เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 12 ภัยที่มาเยือนโดยไม่รู้ตัว
วั่งไฉยิ่งวิ่งยิ่งคึกคักมากขึ้น บางครั้งก็ส่งเสียงร้องหลายครั้ง เสี่ยวยาตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ มือเล็กๆ จับบังเ**ยนไว้ร้อง “ย่าๆ” เร่งวั่งไฉไม่ยอมหยุด แต่วั่งไฉกลับไม่อยากวิ่งเร็วนัก เพราะวิ่งอย่างนั้นเหนื่อยเกินไป ดังนั้นจึงค่อยๆ ก้าวเล็กๆ เดินเล่นอยู่บนทางระหว่างเขาอย่างสบายใจ ภูเขาแห่งฤดูใบไม้ผลิในช่วงเดือนสามเต็มไปด้วยความสดใหม่เขียวขจี อวิ๋นเยี่ยได้เห็นหญ้าแห้งสีเหลืองบนทุ่งหญ้ามามากพอแล้วในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ได้อยู่ในโลกสีเขียวทำให้ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาเริ่มส่งเสียงโห่ร้อง
รถม้าของอวิ๋นเยี่ยผ่านสำนักศึกษาแต่กลับไม่หยุดแวะ เขายังชื่นชมกับทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิของเขาอวี้ซันไม่เพียงพอ ตาแก่เหล่านั้นจะเทียบกับดอกไม้และนกที่สวยงามในฤดูใบไม้ผลิได้อย่างไร ชื่นชมจนพอแล้วค่อยกลับไปก็ได้ หลังจากสามวันนี้แล้วอยากจะหาเวลาพักผ่อนก็คงไม่ได้แล้ว ในเมื่อวันนี้ได้ออกมาแล้วก็ต้องเที่ยวให้สะใจและก็ชดเชยความยากลำบากในฤดูหนาวให้ซินเย่ว์ นางเกือบจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านตระกูลอวิ๋นเกือบตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมา ท่านย่ามอบหมายเรื่องใหญ่น้อยในบ้านให้นางดูแลจนหมดสิ้น ตอนนี้คนในครอบครัวเมื่อพบซินเย่ว์ต่างก็เรียกฮูหยินน้อยแล้ว เกรงว่าพูดเพียงแค่ประโยคเดียวยังจะสั่งการได้ดีกว่าอวิ๋นเยี่ยพูดเสียอีก
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทั้งสองนั่งกอดกัน ที่นี่ไม่มีคนนอก เสี่ยวยากำลังยุ่งอยู่กับการดึงสายบังเ**ยนเพื่อเร่งม้า แม้ว่าวั่งไฉจะไม่ฟังนาง แต่นางก็ยังกระตือรือร้นที่จะเร่งมัน สายตาประสานกับซินเย่ว์แววตาทั้งคู่ต่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
วั่งไฉเหนื่อยแล้ว ร่างอ้วนๆ ของมันชุ่มไปด้วยเหงื่อ หยุดหายใจหอบอยู่ที่ริมแม่น้ำ กลัวว่ามันจะไม่สบายจึงปลดวั่งไฉออกจากรถม้า อวิ๋นเยี่ยหยิบผ้าฝ้ายบนรถม้ามาเช็ดเหงื่อให้มัน ซินเย่ว์ก็หาผ้าชิ้นหนึ่งมาช่วยเช็ด
“เจ้าดีกับวั่งไฉจังเลย ดีกว่ากับข้าเสียอีก” ซินเย่ว์เบ้ปากรู้สึกอิจฉาวั่งไฉเล็กน้อย
“วั่งไฉเป็นเพื่อนคนแรกของข้าในโลกใบนี้ มันยังเคยบาดเจ็บเพื่อข้าด้วย นี่คือสิ่งที่ข้าติดค้างมัน ตั้งแต่ในทุ่งร้างข้าบอกวังไฉว่าต่อไปจะให้มันได้กินของเอร็ดอร่อย จะผิดคำพูดได้อย่างไรกัน” แล้วก็เช็ดผมที่ตกลงมา ส่งยิ้มให้ซินเย่ว์ข้ามหัววั่งไฉไป
“เจ้าเป็นคนที่รักอย่างยั่งยืน ข้ารู้มานานแล้ว ใครก็ตามที่มีบุญคุณกับเจ้าเจ้าก็จะตอบแทนนับพันเท่า ใครก็ตามที่ดีกับเจ้าเจ้าก็จะดีต่อเขา ท่านปู่บอกว่าในสำนักศึกษามีชายหนุ่มผู้มากความสามารถต้องการสู่ขอข้า ข้าก็คิดว่าจะเป็นใครกัน ไม่ว่าจะเดาอย่างไร ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้า แม้ว่าเจ้าเองจะเป็นชายหนุ่ม แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นคนประเภทเดียวกันกับหนุ่มสาวในสำนักศึกษาเลย”
“หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นชายชราหรือ” อวิ๋นเยี่ยมองสองมือที่ยังอ่อนวัยของเขา มองไม่ออกว่าเขาดูมีอายุแล้ว
ซินเย่ว์ไม่ตอบและก้มหน้าก้มตาพูดต่อไป “เช้าวันนั้น ท่านปู่บอกว่าอยากกินผักป่า ให้ข้าไปเก็บกลับมาให้หน่อย เหตุผลนี้ฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไร ท่านปู่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบกินผักป่า หลายปีก่อนก็กินจนกลัวแล้ว จู่ๆ ก็ให้ข้าไปขุดผักป่า ข้ารู้ว่ามีจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ สุดท้ายก็ได้พบเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยไม่ค่อยพูดคุยความในใจกับผู้หญิง แต่ประสบการณ์ชีวิตในโลกปัจจุบันบอกเขาว่าตอนนี้การหุบปากและฟังนางพูดน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“ในวันนั้นเจ้าไม่ได้สวมชุดลำลองที่หรูหรา เพียงแค่สวมชุดของสำนักศึกษายืนมองมาข้าอยู่ตรงนั้น มองจนข้าจิตใจว้าวุ่น หากไม่เป็นเพราะมีเสี่ยวยาอยู่ด้วย ข้าก็อยากจะวิ่งหนี” ซินเย่ว์ถูจมูก นางไม่อายที่จะบอกให้อวิ๋นเยี่ยฟัง
“ข้าไม่ใช่ปีศาจเสียหน่อย พูดกับเจ้าอย่างสุภาพ เจ้าจะหนีอะไรของเจ้า” คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเจ็บแปลบ แสดงออกด้วยท่าทีที่ดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อนางเห็นแล้วกลับอยากวิ่งหนี นี่เป็นการกระทบกระเทือนความรู้สึกที่รุนแรงต่ออวิ๋นเยี่ยจริงๆ
“ใครใช้ให้เจ้ายิ้มแปลกๆ ให้ข้ากัน เกือบจะคิดว่าเจ้าเป็นพวกบ้ากามอยู่แล้ว”
“อย่ากล่าวหาว่าคนอื่นเป็นพวกบ้ากามสิ ข้าเป็นชายน่าเกลียดที่รักแม่ภรรยาและภรรยาที่น่าเกลียดให้กำเนิดลูกสี่ห้าคนอย่างซ่งอวี้ จำเป็นต้องเขียนบทความด่าเขาด้วยหรือ ทำร้ายเขามาเป็นเวลาพันกว่าปีแล้ว ชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ไม่ว่าอย่างไรก็ล้างไม่ออก ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงอิจฉาที่ซ่งอวี้หน้าตาดี ดังนั้นจึงช่วยคนคนนั้นพูดเรื่องที่เสียหายว่าเขาเป็นพวกบ้ากาม”
บทกวี “เติงถูจื่อเฮ่าเซ่อฟู่” ทำลายผู้ชายดีๆ ที่รักครอบครัวอย่างแท้จริงให้กลายเป็นคนบ้ากามอย่างแท้จริง นี่คือความชั่วร้ายที่ซ่งอวี้ก่อขึ้น
ซินเย่ว์ที่ดูฉลาดแท้จริงแล้วเป็นพวกพูดไม่เก่ง ขอเพียงพูดไม่ชนะนางก็จะลงไม้ลงมือ เสี่ยวยาวิ่งไปที่แม่น้ำดูหวงสู่จับปลา ซินเย่ว์ไม่ต้องกังวลอะไร แน่นอนว่าจึงพุ่งเข้าหาและกระหน่ำหยิกอวิ๋นเยี่ยไปทั่วตัว
สุดท้ายทรวงอกของนางก็ถูกคุกคามอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยมองรอยแดงที่ด้านหลังฝ่ามือแล้วยิ้มอย่างลามก ผู้หญิงผู้ชายลงไม้ลงมือกันก็ต้องมีการได้เปรียบเสียเปรียบกันบ้างไม่ใช่หรือ
ซินเย่ว์ที่หน้าแดงระเรื่อ ไม่สามารถสู้กับวิชาสุดยอดของอวิ๋นเยี่ยที่สืบทอดมาจากยุคปัจจุบันได้ จึงระบายความโกรธไปที่วั่งไฉ บิดหูของวั่งไฉไม่ยอมปล่อย เมื่อเห็นว่าหูยาวๆ ของมันจะกลายเป็นสามท่อนแล้ว แต่วั่งไฉก็ไม่ต่อต้านใดๆ กลั่นแกล้งพี่ข้าได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ยจึงพุ่งเข้าไปข้างหน้าอุ้มซินเย่ว์ขึ้นมาพาดบ่าแล้วตีก้นนางหนึ่งที นางร้องออกมาด้วยความตกใจ รีบเอามือปิดปาก
“แน่จริง เจ้าก็ตะโกนไป วันนี้ที่ข้าลงเขามาก็เพื่อชิงตัวสาวงามเช่นเจ้า หากชิงตัวไม่ได้แปดเก้าคนจะไม่กลับค่ายโดยเด็ดขาด” อวิ๋นเยี่ยโหยหาความรู้สึกที่มือสัมผัสเมื่อครู่ อยากจะหาโอกาสอีกสักครั้ง
ผู้หญิงราชวงศ์ถังนั้นดีจริงๆ เพียงฝ่ามือเดียวก็ทำให้ซินเย่ว์ร่างอ่อนระทวย ส่งเสียงอยู่ในลำคอไม่ขยับตัว ไม่พูดอะไร พาดร่างอย่างอ่อนระทวยอยู่บนบ่าของอวิ๋นเยี่ย
“โอ้ พี่ปู๋ชี่ วันนี้ฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่นน้องชายออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะได้พบกับพี่ปู๋ชี่ที่นี่กำลังเล่นกับหญิงงามที่ริมน้ำ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง” เสียงของคนแตกเนื้อหนุ่มดังมาจากด้านข้าง
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว ซินเย่ว์ก็กระโดดลงจากบ่าของอวิ๋นเยี่ย เอามือปิดหน้าวิ่งหนีไปอย่างรีบเร่ง เห็นทีว่าหลายวันนี้นางจะไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว อวิ๋นเยี่ยโกรธจัด ใครที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือมาขัดจังหวะขณะที่ตนกำลังหยอกล้อกับภรรยาอย่างสนุกสนาน
เผยเหล่าซัน เจ้าคนเลวนี้ถึงกับสวมชุดสีฟ้าของสำนักศึกษายืนเสแสร้งแกล้งทำความเคารพอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเขาอวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม ขณะที่กลับเมืองหลวงเมื่อปีที่แล้ว ก็เป็นเขาที่วางแผนกับตนเองว่าจะไปขโมยพระพุทธรูปสององค์ด้วยกันที่เขาไม่จี สุดท้ายถูกไต้ซือเฒ่าอิ้นถานจับได้ เจ้าสารเลวนี่ก็วางตัวให้พ้นผิดอย่างสะอาดหมดจด เป็นพวกไม้หลักปักขี้เลนที่ได้มาตรฐานจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ แค้นเก่ากับแผลใหม่มีหรือยังจะมีเหตุผลให้ละเว้น
“เผยเหล่าซัน เจ้ามาที่สำนักศึกษาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าในฐานะกรรมการของสำนักศึกษาอวี้ซัน เหตุใดถึงไม่รู้” อวิ๋นเยี่ยถามอย่างเป็นทางการ
“พี่น้องข้าดีที่ไหนกัน นี่ไม่ใช่เพราะว่าเพิ่งจะกลับมาจากหล่งโย่ว อยู่บ้านไม่ถึงหนึ่งวันก็ถูกท่านปู่ไล่ไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะว่าได้เห็นพี่อวิ๋นพาสาวงามออกมาท่องเที่ยว น้องชายจึงต้องมาขอความรู้สักหน่อย พี่ชายช่างฝีมือเก่งกาจจริงๆ น้องขอชื่นชม” การพูดนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่การเล่นหูเล่นตานี่ชวนให้น่ารังเกียจยิ่งนัก
“กุมศีรษะ นั่งยองๆ” อวิ๋นเยี่ยสั่งเผยเหล่าซัน
บารมีของอาจารย์นั้นไม่ได้มีไว้ล้อเล่น ถึงแม้ว่าเผยเหล่าซันจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถึงทำอย่างนั้น แต่ก็ยังเอามือกุมศีรษะและนั่งยองๆ ลงไป อวิ๋นเยี่ยกระโดดขึ้นมาระดมกำปั้น เตะ ต่อย ซัดฝ่ามือ ขึ้นศอก ขึ้นเข่าทุกส่วนที่ใช้ได้ล้วนใช้อย่างไม่ยั้ง ต่อยอยู่เป็นนานจนมือและเท้าอ่อนแรง พิงวั่งไฉหายใจหอบไม่หยุด
เผยเหล่าซันยืนขึ้นอย่างงุนงง เจ้าสารเลวนี่นอกจากผมจะยุ่งเหยิงเพียงเล็กน้อยแล้วกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเยี่ยมองมือของตัวเองเต็มไปด้วยเลือด เข่า ข้อศอกและเท้าเจ็บอย่างรุนแรง คาดว่าต้องเขียวช้ำแล้วเป็นแน่ จึงมองชายหนุ่มขึ้นลงแล้วพุ่งเข้าไปปลดเสื้อนอกของเขาออก จริงดังคาดเจ้าสารเลวนี้สวมเกราะอ่อนไว้ด้านใน ซึ่งด้านบนเต็มไปด้วยตะปูทองแดงถี่ยิบ
อวิ๋นเยี่ยทรุดตัวยวบอยู่บนชายหาด ต่อยคนแล้วนอกจากจะไม่ได้เปรียบ แต่เช่นนี้มันน่าอับอายกว่าถูกต่อยเสียอีก วันนี้ออกจากบ้านโดยไม่ได้ดูฤกษ์ดูยามหรือ ทำไมถึงต้องเจอพวกวิปริตที่ออกมาเที่ยวชมนกชมไม้แล้วยังต้องสวมเกราะอ่อนอีก อวิ๋นเยี่ยไม่ได้อยากนั่งลง แต่เท้าของเขานั้นปวดอย่างมาก
“นี่มันเพราะอะไรกันหรือพี่อวิ๋น น้องทำอะไรให้พี่อวิ๋นหงุดหงิด เมื่อเข้ามาก็กระหน่ำทุบตี หรือจะบอกว่านี่คือการวางท่าข่มกันของสำนักศึกษา
“เจ้าบอกข้าก่อนว่าทำไมเจ้ามายังสำนักศึกษาแล้วยังต้องใส่เกราะอ่อนด้วย”
“เมื่อคืนนี้น้องกลับเมืองหลวงเพื่อพบปะกับสหายที่หอเหมียนชุนโหลว เห็นว่านางรำข้างกายข้างดงามนักก็มีพวกไม่ลืมหูลืมตามายั่วยุ ด้วยนิสัยของข้าพี่ชายก็รู้ดีว่าจะทนได้อย่างไรกัน ดังนั้นข้ากับสหายจึงตีขาเจ้าหมอนั่นจนหัก คิดไม่ถึงว่าชายคนนี้จะมีเส้นสายอยู่ไม่เบา เป็นคุณชายเล็กของตระกูลโต้ว เมื่อบิดามารดาของเขามาเอาเรื่องถึงหน้าบ้าน ด้วยความโกรธจัดท่านปู่จึงสั่งให้ข้ามาเรียนที่สำนักศึกษา ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือไม่ก็ห้ามกลับบ้านเด็ดขาด” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เผยเหล่าซันก็มีสีหน้าภาคภูมิใจในตัวเอง
“เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากตีจนขาหัก จะทำให้กั๋วกงท่านหนึ่งถึงกับไปเอาเรื่องกั๋วกงอีกท่านหนึ่งเลยหรือ” ยังมีตื้นลึกหนาบาง ต้องถามให้รู้เรื่อง
“ได้ยินมาว่าเมื่อพี่ชายมาถึงฉางอัน ก็ได้ทำให้ชายคนหนึ่งที่ไม่ลืมหูลืมตาต้องพิการ น้องชายยังจำได้ดี เมื่อมีแบบอย่างก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำตามอย่างแน่นอน เพียงแต่น้องชายนั้นใจไม่ถึง ไม่กล้าลงมือให้ถึงตาย เพียงแค่ใช้โซ่ลูกตุ้มเหวี่ยงเข้าที่จุดสำคัญไปสองครั้ง”
อวิ๋นเยี่ยนั้นกำลังมือสั่น มีใครไปเที่ยวดื่มเหล้าแล้วยังพกโซ่แขวนลูกตุ้มไปด้วย ต่อมลูกหลานถูกลูกตุ้มทุบไปสองครั้งยังจะเหลือชิ้นดีอีกหรือ บนลูกตุ้มนั้นเต็มไปด้วยหนามนะ ตระกูลโต้วเป็นใครกัน ฮองเฮาของหลี่หยวนก็แซ่โต้ว ตระกูลใหญ่แห่งเขตชิงเหอมณฑลเป้ยโจว มีชื่อเสียงบารมีอันยิ่งใหญ่ในเหอหนานและซานตง เพียงแค่หอเซ่นไหว้ประจำตระกูลก็มีถึงสองแห่งแล้ว หนึ่งคือซื่อเหอถังและอีกหนึ่งคือเฉิงเอินถัง เชื้อสายบรรพบุรุษสามารถสืบย้อนไปถึงราชวงศ์เซี่ยได้ ซึ่งก็คือราชวงศ์แรกของประเทศจีน นี่คือตระกูลยักษ์ใหญ่ตัวจริงซึ่งตระกูลหลูในเขตชิงเหอนั้นห่างชั้นจนเทียบไม่ติด
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงได้ลงมือหนักเช่นนี้ ตระกูลเผยของเจ้ากล้าไปหาเรื่องเสือตัวนี้ได้หรือ แม้ว่าปู่ของเจ้าจะสนิทชิดเชื้อกับไท่ซั่งหวง ก็ไม่สามารถถือหางเรื่องที่เจ้าทำลงไปได้” อย่างไรเสียเขาก็เป็นพี่น้องที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมา ตอนนี้เห็นเขาเกือบจะหมดหนทางหนี ความโกรธก็หายไปทันทีเหลือเพียงความวิตกกังวล
“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างร้ายแรงที่สุดก็คือข้าชดใช้ให้ด้วยชีวิตก็เท่านั้นเอง ยังจะทำอะไรได้อีก ถ้าพี่ชายรู้สึกว่าเรื่องนี้แบกรับไว้ไม่ไหว เช่นนั้นน้องจะกลับเมืองหลวงและปล่อยให้ตระกูลโต้วตัดสินโทษตามแต่เขาต้องการ” ดูเหมือนว่าเผยเหล่าซันจะยังไม่เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องเรื่องนี้ มันไม่ใช่ว่าการชดใช้ด้วยหนึ่งชีวิตแล้วก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้
“ท่านปู่เจ้าพูดว่าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องเข้าใจความเห็นของท่านปู่เขาเผยจี้ก่อน หากแม้แต่เผยจี้ก็ไม่มีวิธีที่ดี อวิ๋นเยี่ยก็คงจะได้แต่ยอมแพ้เท่านั้น การเผชิญหน้ากันในระดับนี้มันห่างชั้นเกินไปที่ตระกูลอวิ๋นจะไปมีส่วนร่วมได้ คาดว่าหลี่ซื่อหมินเองก็ไม่มีทางออกที่จะแก้เงื่อนตายนี้ได้ คุณชายเล็กของตระกูลโต้วภายหน้าต้องแต่งงานกับองค์หญิงหลานหลิง อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจเด็กกะโปโลที่ยังไม่โตเต็มวัยอายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีจะไปเที่ยวหอโคมเขียวทำไมกัน คราวนี้แม้จะช่วยชีวิตเขาได้ชาตินี้ก็หมดวาสนากับหอโคมเขียวแล้ว
“ท่านปู่บอกว่าทุกอย่างมีท่านอยู่ ให้ข้าตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาแต่โดยดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามข้ากลับบ้านโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นหากถูกเขาฆ่าทิ้ง ก็ตายเปล่าอยู่ดี” ในที่สุดเผยเหล่าซันก็รู้สึกความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว พูดสิ่งที่ปู่ของเขาพูดให้อวิ๋นเยี่ยฟังอย่างละเอียดทุกถ้อยคำ
“เช่นนั้นก็ทำตามท่านปู่เจ้า อยู่ในสำนักศึกษาให้ดี อย่าได้ออกไปหาเรื่อง อย่าออกไปข้างนอก สิ่งเดียวที่พี่ชายทำได้ก็มีเพียงเท่านี้”