่านแม่ทัพโหวแล้ว จะแต่งงานเมื่อไหร่” อวิ๋นเยี่ยเริ่มถามสอดเรื่องคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา
“ยังมีเวลาอีกสองเดือน เจ้าเองก็ใกล้จะแต่งงานแล้วล่ะสิ ได้ยินว่าตอนที่เจ้าเดินทางไปแนวหน้า หญิงนางนั้นก็เกล้าผมใหม่อีกครั้ง ภรรยาเช่นนี้รีบแต่งงานให้เรียบร้อยโดยเร็วจะเป็นการดีนะ ตระกูลอวิ๋นมีเจ้าเป็นหน่อเนื้อเพียงคนเดียว แต่งงานเร็วหน่อยจะได้มีคนรับช่วงต่อ”
หลี่เฉิงเฉียนไม่ใช่คนรูปร่างใหญ่ แต่เขากลับสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ มองไม่เห็นว่าจะมีการล้อเล่นปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อยนิด คนสมัยโบราณไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการสืบทอดตระกูลเหมือนทั่วๆ ไป หากนโยบายการให้กำเนิดบุตรในยุคปัจจุบันถูกนำมาประกาศใช้ในราชวงศ์ถัง อวิ๋นเยี่ยแน่ใจว่าราชวงศ์ถังจะต้องถูกโค่นล้มมานานแล้ว
“วันนี้ท่านย่าก็คุยกับข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าบอกว่าแล้วแต่นางจะจัดการ นางต้องการให้ข้าแต่งงานเมื่อไหร่ข้าก็จะแต่งงานเมื่อนั้น เรื่องนี้ข้าเชื่อฟังท่านย่า ไม่อยากทำให้เรื่องแต่งงานนั้นเละเทะวุ่นวาย”
“เจ้าเคยคิดถึงพี่สาวของข้าไหม” เมื่อได้ยินหลี่เฉิงเฉียนถามเช่นนี้ หลี่เค่อซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตากิน หลี่ไท่รีบวางตะเกียบลงทันที รอฟังพร้อมกันว่าอวิ๋นเยี่ยจะตอบอย่างไร
“เฉิงเฉียน อันหลานสบายดีหรือไม่” ดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามหลี่เฉิงเฉียน
“ไม่ดีเท่าไหร่ นางผอมไปมาก ไท่ซั่งหวงก็ไม่ค่อยสนใจนางมากนัก เสี่ยวเยี่ย หากเจ้าสามารถมาสู่ขอนางได้ก็จะดีมาก พวกเราก็จะกลายเป็นพี่น้องกันจริงๆ”
“เฉิงเฉียน ที่ข้าอยู่ห่างจากอันหลานไม่ใช่เพราะนางใช้ไท่ซั่งหวงมาบีบบังคับข้า แต่เพราะอันหลานจงใจทำเช่นนั้น นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ข้าเพิ่งจะคิดออกอย่างชัดเจนขณะที่อยู่บนทุ่งหญ้า นางหยิ่งในศักดิ์ศรี ดื้อรั้น และมุมานะบากบั่น เป็นหญิงที่ดีคนหนึ่งที่หายากในใต้หล้านี้ ถึงแม้ว่าข้าที่เป็นพี่น้องกับเจ้าจะไม่ใช่ยอดอัจฉริยะของหนึ่งในหมื่น แต่ในหมู่คนที่พวกเจ้าสามารถมองเห็น ข้าคงจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดและคู่ควรที่สุดสำหรับนาง” เมื่อพูดถึงตรงนี้อวิ๋นเยี่ยมองดูสามพี่น้อง เห็นพวกเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย
“เจ้าบอกว่าความเข้าใจผิดของพวกเจ้าเป็นความตั้งใจของพี่สาวข้าหรือ” หลี่ไท่ได้แต่อ้าปากค้าง
“เสี่ยวไท่ พวกเราเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นข้าจะพูดกับพวกเจ้าทุกเรื่อง เรื่องนี้พวกเจ้าเพียงแต่เก็บไว้ในใจก็พอ อย่าได้เล่าออกไปและอย่าไปถามอันหลานด้วย พี่สาวเจ้าไม่ต้องการให้พวกเจ้ารู้ แน่นอนว่านางย่อมมีเหตุผลของนาง เจ้าแค่ลองคิดดูว่า ด้วยความเฉลียวฉลาดของพี่สาวเจ้าจะทำเรื่องที่โง่เง่าเช่นนี้หรือ มีเพียงเหตุผลเดียว นั่นก็คือนางทำอย่างจงใจ อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นอันตรายอย่างยิ่งด้วย เห็นชัดๆ ว่านางก็มีใจให้ข้า แต่กลับทำลายน้ำใจข้าในช่วงที่ข้ามีความสุขที่สุด เพราะเหตุใด นั่นก็เพราะว่านางคิดว่า ถ้าหากข้าเข้าไปมีส่วนพัวพันในเรื่องนี้ จะต้องร่างกายแหลกสลาย”
——
[1] ซัง เป็นภาชนะสำหรับใส่เหล้าในสมัยโบราณ มีลักษณะคล้ายชามก้นแบน