เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 18 ภัยที่เกิดขึ้นเพราะดวงจันทร์
จั่งซุนวางงานปักในมือลงแล้วนางกำนัลก็ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไปเดินเล่นในอุทยานเป็นเพื่อนข้าหน่อย อีกประเดี๋ยวฝ่าบาทก็จะทรงเรียกพบเจ้า”
“กระหม่อมมาที่นี่เพื่อถวายบังคมฮองเฮา ไม่ได้ตั้งใจมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท วันหนึ่งๆ ฝ่าบาททรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย ขุนนางตัวน้อยๆ อย่างกระหม่อมอย่าไปรบกวนจะเป็นการดีกว่า” ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยรำคาญหลี่ซื่อหมินอย่างที่สุด ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีชื่อฝ่ายบู๊ที่กล้าหาญในราชสำนักมีมากมายไม่ไปเรียกใช้ กลับมาเอาตัวละครตัวเล็กๆ อย่างฉันออกไปดันหน้า เรื่องนี้หากประมาทเพียงเล็กน้อย ตระกูลอวิ๋นก็มีโอกาสล้มครืน
“เจ้าไม่พอใจฝ่าบาทหรือ” จั่งซุนก็มักจะเป็นเช่นนี้ โดยมากแล้วจะตีความความหมายแฝงของผู้อื่นผิดไปจากเจตนาเดิม
“กระหม่อมไหนเลยจะกล้า ไม่ว่าจะเป็นฟ้าผ่าหรือหยดน้ำค้างก็ล้วนแล้วแต่เป็นมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน กระหม่อมในฐานะมือเท้าและเขี้ยวเล็บของฝ่าบาท แน่นอนว่าควรต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อฝ่าบาท ตั้งแต่วันแรกที่สวมชุดข้าราชการ กระหม่อมก็มีสำนึกในเรื่องนี้อยู่เสมอ ฮองเฮาทรงคิดมากไปแล้ว” ต้องรีบอธิบาย การที่ในใจเก็บความขุ่นเคืองไว้เป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาดของขุนนาง
“ไม่ว่าจะเป็นฟ้าผ่าหรือหยดน้ำค้างก็ล้วนแล้วแต่เป็นมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน ประโยคนี้ฟังดูแปลกใหม่ดี เมื่อรวมกับประโยคที่เจ้าเมาเหล้าแล้วพูดที่ว่า “คนเราเกิดมาทุกคนนั้นมีค่าในตัวเอง เงินทองหมดไปเดี๋ยวก็หาใหม่ได้” ก็ได้เติมเต็มซึ่งกันและกัน ประโยคหนึ่งคือจงรักภักดี ประโยคหนึ่งคือทำตามอำเภอใจไม่ถูกผูกมัด ประโยคไหนคือตัวตนที่แท้จริงของเจ้ากันแน่ จั่งซุนชื่นชมอุทยานที่เ**้ยนเตียน ไม่มีดอกไม้ให้เด็ด จึงได้แต่เด็ดใบของต้นฮอลลี่แล้วเสแสร้งสูดดมจากนั้นก็โยนมันทิ้ง แล้วก็เค้นถามอวิ๋นเยี่ยต่อ
“คำพูดของคนเมาท่านก็ทรงเชื่อหรือ กระหม่อมจงรักภักดีซื่อสัตย์เสมอมา เพื่อแผ่นดินต้าถังแล้วแม้ต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตก็จะไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว” ต้องพูดอะไรในสถานการณ์เช่นไร บางครั้งก็ต้องแสดงออกถึงความภักดีของตนเองที่มีต่อต้าถังถือเป็นวิชาเฉพาะด้านที่ข้าราชบริพารต้องเรียน ผู้ที่มีอำนาจอยู่ต่างก็ชอบประโยคนี้ อวิ๋นเยี่ยได้รับการอบรมสั่งสอนจากหลี่กังมานานเพียงนี้ เขาได้เรียนรู้มานานแล้ว
“การมีความภักดีเป็นสิ่งที่ดี เช่นนี้จะได้มีชีวิตที่ยืนยาว ตระกูลก็จะสามารถเจริญรุ่งเรืองเป็นเวลานาน ลูกหลานก็จะได้สืบทอดวงศ์ตระกูลไปตลอดกาล อวิ๋นเยี่ย ถ้าเป็นขุนนางคนอื่นพูดข้าจะรู้สึกชื่นชมยินดี ทำไมเมื่อเป็นเจ้าพูดเช่นนี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้สึกขัดใจอย่างไรพิกล” คิ้วอันงดงามของจั่งซุนแทบจะตั้งขึ้นเป็นเส้นตรงอยู่แล้ว ฟันขบกันดังเสียงกรอดๆ นี่เป็นสัญญาณเตือนก่อนที่จั่งซุนจะอาละวาด แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเก็บซ่อนอารมณ์ของนางขณะอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยเลย ถ้าเป็นขุนนางคนอื่น เรื่องที่จะไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้านั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับนาง ต้องบอกไว้ก่อนว่า หลังจากเหตุการณ์เสวียนอู่เหมินแล้ว คำสั่งกวาดล้างภายในวังก็มาจากปากเล็กๆ บนใบหน้าที่อวบอิ่มของนางนั่นเอง ศีรษะผู้คนนับร้อยนับพันร่วงลงสู่พื้น สีหน้านางก็ยังคงเดิม คำพูดเพียงไม่กี่คำของอวิ๋นเยี่ยสามารถทำให้นางควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ถ้าหากไม่พูดเรื่องที่เป็นจริงเป็นจังเสียหน่อยไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยสองมือประสานยกสูงค้อมกายคารวะ
“กระหม่อมอยู่ก็เป็นคนของต้าถัง ตายก็เป็นผีของต้าถัง แม้ว่าตายแล้วเกิดใหม่ก็หวังว่าจะได้เป็นคนต้าถังอีก ในทุ่งหญ้ากระหม่อมเห็นทหารที่ล้มหายตายจากแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจ เกลียดที่ตัวเองไร้ความสามารถ ไม่มีหนทางใดที่จะช่วยชีวิตของพวกเขาไว้ได้ ท่านผู้บัญชาการใหญ่ต้องบุกเสี่ยงอากาศที่หนาวสุดขั้วเพื่อลอบจู่โจมข่านเจี๋ยลี่ที่เขาอินซัน หลายวันในระหว่างที่รอข่าวกระหม่อมกินไม่ได้นอนไม่หลับ อย่างไม่สบายใจ เมื่อเสียงเคาะปังจื่อ[1]ที่อยู่บนเตียวโต้ว[2]ของค่ายดังขึ้น หลายครั้งที่กระหม่อมคิดว่าเป็นข่าวคราวที่ส่งกลับมาของกองทัพ จึงรีบสวมเสื้อแล้วลุกขึ้น ออกจากกระโจมเพื่อเตรียมต้อนรับพวกเขา ใครจะรู้ว่าท่านแม่ทัพก็ยังไม่มีข่าว มีเพียงดวงจันทร์ที่อยู่เหนือศีรษะเท่านั้นที่คล้อยไปทางทิศตะวันออกเล็กน้อย
ฮองเฮาทรงรู้หรือไม่ว่า ตอนนั้นกระหม่อมแทบอยากจะติดปีกมุ่งหน้าไปที่เขาอินซัน ความทุกข์ทรมานของการรอคอยนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าการสู้รบกันอย่างดุเดือดในสนามรบเสียอีก กระหม่อมตรวจสอบจุดพักของหน่วยลาดตระเวนซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของกระหม่อม แต่กระหม่อมก็ได้ทำเป็นเวลาสิบวันเต็มๆ จางกงจิ่นบอกว่าถ้ากระหม่อมกล้าแย่งงานของเขาอีก จะออกคำสั่งให้กำจัดกระหม่อมทิ้ง นี่เป็นเรื่องที่คนว่างงานอย่างกระหม่อมทำหน้าที่ได้ดีกว่าเขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งทำให้เขาทนไม่ได้จริงๆ กระหม่อมรู้ว่าการทำเช่นนี้ไม่ดี แต่เมื่อเสียงของปั่งจื่อดังขึ้น ข้าก็ยังคงสวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นและลาดตระเวนต่อไป
ต่อมาท่านกองทัพมีชัยกลับมา กระหม่อมดีใจจนลงไปนอนกลิ้งบนพื้นหิมะ ปั้นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่ที่สวมหมวกสีแดงเพื่อฉลองให้กับเหล่าทหาร ใครจะรู้คนนั้นกลับมาแล้ว เมื่อตอนที่พวกเขายกทัพไปเป็นขบวนที่ยาวถึงสามลี้แต่เมื่อกลับมานั้นสั้นลงไปถึงครึ่งหนึ่ง ข้าจึงก้าวขึ้นไปถามว่าคนอื่นๆ ไปไหนแล้ว ยังอยู่ด้านหลังไม่กลับมาใช่ไหม ข้าตั้งใจจะทำเนื้อแกะจำนวนมากไปรอต้อนรับพวกเขา
หัวหน้ามองมาที่ข้าเหมือนกับกำลังมองคนโง่เง่าอยู่ ผ่านไปเป็นเวลานานจึงพูดประโยคหนึ่งว่า ไม่มีแล้ว พี่น้องของพวกเราอยู่ที่นี่หมดแล้ว พวกที่ไม่ได้กลับมาก็ไม่สามารถกลับมาได้แล้ว กระหม่อมนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนพื้นหิมะ อารมณ์ความดีใจเมื่อครู่ก็หายไปในพริบตา พวกเราชนะแล้วแต่มีผู้คนเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ในตอนนั้นข้าแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะกลืนข่านเจี๋ยลี่ทั้งเป็น
นักพรตซุนเตะข้าอยู่หลายครั้งห้ามไม่ให้ข้าร้องไห้ ให้ข้าเก็บน้ำตาที่ไร้ค่าเอาไว้ ทหารที่กลับมายังต้องการให้พวกเรารักษาอาการบาดเจ็บ
ฮองเฮาคงทรงคิดไม่ถึงกระมัง สิ่งแรกที่เหล่าทหารทำเมื่อพวกเขากลับมาถึงค่ายไม่ใช่การเฉลิมฉลอง แต่นอนกรนอยู่ในกระโจมที่อบอุ่น กระหม่อมหยิบใบเลื่อยที่แหลมคม ตรวจดูร่างกายของพวกเขาหากพบเห็นบริเวณบาดแผลที่เกิดจากการแช่แข็งก็จะใช้ใบเลื่อยตัดทิ้ง สิ่งที่น่าขำก็คือขณะที่ข้าตัดนิ้วมือนิ้วเท้าพวกเขายังคงนอนหลับอยู่”
เมื่อพูดถึงตรงนี้อวิ๋นเยี่ยก็กลืนน้ำลายพูดต่อไปไม่ได้อีก ก็น้ำตาร่วงเผาะๆ จั่งซุนเองก็น้ำตาไหลริน ขันทีและนางกำนัลข้างกายก็ร้องไห้กระซิก กระแอมเสียงแล้วอวิ๋นเยี่ยก็พูดต่อว่า “ข้าเดินเข้าไปทีละกระโจมๆ รู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นคนขายเนื้อ ไม่ได้มาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเขา แต่มาตัดเนื้อจากร่างกายพวกเขา หน้าที่นี้ ข้าทำอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน นักพรตซุนเองก็ทำเช่นเดียวกันหนึ่งวันหนึ่งคืน ทหารเสริมหนึ่งร้อยกว่าคนก็ทำหนึ่งวันหนึ่งคืน ท่านผู้บัญชาการใหญ่หลี่จิ้งก็ถูกกระหม่อมตัดก้อนเนื้อไปชิ้นใหญ่จนแทบจะเห็นกระดูกบนข้อเท้าของเขา”
พูดจบแล้ว ทำไมไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ เมื่อมองอีกครั้งก็เห็นพวกจั่งซุนกำลังนั่งร้องไห้คร่ำครวญ จั่งซุนนั้นนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเก้าอี้ที่ขันทียกมาให้
การสะเทือนใจมีผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิต อวิ๋นเยี่ยจึงหย่อนบั้นท้ายนั่งลงบนพื้นวาดวงกลมรอให้จั่งซุนตื่นขึ้นจากความโศกเศร้า ผู้ที่อยู่ในวังหลังก็ควรรู้ถึงความโหดร้ายของสนามรบเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าจะทำสงคราม
“ผู้ที่กินอาหารรสจืดย่อมจับสัมผัสรสชาติที่แปลกปลอมได้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่เจริญย่อมมีโอกาสไปเที่ยวชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงาม ผู้ที่อดทนต่อความทรมานได้ย่อมสามารถสร้างชื่อเสียงและผลงานได้ ทหารเหล่านี้ฝ่าคมหอกคมดาบ ฟันฝ่าท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ ราชสำนักจะไม่เฉยเมยต่อพวกเขาอย่างแน่นอน มีความชอบก็มอบรางวัล มีความผิดก็ต้องรับโทษ นี่ก็คือกฎแห่งต้าถัง”
จั่งซุนถึงกับเลียนแบบหลี่ซื่อหมิน เอามือไพล่หลังเดินวกวนไปมา ยื่นท้องที่ตั้งครรภ์สี่ห้าเดือน แต่ก็ดูมีเงาของหลี่ซื่อหมินอยู่บางส่วนด้วยเช่นกัน
“เหล่าทหารมีความดีความชอบในการชนะศึก แน่นอนว่าต้องรู้สึกซาบซึ้งดีใจที่ได้มีโอกาสรับใช้ชาติ กระหม่อมเองก็มีผลงานเล็กๆ น้อยๆ ไม่ทราบว่าจะได้รางวัลอะไรบ้าง” อวิ๋นเยี่ยกะพริบตาปริบๆ มองหน้าจั่งซุน สองสามีภรรยาคู่นี้ลำเอียงต่ออวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก คนอื่นสร้างผลงานเพียงเล็กน้อยเท่ารูเข็ม พวกเขาไม่เคยเสียดายที่จะให้รางวัลเลย แต่ถ้าอวิ๋นเยี่ยสร้างผลงานก็มักจะเบ้ปากใส่เพียงชั่วครู่ก็ลืมไปจนหมดสิ้น ต้องถามให้ชัดเจน ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเลื่อนฐานันดรศักดิ์ได้แล้ว ให้เงินรางวัลสักเล็กน้อยก็ยังดี หลี่หยวนติดตามทวงหนี้ไปถึงที่สนามรบแล้ว ตอนนี้รอการชำระหนี้อยู่นะ
เป็นจริงดังคาด จั่งซุนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเช็ดหางตาเบาๆ มองอวิ๋นเยี่ยที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่าจากบนลงสู่ล่าง ดวงตาที่แดงก่ำเริ่มเปล่งความเกลียดชังและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หากมีผลงานแน่นอนว่าต้องมีการตกรางวัล แต่เจ้าต้องอธิบายเรื่องดวงจันทร์ให้เราฟังก่อน”
“เรื่องดวงจันทร์อะไรกันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เข้าใจ!” ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้อวิ๋นเยี่ยอึ้งไป
“แกล้งโง่ใช่ไหม เราถามเจ้า ผู้บัญชาการใหญ่หลี่จิ้งออกเดินทางไปแนวหน้าเมื่อต้นเดือน ในเวลานั้นมีดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าที่ไหนกัน การลอบจู่โจมแทนที่จะเลือกวันที่มีลมแรงจันทร์หม่นเพื่อลงมือกลับไปเลือกวันที่มีจันทร์เต็มดวงเพื่อลงมือแทน เป็นเพราะหลี่จิ้งโง่เขลาหรือว่าเราหลอกง่ายกัน ในหนังสือรายงานทางทหารเขียนไว้ว่า “วันที่สอง” เจ้าคิดว่าเราไม่เคยอ่านรายงานทางทหารอย่างนั้นหรือ
“ขอฮองเฮาทรงโปรดวินิจฉัยด้วย กระหม่อมเพียงเพราะต้องการสร้างบรรยากาศให้โดดเด่นจึงใช้สำนวนการพูดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยของตนเองที่มีต่อประเทศชาติและชาวประชาเท่านั้น ขอฮองเฮาอย่าได้ทรงถือสาหาความกระหม่อมเลย เช่นนั้นกระหม่อมขอเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
หากลืมเรื่องก่อนหน้าไป นี่เป็นตัวละครระดับนางมารร้ายเลยนะ ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายยังมีกะจิตกะใจมานั่งจับผิดทุกตัวอักษรทุกคำพูดอีก จบกันคราวนี้ไปทุ่งหญ้าเสียเปล่าเลย
“เจ้าก็ร่ำรวยมั่งคั่งอยู่ที่ทุ่งหญ้าอยู่แล้ว ได้ยินมาว่าทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากร่วงหล่นลงมาจากรถม้า ทหารเสริมที่ติดตามไปด้วยแต่ละคนก็แบกเงินหลายสิบก้วน เจ้ายังมีหน้ามาขอรางวัลอีกหรือ เหล่าทหารอยู่แนวหน้าแลกชีวิต พ่อค้าหน้าเลือดอย่างเจ้าร่ำรวยอยู่ด้านหลัง ทั้งยังใช้เงินไม่กี่เหวินซื้อของรางวัลที่ชนะศึกของเหล่าทหารแล้วกักตุนเอาไว้ทั้งหมด นำมาถึงฉางอันมาแลกเปลี่ยนเป็นผลกำไรหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า นอกจากนี้เจ้ายังแขวนป้ายบอกว่าจะส่งเงินของทหารกลับบ้านให้ด้วย หาผลกำไรจากพวกเขาเจ้ายังมีมโนธรรมหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยมั่นใจได้ว่าฮองเฮาแห่งต้าถังกำลังโรคตาแดงกำเริบ เห็นหรือไม่ว่าดวงตาสองข้างของนางเป็นสีแดงก่ำ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการร้องไห้เมื่อครู่อย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะถูกเงินบีบคั้น ไม่จำเป็นต้องพูดท้องพระคลังของต้าถังในตอนนี้คงทำให้หนูอดตายได้ เพื่อช่วยเหลือหายนะ เพื่อการทำสงคราม ทั้งหลี่ซื่อหมินก็คิดจะสร้างพระราชวังอีก ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าทำการค้าได้เงินทองแล้วฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่นางนี้ถูกลืม หากมีการทำการค้าหาเงินได้อีกครั้งนางจะต้องทำให้คุณชดใช้จนไม่เหลือแม้แต่กางเกงจะให้ใส่เลย แม้ว่าจะไม่ใส่ใจตระกูลอวิ๋น แต่เหอเซ่าก็ถือเป็นคนดีคนหนึ่ง ไม่ควรปล่อยให้เขาต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วมาเกาะตระกูลอวิ๋นเพื่อเอาชีวิตรอด
เขาหยิบกระดาษรายงานออกมาจากอกเสื้อ สองมือส่งมอบให้จั่งซุน หักจากส่วนของอวิ๋นเยี่ยออกมาสองส่วน เดิมทีเหอเซ่าจะนำส่วนของตัวเองบีบลดให้เหลือสองส่วน เพื่อให้ราชนิกุลรับไปห้าส่วน แต่ถูกอวิ๋นเยี่ยสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด สิทธิ์ขาดในการตัดสินใจจะต้องอยู่ฝั่งตระกูลอวิ๋นและเหอสองตระกูล หากสิทธิ์ขาดอยู่ในมือราชนิกุล ผู้ดูแลที่ทำไม่เอาไหนจะต้องทำให้การค้าพังเละเทะไม่เป็นท่า
“ทำไมชายคนที่ชื่อหวงสือจึงถือครองเพียงสี่ส่วน ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงถือครองหกส่วน มันไม่ยุติธรรม” สำหรับคนที่ไม่ยอมละทิ้งผลกำไรเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่แดงเดียวแล้ว ตัวเลขตัวใหญ่ๆ ที่อยู่บนเอกสารทำให้นางเวียนศีรษะ ซึ่งหวงสือก็คือเชื้อพระวงศ์ ขณะที่เอกสารถูกร่างขึ้นมันก็ได้ถูกเขียนไว้เช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ชื่อจริงจั่งซุนก็ไม่กังวลว่าจะมีคนแอบยักยอกเงินของนาง เพียงแต่ไม่พอใจการแบ่งสัดส่วนเท่านั้น
“ฮองเฮา การแบ่งสัดส่วนดังกล่าวก็เพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลที่ชื่อหวงสือนั้นไม่ได้รับผลกำไรอยู่เพียงคนเดียว ค่าใช้จ่ายของเขานั้นเยอะมากสามารถแบ่งผลกำไรให้มากขึ้นอีกหน่อยซึ่งก็สมควรแล้ว แต่บุคคลนี้ชื่อหวงสือนี้ต้องไม่เข้ามาก้าวก่ายในการค้านี้ ไม่อย่างนั้นทุกคนจะไม่มีเงินกำไรกันหมด”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าหากหวงสือคนนี้ไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายในการค้าแล้ว การค้าของพวกเจ้าจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ใช่เลวร้ายเป็นที่สุด” จั่งซุนงุนงงเล็กน้อย
“เดิมทีกระหม่อมมีความมั่นใจในตัวหวงสือเป็นอย่างมาก ต่อมาได้ให้คนมีศึกษาการดูแลการค้าหลายอย่างของหวงสือ จึงคิดว่าคนที่รับผิดชอบในการดูแลการค้าให้กับหวงสือ หากอยู่ในตระกูลอวิ๋นจะต้องถูกสับเป็นเนื้อบะช่อนำไปเลี้ยงสุนัข ที่บ้านของหวงสือมีเหล่าผู้ดูแลที่ไม่เอาไหนเช่นนี้ แต่เขากลับไม่ต้องไปขอทาน สำหรับคุณงามความชอบของตระกูลเขาที่มีรากฐานแน่นหนาเช่นนี้ กระหม่อมก็รู้สึกนับถือจากใจ”
จั่งซุนเดือดดาลจนทรวงอกขยับขึ้นๆ ลงๆ ใบหน้าแดงก่ำ ยกมือข้างหนึ่งปัดถาดใส่เนยแข็งที่นางกำนัลเพิ่งยกเข้ามาจนคว่ำ ทำให้ขันทีและนางกำนัลที่ยืนอยู่ไกลๆ ตัวสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าทำไมฮองเฮาผู้ซึ่งสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดตอนนี้จึงได้แสดงอารมณ์โกรธรุนแรงถึงเพียงนี้
“เจ้าคิดว่าผู้ดูแลเหล่านั้นใช้การอะไรไม่ได้เลย นอกจากมีดีแต่ชื่อเช่นนั้นหรือ” จั่งซุนเสียงแข็ง ถามอวิ๋นเยี่ย
“ฮองเฮา ท่านสามารถหาร้านค้าสักร้านแล้วเปลี่ยนผู้ดูแลเป็นสุนัข แล้วให้มันเฝ้าร้านอย่างสงบเสงี่ยม ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ให้คนงานไปทำ หลังจากนั้นสองเดือน ท่านจะทรงพบว่าสุนัขตัวนี้ทำเงินให้ท่านได้ไม่น้อย”
——
[1] ปังจื่อ หรือ ปังปั่น เป็นเครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่ง ทำด้วยไม้กลวงเป็นฐานและใช้ด้ามเคาะ
[2] เตียวโต้ว เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ใช้ในกองทัพ มีลักษณะเหมือนกระบวย มีด้ามจับยาว กลางวันใช้ในการหุงข้าว กลางคืนใช้ในการเคาะแจ้งเตือนขณะออกลาดตระเวน