เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 13 เขาวงกต
เรื่องของเผยอิงเผยเหล่าซันจะต้องหารือกับคนอื่นๆ ในสำนักศึกษาด้วย ทำไมเขายังไม่ได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาก็สวมชุดเครื่องแบบแล้ว แสดงให้เห็นว่าต้องมีคนเห็นด้วยที่จะให้เขาเข้ามาเรียนในสำนักศึกษา ผู้ที่มีสิทธิ์นี้มีเพียงสามคนคือ อวิ๋นเยี่ย หลี่กังและหลิวเซี่ยน อวิ๋นเยี่ยแค่อยากจะถามว่าใครเป็นคนหาปัญหาให้กับสำนักศึกษา หลี่กังหรือหลิวเซี่ยน ขออย่าได้เป็นหลี่กังเลยเพราะเขาเป็นคนใจอ่อน ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับเผยจี้อยู่ไม่น้อย หากตาเฒ่าทนคำวิงวอนร้องขอของเผยจี้ไม่ไหวจึงยอมรับเผือกร้อนหัวนี้ไว้ อวิ๋นเยี่ยก็ไปต่อไม่ถูกแล้ว
ในสำนักศึกษานั้น มีเพียงความเสมอภาคซึ่งสิ่งนี้ได้ให้ทุกคนมีฉันทามติร่วมกันตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสถาบันแล้ว ช่วยกันคิดริเริ่มวางแผนเพื่อการพัฒนาของสำนักศึกษาไปด้วยกัน ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่ออนาคตของสถาบันไปด้วยกัน ปัญหาของคนคนหนึ่งก็คือปัญหาของเพื่อนร่วมสถาบันทุกคน นี่คือกฎที่ร่างไว้ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง ตอนนี้มันหยั่งรากลึกลงในจิตใจคนมานานแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่รับปัญหาไว้ มันก็จะกลายเป็นปัญหาของสำนักศึกษาด้วย
ถ้าเป็นหลิวเซี่ยนรับไว้นั่นก็จะเป็นการดีมากเลย ตัวเขาเองอยู่ในสำนักศึกษาก็เป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ในหัวสมองขี้เลื่อยของเขานั้นมีเพียงแสงสว่างแห่งบารมีของฮ่องเต้ หากมีคนที่เบื้องหลังไม่ธรรมดาออกหน้าอยู่ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับทุกๆ ปัญหา ในประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นนานแล้วว่าผู้ที่ท้าทาย หลี่ซื่อหมินนั้นไม่มีจุดจบที่ดีสักคน แม้ว่าจะไม่แน่ใจ แต่อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าหลิวเซี่ยนนั้นมีโอกาสสูงถึงแปดส่วนที่จะทำเช่นนี้
อวิ๋นเยี่ยนำรถม้ามาสวมไว้ที่วั่งไฉอีกครั้งแล้วส่งให้หวงสู่กับเสี่ยวยา ให้เสี่ยวยาไปหาซินเย่ว์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ไม่ยอมออกมาแล้วค่อยๆ ควบรถม้ากลับบ้าน วั่งไฉนั่นเชื่อฟังมาก ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
แผงลอยของอิงเหนียงได้กลายเป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่ขายผักดองและเนื้อเค็ม ด้านหน้าร้านแขวนน้ำเต้าใส่เหล้าใบใหญ่อยู่เพื่อบอกให้รู้ว่าในร้านมีเหล้าขาย อิงเหนียงที่ท้องโตคอยทักทายลูกค้าที่อยู่ในร้านไม่หยุดนิ่ง ใบหน้ากลมๆ เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข สำหรับนางแล้ว สำนักศึกษาเสมือนหนึ่งคือสรวงสวรรค์ ไม่ขาดแคลนเรื่องอาหารการกิน ไม่ต้องถูกคนรังแก คนที่ประสบพบเจอล้วนแล้วแต่เป็นพวกเล่าเรียนเขียนอ่านมีมารยาทเรียบร้อย ชอบบรรยากาศที่เหล่านักเรียนในมือถือม้วนหนังสือ สั่งเครื่องเคียงสองอย่างและเหล้าร้อนๆ หนึ่งกา แล้วเก็บตัวอยู่ในมุมของร้านค้านั่งอย่างอิสระตามลำพัง ทุกครั้งที่มีคนเช่นนี้มาเข้าร้าน นางมักจะใส่ผักให้เต็มจาน เพียงแค่ถ้วยชาบนโต๊ะของเหล่านักเรียนว่างเปล่า นางก็จะรีบเข้ามารินเติมอย่างขยันขันแข็ง ให้เดินไปกลับสิบรอบก็ไม่รู้สึกรำคาญแม้แต่น้อย
เพียงแต่ทำให้หวงสู่ไม่พอใจอย่างมาก อยากจะสั่งสอนอิงเหนียงสักหน่อยเพื่อให้นางรู้จักรักษากริยาของหญิงออกเรือนแล้ว สุดท้ายถูกอิงเหนียงตอกกลับเพียงหนึ่งประโยคก็พูดไม่ออก เจ้าอยากจะให้เด็กในท้องได้มีกลิ่นอายของคนมีการศึกษาเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง หวงสู่ก็ไม่กล้าแสดงความเห็นอะไรในทันที ตอนนี้เขาค่อยๆ เข้ากับคนในสำนักศึกษาได้อย่างกลมเกลียวและค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับกลุ่มเล็กๆ ของสำนักศึกษาได้แล้ว คนดูแลที่ดูถูกเขา ตอนนี้เมื่อเห็นเขาก็ไม่จ้องหน้าตาเขียวปัดอีกต่อไป บางครั้งเรียกเขาว่าอาจารย์หวงด้วย ทุกครั้งที่ได้ยินคนอื่นเรียกตัวเองเช่นนี้ เขาก็ยืดอกขึ้นสูงกว่าเดิมโดยไม่รู้สึกตัว สำหรับเรื่องที่เขาจะถ่ายทอดวิชาการปล้นสุสานให้ลูกนั้น แม้แต่พูดยังไม่เคยพูดถึงเลย
เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาต่างก็มีรสนิยมของผู้มีพื้นการศึกษาดี อย่างเช่นชอบการคัดลอกอักษรจากแผ่นหินจารึก ด้วยการวางกระดาษทาบลงไปแล้วใส่หมึกบนร่องเว้านูนจนได้อักษรบนแผ่นหินนั้น เสาะหาสุสานของคนดังในอดีตและเขียนคำไว้อาลัย การสืบเสาะเรื่องโบราณอะไรมักจะมาหาหวงสู่ หากพูดถึงความคุ้นเคยเกี่ยวกับสุสานโบราณเหล่านี้ไม่มีใครรู้ดีกว่าหวงสู่อีกแล้ว คราวก่อนที่อาจารย์เหวินเจี๋ยที่มาจากจิ้นหยางไม่รู้ว่าไปพบสุสานของอู่อันอ๋องหลิวซั่งจากหนังสือโบราณเล่มไหน เขากับอาจารย์จิ้นจู๋พาหวงสู่ร่องแพกลางคืนอย่างเพลิดเพลินเป็นเวลาสามวัน อาศัยลางสังหรณ์ห่วยๆ ที่มีมาแต่กำเนิดของหวงสู่ในการปล้นสุสาน กลับได้พบสุสานของหลิวซั่งจริงๆ แม้ว่ามันจะเหลือแต่ซากปรักหักพังแล้วก็ตาม หากไม่สังเกตุให้ดีจะไม่มีใครคิดว่าจะมีท่านอ๋องถูกฝังอยู่เบื้องล่าง
พวกเขาไม่ได้ขุดสุสาน อาจารย์จินจู๋เมื่อหาแผ่นศิลาจารึกที่แตกหักเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเจอก็ตื่นเต้นดีใจมากเขา ทั้งยังว่าในตำราฮั่นซูอะไรนั่นหลิวซั่งแบ่งเขตแดนแคว้นหานตันผิดไป บนแผ่นศิลาจารึกไม่มีข้อความดังกล่าว แม้กระทั่งหานตันก็ไม่ได้พูดถึงเลย ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าหนังสือประวัติศาสตร์นั้นไม่ถูกต้อง ไม่สามารถนำมาสอนนักเรียนได้เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เด็กเข้าใจผิด
น้ำลายของหวงสู่กำลังจะไหลออกมาแล้ว สุสานนี้ยังสมบูรณ์อยู่ด้วย ยังไม่เคยโดนโจรปล้นสุสานแม้แต่ครั้งเดียว เขาใช้พลั่วลั่วหยาง[1]ขุดเพียงชั่วครู่ก็พบที่ตั้งของโลงศพ โดยตัดสินจากระดับความอ่อนและแข็งของปูนคอนกรีตผสม โลงศพถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีหากขุดขึ้นมาแล้วจะต้องมีสมบัติมากมายอยู่ในนั้นแน่นอน จึงได้บอกเรื่องนี้กับอาจารย์เหวินเจี๋ยและรอคำสั่งของเขา ตนเองรอที่จะสนุกกับความแปลกใหม่และความตื่นเต้นในการเปิดโลงศพในเวลากลางวัน
ใครจะรู้ว่าอาจารย์เหวินเจี๋ยเหลือบมองหวงสู่อย่างดูถูก แล้วสั่งให้หวงสู่แบกแผ่นศิลาจารึกที่หักครึ่งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้นออกเดินทางกลับสำนักศึกษา หวงสู่รู้สึกคันไม้คันมือสุดจะทน หันกลับไปมองที่หลุมฝังศพของหลิวซั่งเป็นระยะๆ เจ็บปวดใจเหลือทน พวกเขาค้นหาอยู่หลายวันและใช้เงินไปหลายก้วนก็เพื่อแผ่นศิลาจารึกครึ่งแผ่นนี่น่ะหรือ ของดีถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินนะ!
คันไม้คันมือเป็นอย่างมาก นอนพลิกตัวไปมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงโดนอิงเหนียงบ่นเข้าให้ โดยนางบอกว่าเขาได้แตะโดนท้องของนาง ไม่กลัวเด็กเป็นอะไรไปหรือ เมื่อพูดถึงลูก ความคิดที่อยากจะร่ำรวยของหวงสู่ก็หายไปในทันใด เขาลูบท้องใหญ่ๆ ของอิงเหนียง รู้สึกได้ว่าลูกของเขากำลังขยับตัวอยู่ในท้อง หวงสู่ส่ายศีรษะ ในเวลานี้อย่าว่าแต่สุสานของหลิวซั่ง สุสานหลวงของฮ่องเต้ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาแม้แต่น้อย
สำนักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตัวอย่างเช่นประตูของสำนักศึกษาที่อยู่เบื้องหน้าของอวิ๋นเยี่ย สูงและยิ่งใหญ่ทั้งยังให้ความรู้สึกแห่งความหม่นหมองด้วย เพราะเหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ สาเหตุก็คืออวิ๋นเยี่ยพาเผยอิงเดินผ่านประตูใหญ่แล้วสามครั้ง ทุกครั้งที่ผ่านทางแคบสุดท้ายก็กลับมาที่ประตูใหญ่ เข้ามาจากประตูด้านซ้ายก็ควรจะต้องออกมาจากประตูด้านขวา หากเข้าจากด้านขวาแล้วเดินวนเป็นเวลานานก็ควรจะต้องออกมาจากด้านซ้าย ห้องเรียนด้านหลังก็อยู่ห่างไม่ไกลจากประตูใหญ่ชัดๆ แต่กลับเดินไปไม่ถึงเสียที เพราะเหตุใด
เผยอิงกำลังตัวสั่นแล้ว เขาคิดว่าความชั่วร้ายที่เขาก่อขึ้นพระเจ้าต้องไม่ให้อภัยเขาแน่ จึงไม่อนุญาตให้ลี้ภัยในสำนักศึกษา จึงคุกเข่าลงกับพื้นสวดอ้อนวอนขอการอภัยจากพระเจ้า อวิ๋นเยี่ยดึงเผยอิงขึ้นมา พูดกับเขาแบบตาประสานตา “เมื่อเข้ามาที่สำนักศึกษาแล้วก็เลิกเชื่อถือเรื่องภูตผีปีศาจ ไม่ต้องเชื่อในพระเจ้าใดๆ มิฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจะต้องเผชิญกับเรื่องอะไรก็ตาม ข้าจะขับเจ้าออกจากสำนักศึกษาทันที นักเรียนผู้ศึกษาค้นคว้าความเป็นไปของโลกกลับเชื่อในสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นถือเป็นความอัปยศของสถาบัน สิ่งที่เราเผชิญอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงเขาวงกตเล็กๆ เท่านั้นเอง ภายหน้าเราหากพบกับสิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้น เจ้าจะทำอย่างไร คุกเข่าลงอ้อนวอนทุกครั้ง”
จากนั้นโยนเผยอิงที่ร่างอ่อนยวบราวกับดินเหนียวทิ้งไป อวิ๋นเยี่ยเอามือไพล่หลังพิจารณาประตูอย่างละเอียด ทั้งยังมีทางเดินด้านหลัง ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ว่าจะต้องเป็นลูกไม้ของกงซูมู่แน่นอน ประการแรกเพื่อแสดงเทคนิคการสร้างค่ายกลของตระกูลกงซูที่แข็งแกร่งให้เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาได้ประจักษ์ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้มีดีแต่ชื่อเท่านั้น ประการที่สอง พวกเขาต้องการยกระดับสถานะของตระกูลกงซูที่อยู่สำนักศึกษา และพิสูจน์ว่าความรู้ของพวกเขามีประโยชน์และมีประโยชน์มากด้วย สำหรับการชิงดีชิงเด่นอย่างสุภาพเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยยินดีอ้าแขนต้อนรับ งัดเอาทักษะของตัวเองออกมาทำให้คนอื่นต้องอึ้งไป ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ การแสดงฝีมือเช่นนี้ในสำนักศึกษายิ่งมากยิ่งดี อวิ๋นเยี่ยไม่ถือสาที่จะอำนวยความสะดวกสบายจากทุกๆ ด้าน
เมื่อวานนี้พวกมีพรสวรรค์เหล่านี้ทั้งกินทั้งดื่มอย่างสนุกสนานอยู่ที่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย หลี่กัง อวี้ซัน หยวนจาง หลีสือยังมีจ้าวเหยียนหลิง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนเหล่านี้หายไปหมดแล้ว กินของฉันใช้ของฉัน ทั้งตอนนี้ยังร่วมหัวกันมาแกล้งฉัน พวกตาแก่ไม่น่าเคารพเหล่านี้ตอนนี้คงจะซ่อนตัวและรอหัวเราะเยาะฉันอยู่แน่ รอจนฉันแก้ของเล่นห่วยๆ ได้แล้วจะขอดูสีหน้าของพวกเจ้าหน่อย ก็เพียงแค่ภาพลวงตาบางอย่างรวมกับการสร้างภาพลวงให้เกิดประสาทสัมผัสที่ผิดพลาดของร่างกาย ก็สามารถสร้างค่ายกลเช่นนี้ได้แล้ว ตระกูลกงซูนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
นี่คือประตูใหญ่ ที่เรียกว่าประตูก็คือถนนให้ผู้คนเข้าและออก บทบาทสำคัญที่สุดของถนนคืออะไร นั่นคือความสะดวก ทำให้คนสะดวกที่จะเข้าและออก หากออกแบบถนนให้ซับซ้อนเกินไปมันจะสูญเสียความสะดวกสบายที่เป็นความหมายพื้นฐานไป ตระกูลกงซูเป็นตระกูลที่โดดเด่นด้านก่อสร้าง ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจหลักการนี้ ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรืออนาคตจะต้องปฏิบัติตามกฎนี้อย่างแน่นอน นั่นคือการมีมนุษย์เป็นพื้นฐาน เหตุการณ์และสิ่งของต่างๆ ก็ต้องทำตามกฎนี้ มิฉะนั้นเรื่องที่ปรากฏออกมาใหม่นี้ก็จะไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย
อวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาทางประตูด้านซ้าย ทั้งไม่ลืมที่จะดันเผยอิงไว้ข้างหน้า ในเขาวงกตนี้ย่อมต้องมีกลไก แต่เขาคนนี้สวมเกราะอ่อนไว้และผิวก็ค่อนข้างหนา เหมาะที่สุดที่จะใช้เป็นโล่รับกลไก คิดว่าตระกูลกงซูคงไม่ใช้ของจำพวกหน้าไม้ ประตูหินพันชั่ง หินกลิ้งมาใช้กับตัวเขา แต่คาดว่าน้ำเย็น ผงแป้ง คงไม่น้อยแน่ ถ้าหากมีหลี่ไท่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอุจจาระและปัสสาวะก็อาจจะมีโอกาสด้วย นักเรียนตัวแสบเช่นนี้คราวหน้าต้องวิพากวิจารณ์ให้หนัก
เผยอิงเข่าอ่อนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีของอวิ๋นเยี่ยที่เห็นอะไรผิดปกติก็วิ่งหนีทันที ยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้น จึงเกาะขอบประตูไม่ยอมเข้าไป
“ถ้าแน่จริงก็ทำให้ข้าเป็นขันที ทำไมเจ้าจึงไม่มีความกล้าที่จะเดินผ่านเขาวงกต ก็ไม่ได้ถึงตายเสียหน่อย หากไม่สามารถเข้าไปในประตูได้แล้วตระกูลโต้วตามมาข้าก็ไม่มีปัญญาจะช่วยได้ เจ้าลองคิดดูให้ดี เข้าหรือไม่เข้า รีบตัดสินใจเร็วๆ คนของตระกูลโต้วกำลังจะมาถึงแล้ว”
เผยอิงที่อายุสิบเจ็ดปีเช่นเดียวกันก็กลัวจนร้องไห้ เขาไม่กลัวมีดดาบเคยผ่านสนามรบหลายครั้งแล้ว แต่เขากลัวสิ่งที่ยังมองไม่เห็นโดยเฉพาะเรื่องภูตผีปีศาจซึ่งทำให้เขาสั่นเทาจากก้นบึ้งของจิตใจ ก็เหมือนกับนักรบที่ฆ่าคนไม่กะพริบตาในสนามรบแต่กลับกลัวแอ่งน้ำ สาเหตุก็เพราะเขาว่ายน้ำไม่เป็นและรู้ว่าจะต้องจมน้ำตาย ซึ่งทำให้เขาเกิดความกลัวอย่างมาก
หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้า เผยอิงจึงถูกอวิ๋นเยี่ยผลักเข้าไปในประตูใหญ่ด้วยท่าทีที่เตรียมตัวเตรียมใจกับการเผชิญหน้าทุกเวลา
ถนนด้านหน้าประตูต้องตรง มิฉะนั้นจะทำให้ฮวงจุ้ยเสียไป ไม่มีประตูบ้านใครที่เข้ามาแล้วถนนบิดเบี้ยวมีหวังได้ถูกคนขำตาย อย่างมากที่สุดก็มีกำแพงเงา ตอนนี้หลังประตูสำนักศึกษานั้นมีพื้นที่ว่างอยู่ ไม่ใหญ่นัก กำแพงเงาอยู่ตรงหน้าพอดี ด้านบนเขียนประโยคที่เป็นเหตุผลพื้นฐานที่สุดอันโด่งดังไว้ว่า “ท่ามกลางสามคนต้องมีอาจารย์ของเราอยู่สักคน” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียนไว้ น่าจะเขียนว่า สามัคคีคือพลัง เข้มแข็งจริงจัง จะอ่านคล่องปากกว่า ข้อนี้ควรจะแก้ใหม่
เผยอิงเดินไปทางซ้ายมือตามความเคยชินเพราะพื้นผิวถนนมีความลาดเอียงเล็กน้อย เดินไปทางซ้ายจะรู้สึกสบายกว่ามาก เมื่อเปรียบเทียบอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นเยี่ยก็หยิบลูกปัดแก้วออกมา ดูเหมือนมันจะเป็นของที่อยู่บนสายคาดเอวของหลี่เฉิงเฉียน มาอยู่ในอกเสื้อตัวเองได้อย่างไร ไม่สนแล้ว เมื่ออยู่ในอกเสื้อฉันก็เป็นของของฉัน หากพบหลี่เฉิงเฉียนอีกครั้งก็อย่ายอมรับ ก็บอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อน มิเช่นนั้นคราวหน้าจะเอาของของเขาจะไม่ง่ายแล้ว
เขาวางลูกปัดลงบนพื้นภายใต้แววตาหวาดกลัวของเผยอิง ลูกปัดก็กลิ้งไปตามเนินดินเล็กๆ…
——
[1] พลั่วลั่วหยาง เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับขุดสุสาน โดยขอบข้างของตัวพลั่วช้อนขึ้นคล้ายทรงกระบอกผ่าครึ่ง