เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 2 การแลกเปลี่ยนของหลี่จิ้ง
ข้อมูลที่ได้จากปากของโจรป่าไม่แตกต่างจากที่อวิ๋นเยี่ยคาดเดาสักเท่าไร นี่คือกลุ่มโจรที่ยึดภูเขาตั้งตนเป็นใหญ่ หรือก็คือที่ผู้คนมักเรียกว่ากองโจร ตั้งใจทำการดักปล้นฆ่ากองคาราวานที่ผ่านมาในแดนที่ไร้เจ้าของแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อค้าชาวเผ่าหู
ตั้งแต่มาถึงโลกนี้ การได้พบเห็นศพนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดามาก ชีวิตคนในยุคสมัยนี้ดูเหมือนว่าจะบอบบางเป็นพิเศษ ในยุคนี้ หลายๆ คนไม่ใส่ใจที่จะฆ่าคนหนึ่งคนหรือฆ่าไก่หนึ่งตัวทิ้ง หมาน้อยเป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าปีเท่านั้น เขาลากโจรป่าไปในที่ที่ค่อนข้างลับตาคน จากนั้นก็แทงเข้าที่คอของโจรป่าเพียงดาบเดียว ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินเสียงโจรป่าร้องขอชีวิตอย่างน่าสังเวชก่อนตาย ดาบนั้นแทงเข้าไปอย่างแม่นยำและเด็ดเดี่ยว
รังเก่าของโจรป่าอยู่ห่างจากที่นี่เพียงสิบลี้เท่านั้น ได้ยินว่าวันนี้มีการซื้อขายครั้งใหญ่ ในรังโจรเหลือไว้เพียงผู้ที่อ่อนแอ พิการและป่วยไม่กี่คน ส่วนที่เหลือที่สามารถหยิบดาบถือหอกได้ก็ล้วนแล้วแต่ออกมาด้วยกันทั้งหมด เมื่อได้ยินข่าวนี้ มีหรือที่ทหารเสริมจะยังสามารถนั่งอยู่ได้ ม้าเร็วห้าสิบตัวก็พุ่งตัวออกจากถนนเล็กๆ อย่างรวดเร็วปานพายุ
เพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัยของตนเองในการเดินทัพต่อไป อวิ๋นเยี่ยไม่ได้คัดค้านทหารเสริมเหล่านี้ไปสร้างโชคเล็กๆ น้อยๆ เหล่าทหารเสริมต่างก็เก็บสิ่งของที่พ่อค้าชาวเปอร์เซียทิ้งไว้ให้อวิ๋นเยี่ยด้วยความสมัครใจ ซึ่งพวกเขาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่โหวเหยียสมควรได้รับ
เมื่อได้รับค่าสินจ้างมาแล้วก็ต้องทำงานให้ผู้นั้น แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยอะไรพวกพ่อค้าได้ การฝังพวกเขาลงดินเพื่อให้ไปสู่สุขคติก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเช่นกัน
บางทีอาจเพราะออกจากบ้านนานเกินไป เหล่าทหารเสริมขุดหลุมไปพลาง แอบมองหญิงชาวเผ่าหูที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์อยู่ไปพลาง คนที่ใจกล้าหน่อยก็ชี้ไปที่ต้นขาเปลือยเปล่าของหญิงชาวเผ่าหูแล้วก็ส่งสายตากับสหาย หญิงชาวเผ่าหูเหล่านั้นจึงกอดกันแน่น ร่างสั่นเทามากยิ่งขึ้น
ได้ยินมานานแล้วว่าหญิงชาวเผ่าหูเหล่านี้เพื่อให้มีชีวิตที่ดีกว่า จึงตั้งใจมากับกองคาราวานอูฐจากเอเชียกลาง เดินทางไกลนับพันลี้มาที่ฉางอัน ต้องการหาเงินด้วยช่วงเวลาที่ยังมีเสน่ห์แห่งความงามอ่อนเยาว์ และใช้เวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีในการเก็บรวบรวมเงินเพื่อใช้ในช่วงบั้นปลายชีวิต เมื่อถึงคราที่ตนเองอายุมาก สมรรถภาพทางเพศเสื่อมถอยจะได้มีที่พึ่งพา พวกเขาไม่สนใจตัวเองเลย ขอเพียงสามารถสร้างรายได้ได้ สำหรับพวกนางไม่มีอะไรที่ขายไม่ได้
ถังเจี่ยนพูดภาษาชาวเผ่าหูเป็นด้วย พูดคุยจุ๊กจิ๊กๆ กับหญิงชาวเผ่าหูอยู่ยกใหญ่ หญิงชาวเผ่าหูเหล่านั้นดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันใด เมื่อครู่ยังหวาดกลัวเจียนตายกันอยู่ ตอนนี้ถึงกับใจกล้าเดินยั่วยวนเหล่าทหารเสริมไปทั่ว ท้าลมหนาวในต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างไม่หวั่นเกรง นำเสื้อคลุมขนสัตว์มาพันรอบเอว เรียกได้ว่าพันหน้าอกเพียงครึ่งหนึ่งและสะโพกเท่านั้น ยกท่อนแขนที่เปลือยเปล่าโบกมือให้เหล่าทหารเสริมแล้วส่งสายตาหวานเยิ้ม หญิงชาวเผ่าหูที่สวยที่สุดสองคนถูกถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงลากเข้าไปในรถม้าสี่ล้อ ชายสองคนนี้ไม่คิดจะรักษาหน้าตาเลยหรือ
เมื่อเทียบกันแล้ว เหอเซ่านับว่ายังเป็นคนดี นำนักบัญชีสองคนไปนับสินค้าของพ่อค้าชาวเปอร์เซียอย่างละเอียด ไม่ถูกสิ ตอนนี้มันเป็นของอวิ๋นเยี่ยแล้ว ในเมื่อเป็นของอวิ๋นเยี่ย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีส่วนแบ่งของเขาหนึ่งส่วนให้แก่ผีบ้ากามที่หิวโหย เมื่อเผชิญกับการยั่วยวนของหญิงชาวเผ่าหู เขากลับทำเสมือนไม่เห็น ลูบคลำผ้าห่มเปอร์เซียที่อ่อนนุ่มน้ำลายไหลไม่หยุด ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักหญิงชาวเผ่าหูที่กำลังวิ่งเข้ามาหว่านเสน่ห์ไปด้านข้าง และมองดูหญิงชาวเผ่าหูอย่างระแวดระวัง ราวกับว่าหญิงชาวเผ่าหูคนนั้นจะมาแย่งของรักของหวงของเขา
หลี่จิ้งเป็นขุนนางใหญ่ที่ไม่สามารถล่วงเกินได้ ตอนนี้เขาทำศึกชนะและกำลังเดินทางกลับ จึงยิ่งล่วงเกินไม่ได้มากขึ้นไปอีก เมื่อกลับถึงฉางอันเรื่องการทหารในสำนักศึกษายังต้องการการสนับสนุนจากเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่ากิริยาท่าทีของเขาจะเลวร้ายไปกว่านี้ก็ตาม อวิ๋นเยี่ยก็ยังคิดจะปฏิบัติต่อเทพแห่งการทหารท่านนี้ในฐานะท่านปู่อยู่
ถังเหล้าองุ่นใบเล็กๆ ที่ใส่เหล้าองุ่นหมักบริสุทธิ์ของแท้ได้ถูกส่งไปที่รถม้าของหลี่จิ้ง นี่เป็นของที่ดีที่แม้อยู่ฉางอันก็ไม่มีทางจะได้ลิ้มรสมัน สิ่งที่เหล้าองุ่นกลัวที่สุดก็คือการเขย่าไปมา ระหว่างการขนส่งจะเกิดการโคลงเคลงไปมาซึ่งจะลดคุณภาพของเหล้าองุ่นลง อีกทั้งไม่สะดวกในการขนส่งระยะทางไกล ดังนั้นพ่อค้าชาวเปอร์เซียเหล่านี้จึงพยายามใส่เหล้าองุ่นที่เพิ่มระดับความเข้มข้นแล้วลงในถังไม้ ขนส่งนับหมื่นลี้ไปถึงฉางอันจากนั้นจึงค่อยทำให้เจือจางซึ่งราคาสูงไม่เบา
ตลอดการเดินทางนี้ หลี่จิ้งนอกจากจะเห็นอวิ๋นเยี่ยขวางหูขวางตาแล้ว แต่สำหรับเสบียงอาหารและเครื่องใช้ที่ส่งมาล้วนแล้วแต่ไม่ปฏิเสธ ทั้งยังให้ความร่วมมือกับเขาอย่างแข็งขันในการตรวจรักษาอาการ เมื่อครู่ยังพูดคุยกับซุนซือเหมี่ยวอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่เมื่อหันมาหาอวิ๋นเยี่ยก็หน้าบูดบึ้งถมึงทึง ทำให้อวิ๋นเยี่ยปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างมาก หลายครั้งที่อยากจะบอกว่าเมื่อกลับไปฉางอันแล้วจะขอให้หลี่จิ้งไปบรรยายที่สำนักศึกษา เพื่อสอนเจ้าเด็กโง่ในสำนักศึกษาเหล่านั้นว่าอะไรที่เรียกว่าการบัญชาการศึก ไม่ใช่คนสองคนยืนบนกองทรายแล้วต่างฝ่ายต่างด่าใส่กัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดออกมาก็ถูกหลี่จิ้งไล่กลับเสียแล้ว การแสดงยุทธวิธีการศึกของอวี้ฉือจอมโง่และต้วนเหมิ่งกลายเป็นเรื่องตลกที่โด่งดังของฉางอันไปแล้ว ทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของสำนักศึกษาได้รับความเสียหายไปด้วย หลังจากถูกหลี่กังอบรมสั่งสอนยกใหญ่แล้ว ก็ถูกจับไปขังอยู่ในห้องขังให้สำนึกผิดเป็นเวลาสองวัน คุณภาพของนักเรียนดังกล่าวทำให้อวิ๋นเยี่ยอดกังวลใจไม่ได้
อวิ๋นเยี่ยเจาะถังไม้ด้วยสว่านมือแล้วเทเหล้าองุ่นหนึ่งชามใหญ่เต็มๆ ชาม จากนั้นเคาะน้ำแข็งสักสองสามก้อนใส่ลงไป แล้วจึงยกไปให้หลี่จิ้ง ถ้วยกระเบื้องเคลือบที่ใส่เหล้าองุ่นสีแดงเลือด ประกอบกับก้อนน้ำแข็งที่ลอยขึ้นลงอยู่ในถ้วย เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของดี หลี่จิ้งรับมาแล้วดมกลิ่น จิบไปหนึ่งคำแล้วถอนหายใจ จากนั้นหยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ออกจากอกเสื้อแล้วเติมมันลงไปในถ้วยเหล้าไม่หยุด เมื่ออวิ๋นเยี่ยดูอย่างละเอียดแล้ว มันคือน้ำตาลป่นแบบผง[1]การดื่มเหล้าองุ่นไม่ใช่ว่าควรจะดื่มรสชาติดั้งเดิมหรือ ทำไมหลี่จิ้งต้องเติมน้ำตาลด้วย
ตอนที่ตนเองอยู่ในยุคปัจจุบัน เวลาดื่มเหล้าองุ่นแล้วนำไปผสมกับสไปรท์ยังถูกเพื่อนเหยียดหยามไปหลายสิบปีเลย หลี่จิ้งกำลังทำอะไร เขาเกิดมาในตระกูลใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าต้องดื่มเหล้าองุ่นอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าถาม ระยะนี้เขาอารมณ์ร้ายมาก
“เจ้าหนุ่ม พูดมาเถอะ จู่ๆ เอาอกเอาใจโดยไม่มีสาเหตุต้องมีวัตถุประสงค์แอบแฝง มีเรื่องอะไรจะขอร้องก็พูดมาตามตรงเถอะ” คิดไม่ถึงว่าหลี่จิ้งจะถึงกับเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกซาบซึ้งมาก ตอนนี้อย่าว่าแต่หลี่จิ้งดื่มเหล้าองุ่นแล้วเติมน้ำตาลเลย แม้เขาจะเติมซอสถั่วเหลือง อวิ๋นเยี่ยก็จะมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
“ท่านกรำศึกมาชั่วชีวิต ทำศึกก็ไร้พ่าย โจมตีไม่มีพลาด ตรากตรำทำศึกตั้งแต่ใต้จรดเหนือ ทุกครั้งที่ยกทัพไม่มีคำว่าสยบไม่ได้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการทหารแห่งยุคของต้าถังเรา ข้ามีคำร้องขอเล็กน้อย ถ้าท่านสามารถไปบรรยายที่สำนักศึกษาสักสองสามครั้ง ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนนักเรียนทุกคนในสำนักศึกษาขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้ง” ฉวยโอกาสนี้รีบพูดเรื่องที่จะขอร้อง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีโอกาสให้ได้พูดอีก
หลี่จิ้งมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความรู้สึกสนใจ จิบน้ำหวานคำหนึ่งแล้วจึงค่อยพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่ากลยุทธ์การทหารนั้นแตกต่างจากความรู้อื่นๆ ไม่ใช่จะสอนกันได้ง่ายๆ ฮ่องเต้ของแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่มีพระองค์ไหนที่จะไม่เก็บกลยุทธ์สำคัญเทิดทูนไว้ไม่นำมาใช้ หากแม่ทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชามีความผิดปกติเล็กน้อย ก็จะนำมาซึ่งความหายนะครั้งใหญ่ คำขอของเจ้าเช่นนี้ข้าไม่รับปากและไม่กล้ารับปากด้วย เพราะมันจะเป็นอันตรายต่อเจ้าและจะทำร้ายข้าด้วย เจ้าหนุ่ม บอกเงื่อนไขอื่นจะดีกว่า ข้าเป็นหนี้น้ำใจเจ้า ขอเพียงไม่ใช่คำร้องขอที่เกินไป ข้าก็รับปากทั้งนั้น”
อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าหากข้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาททรงเห็นด้วยในการถ่ายทอดเคล็ดลับของกลยุทธ์การทหารในสำนักศึกษาได้ ไม่ทราบว่าท่านจะมาบรรยายที่สำนักศึกษาได้หรือไม่”
มือของหลี่จิ้งสั่นเล็กน้อยจนน้ำหวานในถ้วยกระฉอกออกมา เขาใช้ผ้าเช็ดเหล้าที่เปรอะมือจนสะอาดแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ถ้าหากเจ้าสามารถทำได้จริง ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ไปบรรยายในสำนักศึกษา แม้จะให้เป็นอาจารย์สอนหนังสือตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร”
ครั้นได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงกล่าวลาจากหลี่จิ้งอย่างอารมณ์ดี เดินกระโดดสลับเท้าจากรถม้าสี่ล้อไป หลี่จิ้งมองไปที่แผ่นหลังของอวิ๋นเยี่ยแล้วถามเสียงดังว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้ามั่นใจมากแค่ไหน”
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ทำท่าทางให้รู้ว่าแปดส่วน จากนั้นก็ไปหาเหอเซ่าเพื่อดูว่าทรัพย์สินของเขามีเพิ่มมากขึ้นเท่าไร
“แปดส่วน เจ้าหนุ่มนี่ไปเอาความเชื่อมั่นมาจากไหน หวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ ข้าเองก็ไม่อยากจะให้สิ่งที่ข้าเรียนรู้มาทั้งชีวิตต้องฝังไปพร้อมๆ กับดิน” จากนั้นก็กรอกน้ำหวานที่เหลือเข้าปาก ในปากหลี่จิ้งมีรสหวานอมเปรี้ยววนเวียนอยู่ไม่ยอมจางหาย
มีควันสีดำลอยขึ้นจากภูเขาอยู่ห่างออกไปสิบลี้ นั่นเป็นสัญญาณว่าพวกเฉิงฉู่มั่วทำงานสำเร็จ ดูท่าแล้ววันนี้ไม่น่าจะไปไหนได้ อวิ๋นเยี่ยจึงมีคำสั่งให้ตั้งค่ายอยู่ในจุดนี้ กองกำลังเกือบหนึ่งพันคนเริ่มตั้งค่ายอย่างเป็นระเบียบ
ยังไม่ทันที่จะตั้งค่ายเสร็จ พวกเฉิงฉู่มั่วก็กลับมาถึงแล้ว ด้านหลังมีฝูงอูฐเป็นแถวยาว ซึ่งบนหลังของพวกมันนั้นเป็นทรัพย์สินทั้งสิ้น เหล่าทหารเสริมแต่ละคนต่างก็ยิ้มร่าเริง เพราะของเหล่านี้ล้วนเป็นของพวกเขา ขอเพียงแค่ขายสินค้าเหล่านี้ให้กับเหอเซ่า พวกเขาก็จะได้รับเงินจำนวนมาก อาชีพทหารเสริมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่มีครั้งไหนได้มากเท่ากับครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นสิบกว่าเท่า อันตรายก็ยังน้อยลงไปมากอีกด้วย ในกองกำลังนี้ก็มีแต่พวกเขาที่หวังว่าถนนสายนี้จะเดินต่อไปได้โดยไม่มีวันจบสิ้น
เงินเหรียญทองแดงของเหอเซ่าไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง แต่ยังเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก จนสามารถบรรจุได้สี่ถึงห้าคันรถ ที่เขาเป็นทุกข์ไม่ใช่เพราะมีเงินน้อยเกินไป แต่เป็นเพราะมีเงินมากเกินไป ขนเงินเหรียญทองแดงจำนวนมากที่ไม่มีมูลค่ากลับไป เขารู้สึกว่ามันเป็นความอัปยศของชีวิต
เฉิงฉู่มั่วเรียกทหารเสริมทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อแจกจ่ายทรัพย์สิน ในฐานะผู้นำเขาไม่สนใจเงินไม่กี่ร้อยก้วน เพียงแต่คิดว่าพวกพี่น้องติดตามเขาไปกวาดล้างกองโจรเป็นมิตรภาพที่แลกด้วยชีวิตในสนามรบ จะให้พวกเขาขาดทุนไม่ได้ เหอเซ่าเป็นคนจำพวกไหนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ พี่น้องทหารเสริมที่ติดตามตัวเองไปกวาดล้างชาวเผ่าทูเจวี๋ย เสื้อขนสัตว์ซึ่งสมบูรณ์ดีทั้งตัวที่ถอดออกมาจากร่างของชนชั้นสูงชาวเผ่าทูเจวี๋ย เมื่อส่งไปให้เหอเซ่าก็กลายเป็นเศษผ้าขาดๆ ชิ้นหนึ่ง ถูกกดราคาเหลือสามสิบเหวิน ทำให้พี่น้องทหารเสริมโกรธจนเกือบจะหยิบดาบมาตัดศีรษะเขา ตอนนี้มีโอกาสในการสร้างความร่ำรวยอีกครั้งเกิดขึ้นต่อหน้าเหอเซ่า เห็นเพียงดวงตาที่แวววาวเปล่งประกายของเขาเท่านั้น ก็รู้ว่าเจ้าคนเลวนี่จะต้องเตรียมตัวสำหรับวางกับดักใครอีกแน่
เรื่องฝีปากตนเองนั้นสู้ไม่ได้ พูดเพียงไม่กี่คำก็ถูกเหอเซ่าพาออกนอกเรื่องลงทะเลไป โชคดีที่เขายังมีน้องชายที่ดีอีกคนหนึ่ง
เมื่ออวิ๋นเยี่ยถูกเฉิงฉู่มั่วลากมาตรงหน้าเหอเซ่า ทั้งสองคนเอาแต่จ้องตามองตาอยู่นาน แล้วส่ายศีรษะพร้อมกัน ทั้งสองคนเป็นพวกเดียวกัน จะกดราคาอย่างไร จะขึ้นราคาอย่างไร อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาพูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “สินค้าเหล่านี้เจ้าต้องการราคาเท่าไร เจ้าบอกว่าราคาเท่าไรก็เท่านั้น พวกเราจะไม่ต่อรอง”
เฉิงฉู่มั่วที่ยืนซื่อบื้ออยู่จึงได้รู้สึกตัวว่า ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะเป็นพวกเดียวกัน เมื่อพี่น้องไม่สามารถพึ่งพาได้ แล้วจะทำอย่างไรดี ขณะที่กำลังลำบากใจอยู่นั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา “ข้าจะมาเจรจาให้ เงินที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อของเหล่าทหาร ไม่ควรให้พ่อค้าที่ใจดำมายึดเอาไปได้”
เมื่อเหอเซ่าได้พบหลี่จิ้งก็ถึงกับเข่าอ่อน มักจะอยากลงไปคุกเข่าคำนับโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ มีหรือยังจะมีความกล้าที่จะเจรจาราคากับเขา
“ในเมื่อท่านเอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นก็ขอให้เสนอราคาได้เลย ข้าน้อยไม่มีทางปฏิเสธ” ในเมื่อไม่มีทางเจรจาต่อรองได้ เช่นนั้นก็ยอมยกธงขาวจะดีกว่า
“เช่นนั้นก็ใช้น้ำหนักในการคำนวณ อูฐนั้นถือว่ายกให้พวกเจ้า ของที่หนักหนึ่งจินแลกกับเงินเหรียญทองแดงที่หนักหนึ่งจิน ทุกคนจะได้ไม่ขาดทุน”
หลี่จิ้งลองช่างน้ำหนักสินค้า แล้วจึงมองดูที่รถหลายคันที่บรรทุกเงินไว้ จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจ เหล่าทหารเสริมก็ส่งเสียงโห่ร้องขึ้นในทันที คราวนี้ไม่เท่ากับกลายเป็นว่ารีดเลือดจากพ่อค้าจอมเจ้าเล่ห์หรือ
เหอเซ่าอ้าปากค้างจนคางแทบจะหลุดออกมา นี่เป็นการทำการค้าหรือ หลี่จิ้งได้นำกฎทหารมาใช้เพื่อการเจรจาต่อรองแล้ว รุกโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันตั้งตัว เลือกใช้วิธีการที่แปลกใหม่ เพียงประโยคเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะได้เลย
อวิ๋นเยี่ยและเหอเซ่าถามหลี่จิ้งพร้อมกันว่า “ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น”
หลี่จิ้งในใจคิดว่าแย่แล้ว แต่คำพูดเมื่อครู่เขาพูดเองกับปาก ราคานี้ก็เป็นราคาสูงสุดที่เขาคิดได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกหลุมพรางเสียแล้ว
———
[1] น้ำตาลป่นแบบผง มีความแตกต่างจากน้ำตาลป่นแบบผลึกเป็นอย่างมาก (ซึ่งก็คือน้ำตาลทรายที่ใช้กันในชีวิตประจำวันทั่วไป) ทั้งในเรื่องของรูปร่างและการใช้งาน กล่าวคือ น้ำตาลป่นแบบผง จะเป็นน้ำตาลที่ผ่านการโม่บดเป็นผงละเอียดคล้ายผงแป้ง หากมองด้วยตาเปล่าจะคล้ายน้ำตาลไอซิ่ง (Icing Sugar) เป็นอย่างมาก