เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 17 ตาเฒ่าที่ไร้คุณธรรม
ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันนั้นเป็นคุณสมบัติเด่นที่ทุกคนในเมืองหลวงมีเช่นเดียวกัน หากเมืองฉางอันวันไหนไม่มีประเด็นร้อนแรงเกิดขึ้นจะมหานครเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้าได้อย่างไร
ก่อนที่จะมีการตีฆ้องบอกเวลา ข่าวการปะทะกันระหว่างตระกูลโต้วและสำนักศึกษาก็ได้เข้ามาแทนที่ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ว่าซื่อหลางแห่งกรมพิธีการหลิวหยวนหล่างเกือบตายขณะมีเพศสัมพันธ์โชคร้ายกลายเป็นอัมพาตร่างกายช่วงล่างไป ซึ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนาเรื่องใหม่ที่ร้อนแรง
คำเล่าลือนั้นเสมือนติดปีก ขอเพียงมีช่องว่างเล็กๆ มันจะแพร่กระจายเข้าไปทุกซอกทุกมุม ในตอนเริ่มแรกนั้นยังค่อนข้างดีเพราะพวกเขาบอกว่าตระกูลโต้วและสำนักศึกษาอวี้ซันมีข้อพิพาทกันเนื่องด้วยเรื่องความเป็นความตายของเผยอิง ทำให้ผู้เฒ่าในตระกูลโต้วจึงไม่ยอมรามือต่างๆ นานา ต่อมาเพราะชื่อเสียงของเผยอิงโด่งดังเรื่องผู้หญิงมากเกินไป ต่อมาจึงกลายเป็นผู้เฒ่าของตระกูลโต้วแก่แล้วไม่อยู่ส่วนแก่ เพื่อหญิงงามแห่งยุคจึงไม่ลังเลเลยที่จะปะทะกับหลานเถียนโหวแห่งสำนักศึกษาอวี้ซัน หนึ่งหนุ่มหนึ่งเฒ่าเพื่อการแก่งแย่งเผยอิงจึงตัดสินใจที่จะเปิดศึกครั้งใหญ่บนเขาอวี้ซัน
หญิงงามคู่กับชายหนุ่มย่อมที่จะเหมาะสมกว่า ระหว่างทั้งสองกลับมีตาเฒ่าหนังเ**่ยวเหมือนหนังไก่แทรกเข้ามาเตรียมช่วงชิงความรักอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่ ภายใต้ข่าวลือดังกล่าวความคิดของผู้คนที่มีทั้งสนับสนุนและคัดค้านก็ปรากฏอย่างเด่นชัดโดยไม่ต้องกล่าวอะไรเลย
โต้วเยี่ยนซันกลับมาถึงฉางอัน เพิ่งจะรายงานความคืบหน้าของเหตุการณ์ให้ผู้เฒ่าที่บ้านฟังก็ถูกดุด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ทั้งโดนโบยตามกฎบ้านอีกสิบที เดินกะเผลกออกจากหอบรรพชนก็ได้ยินข่าวอันเลวร้ายจนน่าตกใจนี้ จากนั้นจึงคว้าดาบขึ้นไม่สนใจแม้แต่อาการบาดเจ็บที่บั้นท้ายเพื่อที่จะบุกไปแลกชีวิตกับอวิ๋นเยี่ยที่สำนักศึกษา
ชื่อเสียงคุณธรรมของผู้เฒ่าในตระกูลได้รับการเคารพมานานหลายทศวรรษ ครั้งนี้กลับถูกลดระดับชื่อเสียงบารมีลงมาเหลือทัดเทียมระดับเดียวกับอวิ๋นเยี่ย คนหนึ่งเป็นขุนนางเก่าแก่ที่สร้างความดีความชอบผู้มีบารมีสูงส่ง อีกคนหนึ่งเป็นอันธพาลตัวเล็กๆ ที่เพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หัวโจกแห่งสามเภทภัยของฉางอันไม่ใช่อันธพาลแล้วคืออะไร
แต่ถูกบิดาของเขาโต้วหวยเต๋อขวางเอาไว้และแย่งดาบในมือไป โยนให้องครักษ์ที่ลานแล้วหันหลังเดินกลับไปที่ห้องโถงใหญ่โดยพูดเพียงสองคำว่า “ตามมา”
เขาเดินตามบิดาไปที่ห้องโถงใหญ่แต่โดยดี เห็นผู้เฒ่ากำลังพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าระมัดระวังตัวมาตลอดชีวิต แก่แล้วยังจะไปหาความสุขก็ไม่เลวนะ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ขอเพียงได้เป็นหมายเลขหนึ่งในเมืองฉางอันก็พอ มีใครที่ไม่เคยต้องแบกรับข่าวลือเรื่องมัวหมองหลายๆ เรื่องกันบ้าง หลายวันก่อนข้าได้ยินถึงข่าวการจากไปของสหายเก่าหลายคนอย่างต่อเนื่อง ในใจก็รู้สึกเสียใจที่ได้กระทำผิดยิ่งนัก เห็นอยู่ชัดเจนว่ามีมิตรภาพอันดีต่อกัน แต่ทำไมจึงจำไม่ได้ว่าเคยทำเรื่องสนุกสนานที่ชวนให้ระลึกถึงเหล่านั้นมาด้วยกัน สิ่งที่จำได้มีเพียงเงาดาบแสงกระบี่และหลักคำสอนของขงจื๊อที่โต้ตอบด้วยบทกวี มันก็ค่อนข้างน่าเบื่อไปสักหน่อย ตอนนี้หลานเถียนโหวได้เพิ่มช่วงชีวิตที่สำมะเลเทเมาให้ข้า ในใจก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไรอีกแล้ว
ชื่อเสียงของตระกูลโต้วนั้นดีเกินไป ไม่ควรให้เป็นเช่นนี้ ในครอบครัวตระกูลใหญ่จะไม่มีพวกจอมล้างผลาญอยู่บ้างเลยก็ไม่ดีนัก เยี่ยนซัน ต่อไปพวกเจ้าเองก็ลองไปเที่ยวแสวงหาความสำราญให้บ่อยครั้งหน่อยก็ได้ แล้วถือโอกาสเผยแพร่ชื่อเสียงตระกูลโต้วให้ภายนอกได้รับรู้บ้าง ตระกูลโต้วไม่เพียงแต่มีเหล่าศิษย์ด้านบรรพชิต แต่ยังมีสุภาพบุรุษจอมเจ้าชู้ที่เก่งด้านโคลงฉันท์กาพย์กลอนอยู่ด้วย”
โต้วเยี่ยนซันรีบคุกเข่าลงพลางโขกศีรษะพลางพูดว่า “ต่อไปหลานจะไม่กล้าอีกแล้ว ขอท่านผู้เฒ่าลงโทษสถานเบาด้วย”
ชายชราลุกร้องโอ๊ยอยู่เป็นนานจึงลุกจากเก้าอี้แล้วยืนขึ้นได้ ลูกหลานที่อยู่ข้างๆ ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปพยุงสักคน ชายชราแต่ไหนแต่ไรไม่ยอมให้ใครช่วยพยุง ลูกชายคนก่อนที่ทำเช่นนี้จึงถูกเนรเทศไปเป็นชาวเผ่าหูที่ทะเลทราย ตั้งแต่นั้นมา นอกจากคนรับใช้ที่อายุเจ็ดสิบกว่าปีที่อยู่ข้างกายเขา ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปพยุงชายชรา
ชายชราเดินมาที่ข้างกายโต้วเยี่ยนซันแล้วถอนหายใจ “ปู่ไม่ได้ตำหนิเจ้า แต่เป็นเพราะตระกูลโต้วจำต้องมีคุณชายจอมเสเพลอยู่บ้างแล้วจริงๆ ปู่เองที่เป็นคนสั่งให้ซันสือหลางจงใจทำตัวสำมะเลเทเมา คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เกิดเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่ขึ้นกับเขา ซึ่งทำร้ายซันสือหลางผู้น่าสงสารของข้า”
“ท่านพ่อ ตระกูลเผยรังแกกันมากเกินไป หลานเถียนโหวทระนงตนว่าเก่งกาจ ต่างก็ไม่เห็นตระกูลโต้วของพวกเราอยู่ในสายตา ตามความเห็นของลูก พวกเราควรแสดงแสนยานุภาพด้วยการกวาดล้างศัตรูให้สิ้นซาก รีบทำลายทั้งสองตระกูลไปโดยเร็ว มิฉะนั้นชื่อเสียงตระกูลโต้วของพวกเราจะต้องเสียหายไม่เหลือชิ้นดี” โต้วหวยเอินบุตรชายคนที่สามของตระกูลโต้วลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับบิดาของเขา
“เหล่าซัน ไม่ได้เด็ดขาด!” บุตรชายคนโตโต้วหวยอี้รีบห้ามน้องสามไม่ให้พูดต่อ
“หวยเอิน เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป แม้ว่าเรื่องการแก้แค้นจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับรากฐานตระกูลโต้ว ซันสือหลางเป็นลูกชายของเจ้าและก็เป็นหลานชายของข้าด้วย คนตระกูลโต้วไม่มีเหตุผลที่จะตายเปล่า เจ้าต้องส่งเขาไปปรโลกด้วยตัวเอง พ่อมีหรือจะไม่เข้าใจความเจ็บปวดในใจเจ้า อย่างไรตระกูลนี้ก็ยังคงต้องสืบทอดต่อไป คงต้องทุกข์ใจเจ้าแล้ว”
โต้วหวยเอินคุกเข่าลงบนพื้นร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด โต้วหวยอี้และโต้วหวยเต๋อที่ยืนอยู่ด้านข้างพยุงเขาลุกขึ้นไปนั่งบนแคร่เตี้ยๆ
“เยี่ยนซัน เมื่อเจ้าไปถึงสำนักศึกษาอวิ๋นเยี่ยพูดว่าอย่างไรบ้าง เล่ามาฟังอย่างละเอียด ห้ามปิดบังแม้แต่คำเดียว” ชายชราพูดกับโต้วเยี่ยนซันด้วยท่าทีขุ่นเคือง
“หลานไม่ได้พบกับอวิ๋นเยี่ย เพียงแต่ได้ยินองครักษ์เฝ้าประตูพูดเพียงประโยคเดียว”
“พูดว่าอะไร”
“โหวเหยียบอกว่าเขาไม่อยู่ พูดเพียงประโยคนี้ประโยคเดียว แต่หลานนึกว่าสามารถทำลายกลไกของพวกเขาได้ ใครจะรู้ว่าก้าวผิดเพียงก้าวเดียวก็ผิดพลาดไปทุกๆ ก้าว เดินเข้าสู่กับดักของอวิ๋นเยี่ย หลานไร้ความสามารถ ขอท่านผู้เฒ่าลงโทษด้วย” กางเกงของโต้วเยี่ยนซันนั้นเปื้อนเลือดจนแดงไปหมดแล้ว แต่ก็คุกเข่าบนพื้นไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ
“โหวเหยียบอกว่าเขาไม่อยู่ น่าสนุก ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่าระหว่างตระกูลโต้วและตระกูลเผยนั้นอวิ๋นเยี่ยเลือกจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่าจะเข้าข้างตระกูลเผยโดยไม่ลังเล เขาโง่หรือไม่ แม้แต่เผยจี้ยังไม่กล้าปกป้องเผยอิง อวิ๋นเยี่ยเขาใจกล้ามาจากไหน อาศัยเพียงครอบครัวของเขาซึ่งมีแต่ผู้หญิงและเด็กที่ไม่สามารถรับมือการบุกอย่างดุดันของตระกูลโต้วแม้เพียงครั้งเดียวเสียด้วยซ้ำ เขาอาศัยอะไร”
ชายชราไม่ได้เห็นตระกูลอวิ๋นอยู่ในสายตามาตั้งแต่แรกแล้ว อวิ๋นเยี่ยเมื่ออยู่เบื้องหน้าเขาก็เป็นเพียงตั๊กแตนที่ขวางทางล้อเท่านั้น ตอนนี้ตั๊กแตนยื่นแขนออกมาเพื่อขัดขวางรถม้าของตระกูลโต้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คือรนหาที่ตาย เขาไปเอาความกล้ามาจากไหน หรือใครบางคนให้ความกล้าหาญแก่เขา
“เจ้าใหญ่ หยุดทำการค้ากับเซวียเหยียนถัวชั่วคราว อาวุธเหล็ก ม้วนผ้า แล็กเกอร์ดิบและผ้าลินินผ้าไหมหยุดทั้งหมด พ่อมักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ไท่ซั่งหวงคราวก่อนก็เตือนข้าทั้งทางตรงทางตรงอ้อม ข้ามักจะคิดว่าในตระกูลเรามีคนมาก มีเส้นทางการค้าเพิ่มอีกหนึ่งเส้นทางย่อมเพิ่มทางรอดได้มากขึ้นอีกหนึ่งหน่อย ครอบครัวก็จะได้ร่ำรวยมากขึ้นอีกเล็กน้อย จะได้ไม่ให้ลูกหลานสาขาของตระกูลต้องอดอยากปากแห้ง ตอนนี้ดูไปแล้วข้าจะโลภเกินไป ในวัยเยาว์ควรหักห้ามใจเรื่องโลกีย์ ในวัยกลางคนควรรู้จักอดกลั้นเรื่องความโกรธ เมื่อสูงวัยควรรู้จักละทิ้งเรื่องการครอบครอง ข้าเกิดความโลภขึ้น หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลโต้วในตอนนี้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก”
หลังจากสั่งงานเรื่องในบ้านเสร็จแล้ว ชายชราถามโต้วเยี่ยนซันอีกครั้ง “เจ้าเองก็เป็นวัยรุ่น คิดว่าเมื่อได้ทักทายกับอวิ๋นเยี่ย เขาจะสร้างความประทับใจอย่างไรให้เจ้า”
“เรียนท่านผู้เฒ่า อวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่ฉลาดเกินคน มีความรู้กว้างขวาง ผู้คนทั่วหล้าล้วนแล้วแต่เสวนาพาทีกับเขาอย่างสนิทสนม เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นศิษย์ของสำนักที่โด่งดัง เขาเป็นคนที่ค่อนข้างล้าหลังแต่กลับค่อนข้างเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มีคุณธรรมมากที่สุดเท่าที่หลานเคยพบมา ใจกว้าง มีความเชื่อมั่น มองเงินทองเหมือนเบี้ย แต่ก็รักทรัพย์สินยิ่งชีพ มีความหสามารถเหมือนเถาจูกง[1]แต่ก็มีความล้างผลาญเหนือคนอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน หลานเคยได้ยินสหายบอกว่าหลังจากที่อวิ๋นเยี่ยดื่มจนเมาแล้วเคยตะโกนโหวกเหวกว่า “คนเราเกิดมาทุกคนนั้นมีค่าในตัวเอง เงินทองหมดไปเดี๋ยวก็หาใหม่ได้” หลานฟังประโยคนี้แล้วก็เกือบจะคล้อยตาม”
โต้วเยี่ยนซันไม่ได้มองว่าเป็นความแค้นส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย แสดงความเห็นต่ออวิ๋นเยี่ยให้ชายชราฟังอย่างละเอียด
“หนุ่มอัจฉริยะเช่นนี้จะมองสถานการณ์เบื้องหน้าไม่ชัดเจนเลยหรือ จะฝืนขวางหน้าตระกูลโต้วให้ได้เพราะเหตุใดกัน” ตอนนี้มาคิดถึงประโยคที่เขาบอกว่า “โหวเหยียบอกว่าเขาไม่อยู่” ประโยคนั้นแล้ว ความหมายนั้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะแฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะอย่างจำใจอยู่บ้าง หวยอี้ หวยเต๋อ หวยเอิน พวกเจ้าตั้งสติให้ดีตระกูลโต้วจะต้องเผชิญกับมรสุมพายุที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว”
ผู้มากประสบการณ์ก็คือผู้มากประสบการณ์ อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่เผยความรู้สึกไม่สบายใจออกมาก็ถูกจับได้ทันที คบไฟของบ้านตระกูลโต้วติดสว่างไสวตลอดคืน เมื่อฟ้าสางก็มีม้าเร็วสิบกว่าตัวออกจากฉางอันมุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่างๆ
เมื่อพ่นใยออกไปแล้วหลี่ซื่อหมินก็เป็นเหมือนแมงมุมตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงกลางของใย ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ ของเส้นใยก็ไม่สามารถรอดพ้นฝ่ามือของเขาได้ ทันทีที่ม้าเร็วของตระกูลโต้วก้าวออกจากประตูบ้าน ข่าวก็ได้ถูกส่งไปถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว เมื่ออ่านข้อความที่ส่งมาให้เขาเพียงแค่ทำท่าทางสังหารเท่านั้นหงเฉิงก็โค้งกายแล้วถอยออกไป
อวิ๋นเยี่ยพบหงเฉิงที่หน้าประตูวัง ขณะที่กำลังคิดจะดึงเขามาถามสักสองสามคำ ใครจะรู้ว่าหงเฉิงจะรีบวิ่งหนีไปเหมือนถูกไฟลนก้น ทั้งยังพูดอะไรบางอย่างที่ไร้สาระด้วยว่า “รอข้ากลับมา แล้วพวกเราสองพี่น้องไปกินแตงกวาที่หอเอี้ยนไหลโหลวด้วยกัน”
เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ต้องพบกันอีก เจ้าคนห่วยแตกเอาเรื่องแตงกวามาล้อเลียนฉัน ตั้งแต่ที่ลูกชายคนโตของหลี่จีวิ่งศีรษะปูดบวมรีบวิ่งออกจากหอเอี้ยนไหลโหลวแล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดถึงของสิ่งนี้ต่อหน้าอวิ๋นโหวอีกเลย เพราะอวิ๋นโหวมีปฏิกิริยาตอบสนองไวต่อแตงกวา
องครักษ์ที่ประตูวังพลิกป้ายแขวนเอวของอวิ๋นเยี่ย ตรวจสอบด้วยรอยยิ้ม ตรวจอย่างระมัดระวังมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสนิทสนมจนไม่รู้จะสนิทสนมอย่างไรได้อีก พวกเขาก็ตรวจสอบป้ายแขวนเอวอยู่หลายครั้ง อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยความหงุดหงิดใส่องครักษ์ที่มองหน้าเขาอย่างละเอียดว่า “หน้าข้านี้เจ้ามองมาสองปีแล้ว ยังไม่รู้สึกเอียนอีกหรือ”
องครักษ์ยิ้มแย้มและพูดว่า “โหวเหยียไม่ต้องร้อนใจ หลายวันนี้ฝ่าบาทกริ้วอยู่บ่อยๆ พวกข้าน้อยก็ต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ข้าน้อยยังได้ยินว่าโหวเหยียสามารถฉีกผิวหนังใบหน้าของผู้อื่นมาแปะไว้แทนใบหน้าของตนเองได้ด้วย สามารถเปลี่ยนหน้าได้นับไม่ถ้วน ระยะนี้ข้าน้อยใกล้จะบ้าอยู่แล้ว มักจะรู้สึกว่าใต้เท้าแต่ละท่านที่ผ่านหน้าไปจะเป็นคนอื่นปลอมตัวมา เช่นนั้นรบกวนโหวเหยียตรวจอาการให้ด้วยได้หรือไม่”
“ไสหัวไป เจ้านอกจากไตมีปัญหาแล้วเรื่องอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร คราวหน้าข้าจะปลอมใบหน้าเจ้าแล้วไปที่คอกม้าหลวงแล้วสังหารม้าที่ฝ่าบาททรงโปรดที่สุดที่ชื่อเท่อเลยเปียวเสีย ให้เจ้าเป็นคนรับโทษ จะปล่อยให้เจ้าพูดเหลวไหลไร้สาระให้พอ”
เรื่องหน้ากากหนังคนเขาเคยพูดให้หลี่ไท่ฟังคนเดียว เจ้าตัวแสบต้องใช้เรื่องนี้มาข่มขู่พวกราชองครักษ์อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอวิ๋นเยี่ยที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุด เรื่องใดที่ทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจ เขาจะตั้งใจทำอย่างทุ่มเท
เมื่อเดินเข้าวังมา เขาจะไม่ไปพบหลี่ซื่อหมินเด็ดขาด อวิ๋นเยี่ยกลัวที่จะพบเขาจริง ๆ พบกันหนึ่งครั้งก็โชคร้ายครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังไม่ทันได้พบก็โชคร้ายครั้งใหญ่ จึงตัดสินใจที่จะอยู่ให้ห่างจากเขา จึงไปพบมารดาแห่งแผ่นดินก่อนแล้วจึงไปหาหลี่หยวน เพื่อดูว่าจะสามารถชำระหนี้ดอกเบี้ยสูงนี้ได้หรือไม่! ติดค้างไว้ไม่ได้ ชำระคืนไปสี่ครั้งแล้วรวมถึงอาคารหลังใหญ่ด้วย ทำไมตอนนี้ยังติดหนี้เขาอยู่อีกเจ็ดตำลึงทอง ต้องไปถามว่าคุณลุงนับเลขเป็นหรือไม่
จั่งซุนนั่งปักอะไรบางอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ทำไมท้องของนางถึงนูนขึ้นอีก อวิ๋นเยี่ยจำได้ว่านางให้กำเนิดหลี่จื้อยังไม่ถึงหนึ่งปี
ขันทีที่นำทางพูดกับจั่งซุนที่กำลังขะมักเขม้นกับงานปักอยู่ “กราบทูลฮองเฮา หลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ยมาถึงแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยมักจะรู้สึกว่าจั่งซุนนั้นดูงามไม่หน่ายเร็ว มองจากลักษณะภายนอกแล้วดูไม่ออกเลยว่ามีบุตรแล้วสามคน หากอวิ๋นเยี่ยจำไม่ผิด ท้องนี้ต้องเป็นองค์หญิง
“กระหม่อมอวิ๋นเยี่ยถวายบังคมฮองเฮา ไม่พบกันครึ่งปี ฮองเฮายังคงดูสง่างามเช่นเคย ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีมาก” ทันทีที่พบกันอวิ๋นเยี่ยก็รีบประจบประแจงทันที
“เจ้ากำลังหัวเราะที่ข้าตั้งครรภ์อีกแล้วใช่หรือไม่” ดูเหมือนจั่งซุนจะได้รับการกระทบกระเทือนที่สมอง คำพูดประจบประแจงที่สวยหรูก็ฟังเป็นความหมายเลวร้ายไปได้
“เหตุใดฮองเฮาจึงตรัสเช่นนี้ กระหม่อมรู้สึกหวาดหวั่น”
“คนอื่นอาจจะมีความจริงใจ แต่เจ้าปากไม่ตรงกับใจคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร”
“ฮองเฮาทรงกล่าวโทษกระหม่อมผิดไปแล้ว…”
——
[1] เถาจูกง มีนามเดิมว่า ฟ่านหลี เป็นกุนซือของแคว้นเย่ว์ในสมัยปลายุคชุนชิว ภายหลังรบชนะแคว้นอู๋ ได้ออกจากราชการและได้เปลี่ยนชื่อเป็น เถาจูกง และได้ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น เทพเจ้าแห่งการค้า