เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 19 ยังมีใครอีก
ประโยคนี้ได้กระตุ้นให้จั่งซุนเดือดดาลอย่างที่สุด ต้องบอกให้รู้ว่าผู้ดูแลเหล่านั้นเป็นหัวกะทิที่นางคัดเลือกเอง ตอนนี้ฟังจากปากอวิ๋นเยี่ยพวกเขายังเทียบไม่ได้กับสุนัขหนึ่งตัว เช่นนี้แล้วจะให้จั่งซุนที่ทระนงตนจนยอมรับได้อย่างไร จึงชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ดี เราจะไปที่บ้านเจ้า พาม้าตัวนั้นมาที่นี่แล้วหาร้านค้าสักร้านส่งมันไปอยู่ในนั้น ข้าจะดูว่าม้าของเจ้าทำการค้าอย่างไร” นางพูดคำว่าสุนัขไม่ออกจริงๆ เมื่อพูดออกมาจึงเปลี่ยนเป็นวั่งไฉของตระกูลอวิ๋น
อวิ๋นเยี่ยแอบเหล่มองจั่งซุน พบว่านางถูกตนเองยั่วโมโหจนโกรธอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงพูดให้นุ่มนวลลงว่า “กราบทูลฮองเฮา ขณะที่กระหม่อมสังเกตการทำงานในร้านของหวงสือ พบว่ามันดูเหมือนเป็นราชสำนักขนาดย่อมมีการแบ่งระดับขั้นอย่างเข้มงวด มีกฎข้อห้ามที่เคร่งครัด การสนทนาของผู้ดูแลใช้ภาษาเป็นทางการ เห็นได้ชัดว่าจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นแต่ยังวางตนอยู่เหนือเขา สินค้าไม่ดีแต่ก็ราคาสูงมาก ทัศนคติในการค้าขายเลวร้ายมาก นอกจากการพยายามยื่นข้อเสนอดีๆ เกินจำเป็นให้กับตระกูลหวาง มีใครอยากจะไปรองรับอารมณ์บ้าง ขอท่านลองสังเกตตลาดของฝั่งตะวันออกและตะวันตกดู นอกจากร้านของตระกูลหวงแล้วมีใครทำการค้าเช่นนี้กันบ้าง คราวก่อนผู้ดูแลของหวงสือมาขอเป็นตัวแทนรับฝากขายสินค้าหลายอย่างของตระกูลอวิ๋น เห็นแก่หน้าของหวงสือตระกูลอวิ๋นจึงได้รับคำ แม้แต่น้ำหอมก็ส่งให้ถึงสิบขวด ซึ่งตระกูลอวิ๋นไม่เคยใจกว้างเช่นนี้มาก่อน ทั่วทั้งฉางอันมีหวงสือเพียงผู้เดียวที่สามารถนำน้ำหอมออกมาจากตระกูลอวิ๋นได้
ประการแรก ตระกูลอวิ๋นสามารถทำให้ร้านค้าเหล่านี้หารายได้ได้มากพอ ประการที่สอง สามารถช่วยเผยแพร่น้ำหอมให้เป็นที่รู้จักและเพิ่มมูลค่าของน้ำหอมได้ ใครจะรู้ว่าน้ำหอมสิบขวดมูลค่าหกร้อยก้วนกลับขายออกไปเพียงหนึ่งร้อยสี่สิบก้วน เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีพ่อค้าชาวเผ่าหูที่เต็มใจซื้อด้วยราคาหนึ่งพันก้วน แต่ผู้ดูแลของหวงสือกลับจะขายให้กับขุนนางคนหนึ่งให้ได้ ซื้อขายอย่างเป็นธรรมโดยขายในราคาทุนหนึ่งร้อยสี่สิบก้วน เขาบอกว่าพ่อค้าชาวเผ่าหูกลิ่นกายแรงจึงไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย นี่หรือคือเหตุใด เมื่อกลับมายังมาเอาน้ำหอมจากตระกูลอวิ๋นอีก ทั้งยังต้องการหนึ่งร้อยขวด เขาเห็นน้ำหอมเป็นอะไร น้ำเปล่า? ต้องการแล้วก็หามาได้เลย สิบขวดนั้นก็เป็นยอดการผลิตในหนึ่งเดือนแล้ว”
“ฮึ! ตระกูลอวิ๋นของเจ้าขายของสิ่งนั้นด้วยราคาแพงมากเช่นนั้น แม้แต่เราเองยังต้องใช้อย่างระมัดระวังเลย ลดราคาลงหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“ฮองเฮา! ตอนนี้ท่านกำลังทรงพระครรภ์อยู่ ห้ามใช้ของเหล่านั้น มิฉะนั้นกระหม่อมคงนำมาถวายท่านนานแล้ว ข้ากระวนกระวายอยากขายน้ำหอมหนึ่งขวดในราคาหนึ่งพันก้วน เช่นนี้เป็นผลดีราชสำนักและประชาชน” น้ำหอมบางตัวมีชะมดเป็นส่วนผสมอยู่ ต่อให้อวิ๋นเยี่ยมีแปดหัวก็ไม่กล้าส่งให้จั่งซุน
“เช่นนี้ก็น่าแปลกมาก เราอยากรู้ว่าตระกูลอวิ๋นของเจ้าทำเงินรายได้จำนวนมาก ใจดำอำมหิตจนไม่ใส่ใจชีวิตของคนอื่น แล้วมันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและผู้คนได้อย่างไร เจ้าอธิบายมาให้ชัดเจน มิฉะนั้นเราจะจับเจ้าส่งไปอยู่ที่ร้านค้าเป็นเถ้าแก่ร้านเสีย”
“สมมติว่าตระกูลอวิ๋นขายน้ำหอมได้ราคาหนึ่งพันก้วน จะมีคนซื้อได้กี่คน” อวิ๋นเยี่ยประสานมือถามจั่งซุนด้วยความนอบน้อม
“เช่นนี้ก็แทบจะไม่มีผู้ซื้อเลย เพราะเราจะสั่งห้าม” จั่งซุนตัดทางถอยของอวิ๋นเยี่ยในชั่วพริบตา
“หากฮองเฮามองจากจุดยืนของประเทศแล้วท่านควรจะต้องทรงสนับสนุน แต่ไม่ใช่การสั่งห้าม”
“เจ้าต้องการให้เราช่วยพวกพ่อค้าหน้าเลือดที่ไม่มีมโนธรรมพวกนี้หรือ ฝันไปเถอะ! ข้าจะต้องสั่งห้ามอย่างแน่นอน จะไม่ยอมให้พวกพ่อค้าหน้าเลือกอย่างพวกเจ้าลำพองใจ ไม่เช่นนั้นใต้หล้านี้ยังจะมีกฎหมายอยู่อีกหรือ”
รู้ว่าจั่งซุนต้องการรักษาหน้าไว้ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าการถกปัญหาเรื่องกฎหมายบ้านเมืองกับนางนั้นเป็นการทำลายตัวเองอย่างหนึ่ง กฎหมายเป็นของบ้านนาง นางอยากจะเล่นอย่างไรก็เล่นได้มากเท่าที่ต้องการ อวิ๋นเยี่ยพยายามที่จะไม่โกรธ บอกตัวเองเป็นพันครั้งว่าต้องปรองดองต้องหว่านล้อม อย่าถือสาหาความกับหญิงตั้งครรภ์
ขอฮองเฮาทรงลองตรองดู กระหม่อมขายน้ำหอมขวดหนึ่งราคาหนึ่งพันก้วน สิ่งแรกที่ต้องทำคือการจ่ายภาษี สิ่งของที่ทำกำไรเช่นนี้กระหม่อมไม่คัดค้านที่จะจ่ายภาษีหนักขึ้นเป็นสองหรือสามเท่า เช่นนี้แล้วราชสำนักก็จะเก็บภาษีได้เพิ่มอีกห้าร้อยก้วน ทุกครั้งที่กระหม่อมขายได้มากขึ้นอีกหนึ่งขวด ราชสำนักก็จะเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นห้าร้อยก้วน ซึ่งภาษีที่เก็บได้นั้นสามารถนำมาเป็นเงินเดือนของขุนนาง อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ซ่อมถนน สร้างสะพาน บรรเทาทุกข์ของผู้ประสบภัย ฝ่าบาทก็ทรงสามารถสร้างพระราชวังได้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดีทั้งสิ้น เงินห้าร้อยก้วนของกระหม่อมก็สามารถนำกลับไปลงทุนในการผลิตน้ำหอมได้อีก ดำเนินการผลิตน้ำหอมต่อไป ทำการเก็บเงินของขุนนางคืนต่อไปได้อีก จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงปรับขึ้นภาษีอีก แล้วก็มอบเงินเหล่านี้ให้เหล่าขุนนาง เช่นนี้ก็จะเกิดเป็นวัฏจักรหมุนเวียนสามารถหมุนเวียนต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ราชสำนักก็จะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนเงินทุนอีกต่อไป”
ความสัมพันธ์ของเงินทุนหมุนเวียนนั้นจะต้องอธิบายให้ทั้งคู่ฟัง หากพูดให้หลี่ซื่อหมินฟังอวิ๋นเยี่ยก็จะรู้สึกอารมณ์เสีย พูดให้จั่งซุนฟังจะดีกว่า
“ด้วยวิธีนี้ตระกูลอวิ๋นของเจ้าก็สามารถสร้างผลกำไรไร้มโนธรรมได้ตลอดกาล” ฟังออกว่าจั่งซุนเริ่มสนใจขึ้นบ้างแล้ว เพียงแต่ความภาคภูมิใจในตัวเองของนางไม่อนุญาตให้นางยอมแพ้
“ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่คนตระหนี่ขี้เหนียว เงินกำไรที่ได้มาจะนำไปลงทุนในการสร้างสำนักศึกษา จนกลายเป็นอาคารหลายๆ หลัง สร้างห้องเรียนหนึ่งห้องก็ต้องให้พ่อค้าสินค้าต่างๆ และช่างฝีมือได้ผลกำไรไป แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องชำระค่าภาษีให้กับฝ่าบาท”
จั่งซุนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “เจ้าจะไปเข้าเฝ้าไท่ซั่งหวงไม่ใช่หรือ ไปเถอะ คำพูดของเจ้าเราต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน”
อวิ๋นเยี่ยจึงคารวะแล้วกล่าวลา เมื่อเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงจั่งซุนดังขึ้นจากด้านหลังว่า “เป้าหมายที่เจ้ามาเราเข้าใจดี ทำงานของเจ้าไปเถอะ ดังที่เจ้าพูด นี่เป็นภาระหน้าที่ของเจ้าในฐานะข้าราชบริพารคนหนึ่งพึงกระทำ ทหารหนึ่งพันคนของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายจะคุ้มกันเราไปตรวจตราสำนักศึกษาอวี้ซันในวันพรุ่งนี้ บนเขาไม่สามารถรองรับคนจำนวนหนึ่งพันคนได้ จะมีทหารห้าร้อยคนไปพักที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ช่วยจัดเตรียมที่พักให้เหมาะสมให้เราด้วย”
อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาและโค้งตัวต่ำแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไร
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สังเกตเห็นว่าหลังต้นฮอลลี่นั้นมีเก้าอี้เอนหลังวางอยู่ตัวหนึ่ง หลี่ซื่อหมินกำลังนอนเอนกายอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้ว จั่งซุนนั่งลงข้างๆ เก้าอี้ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากมือใหญ่ของหลี่ซื่อหมินก็ลูบท้องที่นูนขึ้นของนางและพูดเบาๆ ว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้ยังมีความกังวลอยู่ เมื่อครู่เขาไม่ได้พูดเหตุผลสำคัญออกมา สินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้สามารถรีดไถเงินจำนวนมากจากเหล่าชนชั้นสูงได้ จากนั้นก็นำไปชดเชยให้กับประชาชน อย่างไรเสียสิ่งของเหล่านี้คนธรรมดาครอบครัวแร้นแค้นไม่สามารถซื้อหามาใช้ได้ ถือเป็นการปล้นคนรวยช่วยคนจนอย่างหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงพูดถูก น้ำหอมยิ่งราคาแพงยิ่งดี ยิ่งราคาแพงก็ยิ่งดีต่อราชสำนักและประชาชน พรุ่งนี้ไล่คนดูแลของเจ้าให้ไสหัวกลับบ้านไป การดูแลภายใน หึหึ! รออวิ๋นเยี่ยสอนเค่อเอ๋อร์จนเป็นงานก่อน ดูว่าจะสามารถมอบให้เขาดูแลได้หรือไม่ เจ้าหนุ่มคนนี้เพื่อเฉิงเฉียนแล้ว ถึงกับทุ่มเทสุดกำลังจริงๆ เฉิงเฉียนมีคบสหายคนนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริง”
หลังจากผละตัวจากฮองเฮาแล้ว อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผ่อนคลายและหมดกังวล ฝีเท้าจึงเร็วขึ้น เพิ่งจะเลี้ยวผ่านตำหนักไท่จี๋ ที่หัวมุมก็มีนางกำนัลรูปร่างอ้วนท้วมหลายคนโผล่ออกมา จับมือและเท้าของอวิ๋นเยี่ยและแบกเขาขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยมองด้ายแขวนเอวสีแดงของพวกนาง ก็รู้ว่านี่เป็นกลุ่มนักมวยปล้ำหญิงที่เล่นซูโม่ในวังโดยเฉพาะ สร้างความสนุกสนานให้กับขุนนางในวัง ทุกคนมีความเชี่ยวชาญในการเล่นซูโม่และมีพละกำลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ใช่คนที่ชายอ่อนแออย่างอวิ๋นเยี่ยสามารถรับมือได้ เมื่อมองลงมาจากด้านบน แต่ละคู่ที่พุ่งเข้ามาล้วนแล้วแต่ร่างใหญ่ยักษ์ อกเสื้อเปิดออกเล็กน้อย เห็นเนื้อหนังวับๆ แวมๆ
จึงรีบหลับตา มีสองคนมาน่ากลัวถึงขั้นมีหนวดงอกแล้ว อย่ามองจะดีกว่า ในพระราชวังแห่งนี้สามารถทำอะไรอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่โดยไม่ต้องกังวลได้เช่นนี้ก็มีเพียงไท่ซั่งหวงที่ว่างจนไม่มีอะไรทำเพียงคนเดียว ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี
เมื่อเท้าแตะพื้นสิ่งแรกที่เห็น อวิ๋นเยี่ยนึกว่ามาถึงถ้ำโจรเสียแล้ว ในวันที่อากาศอบอุ่นดอกไม้บานในตำหนักยังคงมีคบเพลิงส่องสว่างอยู่ หลี่หยวนมือซ้ายโอบสาวงาม มือขวาถือกาเหล้า เปิดอกเสื้อนั่งดูหญิงเปลือยกายเล่นมวยปล้ำ ในตำหนักเกิดเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างหนักหน่วงเป็นระยะๆ เมื่อเห็นฉากเด็ดก็ตะโกนโห่ร้องเสียงดัง นี่ไม่ใช่วัง ให้ตายสิ แต่เป็นรังโจรของโจรป่า
ขณะที่เตรียมจะหลบหนี หลี่เฉิงเฉียนไม่รู้ว่าโผล่ออกจากไหน ลากอวิ๋นเยี่ยที่สีหน้าคับข้องใจ บนหน้าเขายังมีรอยเปื้อนแป้งบนด้วย จริงๆ เลย ทั้งปู่และหลานคลุกคลีอยู่กับเหล่าผู้หญิงอยู่ด้วยกัน แล้วจะให้อวิ๋นเยี่ยที่เป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริงวางตัวเช่นไรดี ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะมีสายเลือดของชาวเผ่าหูแต่เช่นนี้ก็เกินไปหน่อยแล้ว
หลี่เฉิงเฉียนเช็ดรอยแป้งบนใบหน้าด้วยความรู้สึกอายมาก และกระซิบว่า “เสี่ยวเยี่ย ข้าเองก็ถูกจับมา เจ้าก็ถือว่าทำบุญสักหน่อยอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
คนหนึ่งผีขี้เหล้า อีกคนหนึ่งผีขี้เมา เห็นเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็อยากถอยห่างให้ไกล คนคุ้นเคย เผยจี้! เสื้อผ้าของตาเฒ่าไม่เรียบร้อย บนหนวดเคราก็มีคราบเหล้า ไหนเลยจะเหลือความสุภาพและสง่างามในยามปกติให้ได้เห็นกัน
ไม่จำเป็นต้องพูด เนื่องจากตระกูลเผยและตระกูลโต้วทั้งสองตระกูลเกิดความขัดแย้งขึ้น จากนั้นต่างก็มาหาหลี่หยวนเพื่อขอการสนับสนุน เมื่อคิดถึงสภาพที่น่าเศร้าของเผยอิง อวิ๋นเยี่ยเหล่มองเผยจี้อย่างเย็นชา หาที่นั่งสะอาดๆ และนั่งลง หน้าบูดบึ้งแผ่ซ่านความเย็นชาออกมา
นางกำนัลที่ถูกสั่งให้มารินเหล้าให้ถูกอวิ๋นเยี่ยไล่ออกไป หลี่เฉิงเฉียนก็ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังจะคิดทำอะไร จึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี อวิ๋นเยี่ยยกกาเหล้าขึ้นกรอกเหล้าเข้าปากไปหนึ่งอึก จ้องมองและพูดกับหลี่หยวนว่า “ไท่ซั่งหวง ข้าน้อยมาวันนี้เป็นเพียงเพื่อเรื่องหนี้พนัน วันนี้ข้าน้อยตั้งใจนำเงินมาสามสิบตำลึงทอง เพื่อมาพบไท่ซั่งหวงที่เล่าลือกันว่าเป็นยอดนักพนันไร้พ่ายแห่งฉางอันขณะที่ข้าน้อยไม่อยู่เมืองหลวงเสียหน่อย เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงหัวโจกของสามเภทภัยแห่งฉางอันต้องมัวหมอง ต้องมาแบกรับชื่อเสียงอันเลวร้ายว่าติดหนี้พนันแล้วไม่ยอมชดใช้”
หลี่หยวนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ตอนนี้เขาคงจะรู้แค่ใช้ชีวิตไปวันๆ มัวเมาอยู่ท่ามกลางสาวงาม ชัยชนะครั้งใหญ่ของหลี่ซื่อหมินบนทุ่งหญ้าได้ทำลายความเชื่อมั่นสุดท้ายของเขาจนหมดสิ้น บุตรชายที่เหนือเขาทั้งทางด้านการปกครองและการศึก ทำให้เขาได้แต่แหงนหน้ามองฟ้า ในทางกลับกันก็พิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นผู้ที่ลุ่มหลงมัวเมาเพียงใด แม้กระทั่งบุตรชายของตัวเองก็มองไม่ออก มันช่างน่าเศร้าเพียงใดกัน
ตอนนี้หลี่ซื่อหมินมาเยี่ยมพบเขาน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด นั่นก็เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป อำนาจการปกครองค่อยๆ มั่นคงขึ้น หลี่ซื่อหมินที่ไม่ต้องคอยกังวลด้านหลังจึงเริ่มแผลงฤทธิ์ไล่ลงมือแล้ว ตระกูลโต้วอยู่ในอันตรายทุกเช้าค่ำ เขาไม่สามารถทำอะไรได้ จึงยิ่งปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้มากกว่าเดิมเพื่อทำให้สมองที่บางครั้งก็ยังมีสติแจ่มชัดให้เมามายเสียหน่อย
หลี่หยวนหัวเราะอย่างคนบ้าแล้วสะบัดมือปัดกาเหล้าทิ้ง ผลักหญิงงามออกไป เตะแคร่นั่งจนพลิกคว่ำด้วยท่าทีอันองอาจ แล้ววางเท้าไว้บนโต๊ะจ้องมองอวิ๋นเยี่ยราวกับเสือจ้องมองเหยื่อ พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ เป็นหนี้ข้าอยู่เจ็ดตำลึงทองยังไม่ได้คืน ทั้งยังกล้าพูดจาโอหังที่นี่อีก วันนี้ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าจะแน่สักเพียงไหน”
อวิ๋นเยี่ยหมดหวังแล้ว หลี่หยวนนั้นถูกเหล้ากลืนกินมันสมองไปจนใช้การไม่ได้แล้ว จำได้เพียงแต่ว่าคราวก่อนอวิ๋นเยี่ยติดหนี้เขา จำเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยคืนเงินไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยอยากจะตะโกนว่า “ตาเฒ่าที่ป่วยหนักนี้ยังจะหวงเงินอีก”
อวิ๋นเยี่ยโยนก้อนทองคำสิบกว่าก้อนไว้บนแคร่เตี้ยๆ ที่ถูกเตะคว่ำ แล้วตะโกนว่า “ยังมีใครอีก”
เผยจี้ก็โยนทองคำเข้าไปพูดพลางสะอึกว่า “เรื่องดีๆ เช่นนี้จะขาดข้าได้อย่างไร”
ที่มุมห้อง มีเสียงคนที่แทบจะไม่ได้สติพูดว่า “ตระกูลอวิ๋น ตระกูลเผยต่างก็มากันครบแล้ว หากตระกูลโต้วไม่อยู่ที่นี่ จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกไปหรือ”