เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 15 ลิงกับลา
ประโยชน์ของการยืนบนที่สูงก็คือมองเห็นได้ไกล เมื่อยืนดูคนอื่นจากตรงนี้พวกเขาจะตัวเล็กกว่ากว่าการมองจากที่ราบหนึ่งเท่า หวงสู่น่าจะส่งเสี่ยวยาและซินเย่ว์กลับไปแล้ว ตนเองกลับมาจากภูเขาเพียงลำพัง ปลายก้านไม้ไผ่มีปลาสองตัวเสียบอยู่ สะบัดไปพร้อมฝีเท้าของเขา เขาไม่มีความวิตกกังวล เพียงหวัง เป็นอย่างยิ่งว่าแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายได้
“เจ้าหนุ่ม เจ้าจะเผชิญหน้ากับตระกูลโต้วที่ยิ่งใหญ่ดุดันเพียงคนเดียวจริงๆ หรือ” หลี่กังมองเขาจากด้านหลังเป็นเวลานานก่อนที่จะเอ่ยปาก
“อาจารย์หลี่ ท่านเป็นคนที่ข้าเคารพนับถือมากที่สุด ในขณะที่ข้าคนนี้ต้องต่อสู้เพียงลำพัง โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ทำให้ข้าพอจะมีเวลาว่างได้พักผ่อนบ้าง สามารถรักษาจิตใจที่สงบนิ่งไว้ได้ภายใต้การแก่งแย่งชิงดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ปีนี่ท่านเองก็อายุเจ็ดสิบปีแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องไปสู้รบตบมือส่วนตัวเองก็หลบอยู่ด้านหลังเสวยสุขอีกต่อไปแล้วจริงๆ คราวนี้เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทต้องการจะทำอะไรบางอย่าง จึงเอาข้ามาเป็นโล่ ถ้าหากข้ายังหดหัวอีกจะถูกคนทั่วหล้าดูถูกเหยียดหยาม แต่จะว่าไปแม้ว่าข้าจะล้มเหลวแต่ก็ยังมีฝ่าบาทอยู่ อย่างมากข้าก็ออกจากราชการ คืนฐานันดรศักดิ์ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย มีพวกท่านอยู่ สำนักศึกษาจะยังคงอยู่ต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง ท้ายที่สุดก็สามารถทำให้รุ่งโรจน์โชติช่วงได้ ข้ามั่นใจ”
หลี่กังหัวเราะฮ่าๆ “ข้าเองก็มีความมั่นใจมาก ตอนนี้มีนักเรียนห้าร้อยคนในสำนักศึกษา ขอเวลาเพียงสี่ปีเจ้าก็จะได้เห็นผลลัพธ์เบื้องต้น ปู๋ชี่ เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม อย่าได้ให้สิ่งสกปรกเหล่านี้มาทำลายจิตใจเจ้าได้ หากเจ้าลาออกจากตำแหน่งข้ากลับรู้สึกว่านี่คือโชคชะตาของสำนักศึกษา ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วเช่นนั้นก็จงทำเสีย เรื่องนี้ข้าไม่สามารถเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องได้ เมื่อออกจากราชการข้าก็กลายเป็นคนไม่มีอะไรแล้ว มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยังคงปฏิบัติต่อข้าเป็นบุคคลสำคัญ ฮ่าๆ แก่แล้ว จึงค่อยพบเพื่อนรู้ใจ แม้ว่าเจ้าจะอายุน้อยไปเสียหน่อยแต่ก็ไม่สำคัญ เจ้าเองก็ควรผ่านลมมรสุมบ้าง จงทำมันให้ดีเถอะ”
มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาตามถนนที่คดเคี้ยว พวกเขาไม่ได้ดูเยือกเย็นไม่รีบร้อนเหมือนศิษย์ของสำนักศึกษา แต่ควบม้าห้อตะบึงอยู่ระหว่างภูเขาจนทำให้ฝูงนกแตกตื่น
อวิ๋นเยี่ยและหลี่กังต่างมองหน้ากัน มาแล้ว รวดเร็วดีจริงๆ เผยอิงมาถึงสำนักศึกษาไม่ถึงสองชั่วยาม พวกเขาก็มาตามหาได้ถูกที่อย่างแม่นยำ ไม่เสียทีที่เป็นตระกูลใหญ่เลย ข้อมูลข่าวสารก็รวดเร็วฉับไว อวิ๋นเยี่ยยังคิดว่าไม่ว่าอย่างไรตนเองก็น่าจะพอยืดเวลาได้สองวัน คิดไม่ถึงว่าจะต้องเผชิญหน้ากับตระกูลโต้วโดยตรงในตอนนี้
ลูกหลานตระกูลใหญ่นั้นต่างกับคนทั่วไปจริงๆ ไม่รีบร้อนบุกเข้าสำนักศึกษา พร้อมใจกันดึงบังเ**ยนม้าหยุดอยู่ที่หน้าประตูสำนักศึกษา คุณชายที่สวมชุดหรูหราคนหนึ่งลงจากม้าแล้วพูดกับองครักษ์ที่ประตูว่า “ไปแจ้งให้อวิ๋นโหวทราบว่าโต้วเยี่ยนซันมาเยี่ยมคารวะ”
“เรียนคุณชาย โหวเยี๋ยไม่อยู่! หากท่านมีธุระอันใดโปรดมาใหม่ในวันหลัง” องครักษ์ของสำนักศึกษาตอบอย่างเย็นชา
ม่านตาของโต้วเยี่ยนซันหดลงในทันใด ดูเหมือนองครักษ์คนนี้จะไม่ใช่คนโง่ อะไรที่บอกว่าโหวเยี๋ยไม่อยู่ แต่ไหนแต่ไรมาโต้วเยี่ยนซันไปมาหาสู่กันกับตระกูลใหญ่ในฉางอันไม่เคยมีใครตอบกลับคำขอเยี่ยมคารวะของเขาเช่นนี้มาก่อน
“คุณชาย อวิ๋นเยี่ยหลบหน้าเราอย่างชัดเจน มีใครบ้างที่บอกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าจงใจแกล้งคุณชาย ในเมื่อเขาไร้ยางอายก่อน พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาแล้ว บุกเข้าไปเลยเป็นอย่างไร จับเผยอิงออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ เพื่อระบายความแค้นให้คุณชายเล็ก” หัวหน้าองครักษ์ตระกูลโต้วดูเหมือนจะร้อนใจจนทนไม่ไหวแล้ว อยากจะโอ้อวดความแข็งแกร่งของตนเองต่อหน้าเจ้านายให้เต็มที่
โต้วเยี่ยนซันไม่สนใจองครักษ์เพียงแต่จัดเสื้อผ้าหน้าผมใหม่ เพราะเมื่อครู่ควบม้าห้อตะบึงมาทำให้เสื้อผ้าของเขาค่อนข้างไม่เรียบร้อย
จากนั้นสั่งให้องครักษ์รอที่ประตู เขาก้าวขึ้นบันไดของสำนักศึกษาพร้อมยิ้มกล่าวกับองครักษ์ของสำนักศึกษาว่า “สำนักศึกษาคงไม่ได้มีกฎห้ามไม่ให้ผู้มีการศึกษาคนหนึ่งเข้าไปกระมัง”
“เรียนคุณชาย นับตั้งแต่ที่สำนักศึกษาอวี้ซันก่อตั้งขึ้นมาก็ไม่เคยปฏิเสธการมาเยี่ยมของผู้ใดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นราชนิกุลหรือญาติของตระกูลใหญ่ หรือจะเป็นชาวบ้านผู้ยากจนต่างก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าคุณชายสามารถเข้าไปเยี่ยมชมสำนักศึกษาได้ หอสมุดของสำนักศึกษามีหนังสือมากกว่าหกพันแปดร้อยชุด ทั้งยังมีตำราไม้ไผ่ที่นักปราชญ์ในราชวงศ์ก่อนหลงเหลือไว้ ตำราจิ่นซูซึ่งเป็นการใช้ใยไหมสีขาวมาถักทอเพื่อจดบันทึกตั้งแต่สมัยชุนชิวจั้นกั๋วซึ่งเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระให้คุณชายได้เยี่ยมชม ด้านข้างหอสมุดยังมีโครงกระดูกไดโนเสาร์อยู่ด้วย เพียงแค่น้ำหนักของศีรษะก็มีน้ำหนักเกินหนึ่งพันห้าร้อยกิโลกรัมแล้วซึ่งมันใหญ่มาก หากคุณชายอยากจะดูมันอยู่ในอาคารสีขาวหลังนั้น ขอเพียงไม่นำมันออกไปคุณชายสามารถเที่ยวชมได้ตามสบาย”
องครักษ์ของสำนักศึกษาได้แนะนำสถานที่ของสำนักศึกษาให้โต้วเยี่ยนซันฟังตามความเคยชินซึ่งนี่เป็นงานประจำวันของพวกเขา
รอยยิ้มบนใบหน้าของโต้วเยี่ยนซันจึงยิ่งเจิดจรัสขึ้น ถามขึ้นอีกว่า “ไม่รู้ว่าข้าจะมีวาสนาได้ฟังการบรรยายของอาจารย์หลี่และอาจารย์ซินหรือไม่”
องครักษ์ของสำนักศึกษาพลิกเปิดตารางเรียนที่อยู่ด้านข้างและตอบโต้วเยี่ยนซันว่า “วันนี้อาจารย์หลี่ไม่มีบรรยาย ตอนนี้อาจารย์ซินกำลังจะบรรยายเรื่อง “จิ้นซู” บทที่แปดสิบเจ็ดตอนที่สี่ให้นักเรียนปีสามฟัง อีกประมาณหนึ่งก้านธูปก็จะเริ่มบรรยายแล้ว อาจารย์ซินบรรยายอย่างละเอียดและเข้มงวด ทุกตัวอักษรมีค่ามาก คุณชายอย่าได้พลาดโอกาส”
“องครักษ์สำนักศึกษาอวี้ซันเช่นพวกเจ้าก็รู้หนังสือทุกคนหรือ” ได้ยินองครักษ์พูดถึงวิชาเรียนอย่างละเอียดลออ ทั้งยังรู้หนังสืออีกด้วย การค้นพบครั้งนี้ทำให้โต้วเยี่ยนซันค่อนข้างประหลาดใจ องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขาไม่รู้หนังสือเลยแม้แต่คนเดียว เกียรติยศของตระกูลอันเก่าแก่ยังคงไม่แผ่บารมีไปถึงคนหยาบกระด้างที่รู้จักแต่การเข่นฆ่าเหล่านี้
ไม่เพียงแต่เขา องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังพบว่าคนที่มีสถานะเช่นเดียวกันกับเขากลับเป็นคนรู้หนังสือ แววตาก็แสดงออกถึงความชื่นชม ต้องบอกไว้ก่อนว่าถ้าพวกเขาเองก็ไรู้หนังสือก็จะไม่มีใครเต็มใจที่จะไปเป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้ตระกูลใหญ่แน่ ต่างก็พากันไปเป็นทหารเพื่อแสวงหาความก้าวหน้ากันหมดแล้ว
“ในเมื่อเจ้ารู้หนังสือทำไมไม่เข้าร่วมกองทัพ ขอเพียงมีโอกาส การจะได้รับพระราชทานงานแต่งงานก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทำไมจึงอยากเป็นเจ้าหน้าที่เฝ้าประตู” ดูเหมือนว่าโต้วเยี่ยนซันจะลืมจุดประสงค์ที่มาสำนักศึกษาไปแล้ว จึงคุยกับทหารองครักษ์อย่างออกรสชาติ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ องครักษ์ของสำนักศึกษาก็ยืดอกโดยไม่รู้ตัวและคุยกับโต้วเยี่ยนซันว่า “ข้าน้อยยังมีเวลาเข้าฟังบรรยายได้อีกหนึ่งปี จึงไม่อยากพลาดโอกาส รอจนฟังบรรยายครบแล้ว ข้าน้อยจะไปสมัครเป็นหัวหน้าทหารฝึกงานของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้าย”
“ในบรรดาองครักษ์นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครที่รู้หนังสือบ้างไหม” จู่ๆ โต้วเยี่ยนซันก็คิดอยากจะเก็บข้อมูลของสำนักศึกษาสักหน่อย ราวกับว่าค่อนข้างจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าสิ่งที่ตั้งใจจะมาทำก่อนหน้า
องครักษ์สำนักศึกษาหัวเราะฮ่าๆ ตอบทุกคำถาม “ทุกคนที่ไม่รู้หนังสือต่างก็ถูกโหวเหยียของข้าไล่ไปขุดเหมืองหินที่หลังเขา โดยบอกว่าพลางขุดเหมืองหินพลางเรียนหนังสือ หากยังจำตัวหนังสือไม่ได้อีกก็จงขุดเหมืองหินไปจนตาย คนโง่เช่นนี้ตายไปเลยจะยังดีเสียกว่า ตอนนี้ยังมีพี่น้องเจ็ดคนที่ทำงานอยู่ในเหมืองหินคิดว่าคงทำอีกไม่นาน ได้ยินว่าคนที่โง่ที่สุดก็รู้หนังสือหลายร้อยตัวอักษรแล้ว”
โต้วเยี่ยนซันสูดหายใจเข้าลึกๆ เขารู้ดีว่านักรบผู้รู้หนังสือจะได้รับการส่งเสริมในกองทัพอย่างไรบ้าง ผู้ที่มีความรู้ทั้งบุ๋นบู๊ หากอยู่ในกองทัพแล้วจะไม่ก้าวหน้าคงเป็นเรื่องยาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ใช้เวลาไม่ถึงสิบปี ผู้ใต้บังคับบัญชาในกองทัพอย่างน้อยก็มีสองส่วนที่เป็นคนที่สำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาหรือ ด้วยพลังมหาศาลเช่นนี้ แม้แต่โต้วเยี่ยนซันผู้ที่พบเจอเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายนั้นก็แอบตกตะลึงอยู่ในใจ
เดิมตั้งใจว่าจะให้รางวัลองครักษ์สักหน่อย แต่ตอนนี้พบว่าเขาเองก็เป็นผู้รู้หนังสือ ดังนั้นจึงไม่ควรทำโดยไม่ระวังเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด การให้รางวัลผู้ที่รู้หนังสือในต้าถังเช่นนี้ถือเป็นการดูถูก คนที่รู้หนังสือในตอนนี้นั้นมีอยู่น้อยเหลือเกิน
โต้วเยี่ยนซันประสานมือขอบคุณองครักษ์ องครักษ์ก็โค้งคำนับแสดงความเคารพตอบ ผายมือเชื้อเชิญไปที่ประตูสำนักศึกษา เป็นสัญญาณว่าโต้วเยี่ยนซันนั้นสามารถเข้าไปได้แล้ว
ยังไม่ทันถึงหน้าประตูก็ได้ยินองครักษ์พูดขึ้นอีกว่า “คุณชายโปรดระวัง ประตูสำนักศึกษานั้นท่านอาจารย์กงซูมู่เป็นผู้ควบคุมการสร้าง ด้านในมีกลไกเล็กน้อยแต่ไม่ทำให้ใครบาดเจ็บ ขอคุณชายโปรดระวัง”
โต้วเยี่ยนซันเองก็ถือเป็นยอดบุคลากรของตระกูลโต้ว มีความรอบรู้เรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย สำหรับเรื่องกลไกโครงสร้างก็เคยศึกษาค้นคว้าอยู่บ้าง ครั้งนี้ที่ที่บ้านส่งเขามาก็เพื่อมารับมือกับยอดคนที่สำนักศึกษาอวี้ซันซึ่งแตกต่างจากสำนักศึกษาอื่นที่สอนหลักปรัชญาขงจื๊อตั้งใจพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ
หลังจากได้ยินคำพูดขององครักษ์ก็เพียงแค่ยิ้มและจากไป ในความคิดของเขาสิ่งที่เรียกว่า กลไกโครงสร้างก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอาศัยสภาพภูมิประเทศและใช้วิธีการที่แยบยลเพื่อให้เกิดภาพลวงตาที่ว่าสี่ตำลึงยกพันชั่งก็เท่านั้นเอง เช่นของจำพวกแผ่นกระดานพลิก ทรายดูด กำแพงหนาม เขาไม่เชื่อว่าสำนักศึกษาจะกล้าใช้กลไกที่โหดร้ายเหล่านี้กับตัวเอง เมื่อตัดของเล่นที่อันตรายถึงชีวิตแล้วกลไกยังจะมีผลอะไรได้อีก ยิ่งเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากเท่าไรก็ยิ่งมีความหวาดกลัวต่อเรื่องที่ยังไม่รู้น้อยเท่านั้น อาจารย์กล่าวไว้ว่า “เคารพภูตผีเทวดาแต่ให้อยู่ห่างไกล”
อวิ๋นเยี่ยกำลังนอนหมอบอยู่บนหอเก็บน้ำ นั่งที่นี่เขาสามารถเห็นการเคลื่อนไหวทุกอย่างของโต้วเยี่ยนซันได้อย่างชัดเจน กงซูมู่หาเก้าอี้เอนมานอนและหลับตาพักผ่อน หลี่ไท่นั่งนวดก้นของเขานั่งปรนนิบัติกงซูมู่อย่างขยันขันแข็ง ไม่วางท่าทีเหมือนท่านอ๋องเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่ากงซูมู่จะเสพสุขกับเกียรติเช่นนี้มาก นอนฮัมเพลงอยู่ตรงนั้น ดูน่าขยะแขยงมาก ก็ไม่รู้ว่ากำลังร้องเพลงเด็กหรือโดนแดดเผาจนสุขสบายเกินไปจึงได้ส่งเสียงฮัมออกมาโดยไม่รู้สึกตัว
ความเจ็บปวดที่ก้นของหลี่ไท่นั้นเกิดจากเท้าของอวิ๋นเยี่ย เดิมยังคิดว่ากลไกที่เลวร้ายที่สุดของหลี่ไท่อย่างมากก็เป็นน้ำหนึ่งอ่าง ใครจะคิดว่าจะเป็นกระสอบทรายที่อัดทรายจนเต็มแน่น ตอนนี้เผยอิงยังคงปวดหัวหน้ามืด นอนโอดครวญอยู่ในคุกใต้ดินของสำนักศึกษาอยู่เลย
สำหรับความรุนแรงของอวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ทำอะไรไม่ได้เลย เมื่อบอกเสด็จแม่ของตนเองเพื่อขอให้นางออกหน้าให้ ใครจะรู้ว่าเสด็จแม่ถึงกับพูดว่า “ลูกผู้ชายหากถูกทุบตี ถ้าไม่อดทนก็ไปเอาคืน วิ่งมาโอดครวญต่อหน้าแม่ใช้ได้ที่ไหนกัน หากคราวหน้ายังกล้ามาฟ้องเรื่องเช่นนี้อีก ข้าจะตีเจ้าอีกรอบด้วย” นับแต่นั้นมาถ้าหากมีโอกาสหลี่ไท่จะหาหนทางจัดการอวิ๋นเยี่ยให้ได้ เพียงแต่จนถึงตอนนี้คะแนนก็ยังติดลบ ทุกครั้งที่ทำล้มเหลวตนเองก็ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัว แต่ไหนแต่ไรอวิ๋นเยี่ยไม่เคยอธิบายเหตุผลกับเขาเลย กำปั้นและเท้าจึงเป็นสิ่งเดียวที่เขาไว้ใจได้ หลี่ไท่เกลียดแค้นเขามาก
“ผู้เฒ่ากงซู ของเล่นห่วยๆ ของเจ้าจะใช้การได้ไหม จะสามารถหยุดยั้งโต้วเยี่ยนซันได้หรือไม่ ดูเหมือนข้าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็แก้ปมของเล่นห่วยๆ ของเจ้าได้แล้ว มีแต่ช่องโหว่เต็มไปหมดเหมือนตะแกรงไม่มีผิด หากถูกชายคนนั้นแก้ปมได้ ใบหน้าเ**่ยวๆ ของเจ้าจะเก็บไว้ที่ไหน ถ้าหยุดยั้งไม่ได้ก็ขอให้รีบๆ บอก ข้าจะได้คิดอีกวิธีหนึ่ง”
อวิ๋นเยี่ยไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวกลไกของกงซูมู่สักเท่าไร ของเล่นเด็กสามขวบเหล่านั้นจะสามารถขัดขวางตระกูลโต้วได้หรือ
คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้ชายชราลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ ดวงตาแดงก่ำ “ปีศาจร้ายอย่างเจ้าข้าอยู่มานานกว่าเจ็ดสิบปีก็เพิ่งจะเจอเจ้าเพียงคนเดียว ข้าไม่เชื่อว่าจะมีคนอย่างเจ้าอยู่ทั่วหล้านี้ ถ้าหากว่าใครๆ ก็สามารถแก้กลไกของข้าให้กลายเป็นของที่ไม่มีอะไรเลยได้ง่ายๆ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะกระโดดลงไปจากหอเก็บน้ำนี้ อยู่ต่อไปยังจะมีหน้าสร้างชื่อเสียงบารมีอะไรในสำนักศึกษาได้อีก”
อวิ๋นเยี่ยเอานิ้วแคะหู คนอายุเจ็ดสิบกว่ายังจะตะโกนได้เสียงดังเพียงนี้อีก ดูแล้วน่าจะยังมีสินค้าที่ดีอยู่อีกหลายปี ด้วยการรับประกันเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยเองก็รู้สึกโล่งใจ มองดูโต้วเยี่ยนซันที่กำลังวนเวียนอยู่บนอุโมงค์ทางเดิน อวิ๋นเยี่ยยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก
ในใจก็คิดว่า ‘ลิงกับลาไม่ได้แข่งกันเรื่องมันสมอง แต่กลับแข่งกันในจุดแข็งของตัวเอง พวกคุณคิดว่าฉันโง่หรืออย่างไร’