เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 20 ข้าไม่รู้ว่านางชื่ออะไร
ชายชราคนหนึ่งให้โต้วเยี่ยนซันพยุงมาที่ด้านหน้าแคร่เตี้ยๆ นั้น โต้วเยี่ยนซันเหล่มองอวิ๋นเยี่ยแวบหนึ่ง หยิบใบหนึ่งออกมาแล้วเททองคำในถุงลงไป แต่ละก้อนมีขนาดใหญ่กว่าทองคำของอวิ๋นเยี่ยมากนัก
วันนี้เกิดอะไรขึ้น อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างประหลาดใจ ใครที่ไม่มีอะไรทำก็หยิบทองคำออกมาจากอกเสื้อมาโยนเล่นหรือ ของสิ่งนี้ไม่สามารถนำไปใช้ได้โดยตรง มีเพียงการทำธุรกรรมขนาดใหญ่เท่านั้นจึงจะใช้ได้ ตนเองนั้นตั้งใจจะมาล้างแค้นหลี่หยวนแน่นอนว่าต้องพกทองคำมาด้วย เพราะเงินเดิมพันของหลี่หยวนนั้นหนักมาก มีเพียงเหรียญทองแดงเหล่านั้น ใครจะไปสู้ได้กัน
มองดูเผยจี้ที่ดูเหมือนจะเมาแล้ว จากนั้นมองดูตาเฒ่าโต้วที่ไม่ประสงค์ดี อวิ๋นเยี่ยตะโกนว่า “ดี ใจถึงมาก วันนี้หากพวกเราไม่แพ้จนหมดตัว ห้ามออกไปเด็ดขาด”
ดูเหมือนเสียงหัวเราะของหลี่หยวนจะเปลี่ยนไป ทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกัน จึงสั่งให้นางกำนัลเก็บกวาดสถานที่ให้สะอาด ยกโต๊ะไพ่นกกระจอกออกมา เตรียมเริ่มการพนัน
อวิ๋นเยี่ยหยิบทองคำของตัวเองออกมาจากแคร่เตี้ยๆ นั้น แน่นอนเขาเลือกหยิบอันที่ใหญ่ที่สุด โต้วเยี่ยนซันมองจ้องตาเขม็ง ทั้งยังเห็นเผยจี้ก็หยิบก้อนใหญ่เช่นกัน แค้นใจจนกัดฟันกร่อดๆ แต่เขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดสอดแทรกอะไร จึงได้แต่เก็บทองคำที่เหลืออยู่ใส่ถุงเงิน เห็นได้ชัดว่าไม่ลงตามเหมือนเมื่อครู่ ยังไม่ทันได้เริ่มพนัน เงินทุนก็หดหายไปเสียแล้ว
หลี่หยวนชอบนั่งฝั่งทิศตะวันออก ตาเฒ่าโต้วนั่งฝั่งทิศใต้ เผยจี้นั่งฝั่งทิศตะวันตก อวิ๋นเยี่ยจึงต้องนั่งฝั่งทิศเหนือ
เพียงแค่นั่งลงมาบนโต๊ะพนัน หลี่หยวนดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คึกคักมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ถอดเสื้อออกแล้วใส่ผ้าคลุมและทอยลูกเต๋า เมื่อนับแต้มบนลูกเต๋าเสร็จก็เริ่มหยิบไพ่ นับเลขจำนวนไม่มากได้อย่างแม่นยำ ดูเหมือนว่าฤทธิ์เหล้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการคิดวิเคราะห์ของเขาเลยแม้แต่น้อย
“อวิ๋นโหวเป็นยอดอัจฉริยะวัยเยาว์ เพียงแค่ประตูบานเดียวของสำนักศึกษาก็ทำให้ตระกูลโต้วต้องยอมแพ้ล่าถอยไปเอง ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าประตูนี้จะขวางกั้นตระกูลโต้วได้นานแค่ไหน หนึ่งหมื่น!” ตาเฒ่าโต้วถามอวิ๋นเยี่ยอย่างใจเย็นแล้วก็โยนไพ่ออกมาหนึ่งอัน
“เหล่ากั๋วกงคิดมากเกินไปแล้ว ประตูสำนักศึกษาเป็นเพียงสถานที่ที่สหายร่วมสำนักศึกษารู้สึกว่างจนเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ จึงสร้างขึ้นมาให้เป็นสถานที่เล่นสนุกของเหล่าลูกศิษย์เพียงเท่านั้นเอง หาได้มีความลึกลับอะไรไม่ หากท่านมีเวลาว่างก็แวะไปเยี่ยมชมได้ ที่นั่นทัศนียภาพงดงาม ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนของผู้สูงอายุแห่งหนึ่ง จิ๋วปิ่ง”
“อ้อ เจ้าบอกว่าเขาอวี้ซันนั้นไม่เลวหรือ ทั้งยังมีค่ายกลอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ข้าจำได้ว่ามีบ้านหลังหนึ่งอยู่ที่นั่น ไปพักผ่อนเสียหน่อยก็ไม่เลว อี้ปิ่ง” หลี่หยวนเมื่อนั่งเข้าวงเล่นไพ่ ก็จะมีสติแจ่มชัดกว่าปกติ
“ตอนนี้ตระกูลโต้วตกต่ำลงแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องการจะแสดงแสนยานุภาพอยู่เหนือตระกูลโต้ว หลานชายที่ดีของข้าเพียงเพื่อสาวน้อยนางหนึ่งต้องสังเวยด้วยชีวิต สาวน้อยคนนั้นได้ถูกคนที่บ้านทำให้เป็นขี้ผึ้งคอยจุดธูปหน้าหอป้ายวิญญาณของหลานชายข้า มีเด็กรับใช้หญิงแล้ว แต่ไม่มีเด็กรับใช้ชาย หอป้ายวิญญาณก็ดูไม่ขาดๆ เกินๆ ไป ดูเหมือนว่าข้าเองจะได้ยินหลานชายข้าโวยวายอาละวาดด้วยความไม่พอใจอยู่ในปรโลกด้วย เผยจี้ เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร”
เผยจี้ไม่ได้พูดอะไร กำลังยุ่งอยู่กับการจัดระเบียบไพ่ในมือ ทำเป็นเหมือนหูทวนลมไม่ได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าโต้ว หลี่หยวนก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หยุดเล่นและหันมาฟังผู้เฒ่าโต้วพูด
นี่คือตระกูลใหญ่ผู้ทรงคุณธรรม ทายาทแห่งผู้มีการศึกษาหรือ นางรำไร้ที่พึ่งคนหนึ่งไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของพวกเขา รวมถึงหลี่หยวนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นฮ่องเต้ก็มองเป็นเรื่องปกติ อาศัยอะไร คนอ่อนแอจึงถูกทำเป็นขี้ผึ้งหรือ
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องลำบากตรากตรำกว่าจะเติบโตมาเป็นสาวน้อยที่งดงามได้ แต่ก็เพื่อจะมากลายเป็นเทียนไขอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของหลี่หยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ผู้เฒ่าโต้วพูดประเด็นสำคัญอย่างราบเรียบ เผยจี้แกล้งเป็นใบ้หูหนวก มีเพียงหลี่เฉิงเฉียนที่มีสีหน้าโกรธเคือง พูดต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ว่าเขานำผู้หญิงที่ไร้ความผิดใดๆ คนหนึ่งไปทำเทียนไขทั้งเป็น ช่างยโสโอหังเพียงใดกัน
อวิ๋นเยี่ยบีบไพ่อู่เถียงที่อยู่ในมืออันหนึ่งจนเสียงดังกึ่ดๆ หลายครั้งที่เขาอยากจะลุกขึ้นยืน ก็ถูกหลี่เฉิงเฉียนที่อยู่ด้านหลังออกแรงกดเอาไว้ไม่ให้เขาลุกขึ้น
“ผู้เฒ่าโต้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะกลับไปขับไล่เผยอิงออกจากสำนักศึกษา ปล่อยให้ท่านจัดการตามต้องการ” อวิ๋นเยี่ยโยนไพ่อู่เถียวลงบนโต๊ะ สีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าไม่เห็นแววตาที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวของเผยจี้ และก็ไม่เห็นสีหน้าที่สมปรารถนาของโต้วเยี่ยนซัน
แล้วพูดต่อว่า “เหตุผลที่เผยอิงถูกไล่ออกจากสำนักศึกษา ไม่ใช่เพราะตระกูลโต้วของท่านแตะไม่ได้ แต่เป็นเพราะการกระทำของเผยอิงได้ทำให้นางรำผู้บริสุทธิ์ต้องตาย ในสายตาของข้า ชีวิตของเขาไม่ได้มีความแตกต่างกับชีวิตของนางรำที่ถูกทำเป็นเทียนไขเลยแม้แต่น้อย เขาต้องจ่ายค่าชดเชยต่อการกระทำของเขา
ผู้เฒ่าโต้ว ข้าอยากถามสักประโยคหนึ่ง ขณะที่ท่านจับหญิงนางรำผู้น่าสงสารคนนั้นทำเทียนไข ท่านเคยมีความสงสารเห็นใจอยู่ในใจแม้สักนิดหรือไม่
ไม่มีกระมัง! หัวใจของเจ้าทำจากหินเหล็ก ข้าไม่รังเกียจที่เจ้าจะตามรังควานเผยอิง แต่นางรำคนนั้นทำผิดอะไร เจ้านำความโกรธแค้นทั้งหมดของเจ้าไประบายลงที่คนที่น่าสงสารไร้ที่พึ่ง พวกเจ้าเป็นสัตว์ร้ายที่กินเนื้อคน ยังจะเรียกว่ามีศีลธรรมจรรยาอีกหรือ ผู้สืบทอดตระกูลใหญ่อันสูงส่ง ถุย!” อวิ๋นเยี่ยยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล ยิ่งคิดยิ่งเจ็บแค้น พวกสุภาพชนจอมปลอม เคยเห็นคนเป็นคนเสียที่ไหนกัน พวกนี้เกินคำว่าคนตามธรรมดาทั่วไปแล้วแต่เป็นฝูงสัตว์ป่าที่กินเนื้อ
“ผู้เฒ่าโต้ว เจ้าถูกกำหนดให้ต้องตกนรกแน่นอน ก่อนที่เจ้าจะจับนางรำคนนั้นทำเทียนไข ข้ายังมีความเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างมากต่อตระกูลโต้ว ตอนนี้ข้าคิดว่าก็เป็นเพียงแค่ลูกสุนัขกินเนื้อตัวหนึ่งที่ตายไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ลูกสุนัขกินคน ไม่รีบฆ่าทิ้งจะเก็บเอาไว้ทำไม “
โต้วเยี่ยนซันอยากจะพุ่งเข้ามาบีบคออวิ๋นเยี่ยให้ตาย แต่ถูกผู้เฒ่าโต้วที่มีสายตาอันเยือกเย็นโบกมือขวางไว้ ที่นี่คือวังหลวงไม่ใช่บ้านตระกูลโต้ว เขาแค่อยากจะรู้ให้ละเอียดว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงกล้าเอ่ยปากวิพากวิจารณ์เขาเช่นนี้
หลี่หยวน ผู้เฒ่าโต้วและเผยจี้ต่างก็หันมามองอวิ๋นเยี่ย แววตาทุกคนเต็มไปด้วยความงงงวย ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ สำนักศึกษาและตระกูลโต้วยังแตกหักต่อกัน อวิ๋นเยี่ยเองก็หลบเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับตระกูลโต้วอย่างซึ่งหน้ามาโดยตลอด ครั้งนี้ที่มาหาหลี่หยวนก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยากจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ย สลายความบาดหมางเรื่องนี้ทิ้งไป แต่ผู้เฒ่าโต้วกลับพูดโดยไม่ปิดบังว่าเรื่องการทำขี้ผึ้งมนุษย์ที่น่าหวาดกลัวนี้เป็นน้ำมือของตระกูลโต้ว ซึ่งนี่ทำให้อวิ๋นเยี่ยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เพราะเรื่องนี้มันเกินกว่าบรรทัดฐานการเป็นคนของเขาไปแล้ว ในฐานะคนคนหนึ่งเขาไม่คิดจะปกปิดความเกลียดแค้นและการเหยียดหยามที่มีต่อตระกูลโต้วอีกต่อไป
“อวิ๋นโหว ตระกูลโต้วทั้งอดีตและปัจจุบันไม่เคยมีความแค้นอะไรกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงเกลียดชังตระกูลโต้วมากถึงเพียงนี้ เพียงเพื่อนางรำชั้นต่ำที่เจ้าไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อคนหนึ่งน่ะหรือ” ผู้เฒ่าโต้วสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เพราะนี่คือการท้าทายตระกูลโต้วของอวิ๋นเยี่ยอย่างซึ่งหน้า
“ผู้เฒ่าโต้ว เจ้าพูดถูกแล้ว หากอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่เขาจะต้องฉีกมนุษย์หน้าเนื้อใจเสืออย่างตระกูลโต้วของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ทั้งเป็นอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่เป็นเพราะข้าอยู่ในตำแหน่งราชการ ข้าก็จะทำให้ตระกูลโต้วไร้สิ้นลูกหลาน ล้มตายจนหมดสิ้นอย่างเงียบเชียบเลย สาเหตุก็คือเทียนไขตัวนั้น ผู้เฒ่าโต้ว วิธีการในการแพทย์อย่างหนึ่งสามารถเก็บร่างกายของมนุษย์ไว้โดยไม่ให้เน่าสลายได้ เมื่อใดก็ตามที่มีการใช้มันก็จะถูกนำออกมา แล้วใช้มีดเล็กๆ กรีดที่ผิวหนัง กล้ามเนื้อ หลอดเลือด เส้นเอ็น อวัยวะภายในและกระดูกให้แยกออกทีละชิ้นๆ เพื่อใช้ในการสอน แพทย์ที่ได้รับการศึกษาเช่นนี้ต่างก็จะเข้าใจดีว่าอวัยวะแต่ละส่วนของมนุษย์ทำหน้าที่อะไรบ้าง ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะกลายเป็นแพทย์ที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ หากเป็นไปได้ข้าอยากลองใช้กับร่างของคนในตระกูลโต้วสักหน่อย เพื่อดูว่าความเจ็บปวดที่ถูกทำให้เป็นเทียนไขทั้งเป็นหรือว่าถูกจับผ่าร่าง สิ่งไหนจะเจ็บปวดกว่ากัน ข้ารับประกันว่า ถ้าหากขณะที่เริ่มผ่าตัดเขาไม่ใช่คนตาย เมื่อนำเอาหัวใจออกมานั้น ดวงตาของเขาจะยังมองเห็นหัวใจกำลังเต้นอยู่ได้ด้วย”
ในตำหนักเงียบสงัด ดูเหมือนว่าจะมีสายลมพัดผ่านจากห้องโถงใหญ่ ทุกคนมองดูใบหน้าอวิ๋นเยี่ยที่พูดเรื่องที่โหดร้ายที่สุดพร้อมรอยยิ้ม ความรู้สึกเย็นยะเยือกผุดขึ้นจากฝ่าเท้าแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แม้ว่าผู้เฒ่าโต้วจะขนหัวลุก แต่ก็ยังรักษาสีหน้าให้เป็นปกติเรียบเฉยและหัวใจไม่เต้นรัว
หลี่หยวนเลียริมฝีปากที่แห้งผาก แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้ายังติดต่อกับไป๋อวี้จิงอีกหรือไม่”
“กราบทูลไท่ซั่งหวง กระหม่อมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน เพียงแต่เคยได้ยินอาจารย์กล่าวถึงแต่มันไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร อาจารย์ยินดีจะเป็นปุถุชนคนธรรมดาดีกว่าจะไปที่นั่น เช่นนี้ก็สามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายของสถานที่แห่งนั้น” อวิ๋นเยี่ยไม่อยากที่จะพูดถึงไป๋อวี้จิงสถานที่แห่งความโชคร้ายนี้อีก
“ในเมื่ออวิ๋นโหวท้าทายแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะรับมันไว้ แต่ไม่รู้ว่าอวิ๋นโหวตั้งใจจะท้าทายอำนาจบารมีนับหมื่นปีของตระกูลโต้วอย่างไรดี” ผู้เฒ่าโต้วลุกขึ้นยืนและยืนตัวตรงมากๆ ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกลัวการข่มขู่ ซึ่งก็จริง ตระกูลที่สืบทอดมาหลายพันปีถ้าหากไม่แน่จริงอยู่บ้าง ก็คงจะถูกลบล้างให้หายไปจากสายธารแห่งประวัติศาสตร์นานแล้ว
“ไม่สามารถท้าทายได้ เพราะตระกูลโต้วนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ยังไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลอวิ๋นเล็กๆ ของข้าจะไปขยับได้ แต่ทว่าตั้งแต่สมัยโบราณมาบนแผ่นดินจีนเราไม่เคยมีปัญหาการขาดแคลนผู้ที่ยอมร้องทุกข์เพื่อประชา แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขาดแคลนผู้ที่แบกรับคุณธรรมไว้ด้วยสองบ่าและแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยขาดแคลนผู้ที่ชอบนำไข่ไปกระทบหิน หากจะเพิ่มข้าอวิ๋นเยี่ยอีกคนจะเป็นอะไรไป”
หลายคนที่นั่งอยู่ในวงไพ่สามารถเรียกได้ว่าเป็นนักรบที่โด่งดังที่สุดแห่งราชวงศ์ถังก็ว่าได้ หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาเรียกลมเรียกฝนในราชสำนัก เสกถั่วให้เป็นทหาร เพียงแค่มีคำสั่งก็มีคนนับร้อยแก่งแย่งกันทำ ยินดีรับใช้เป็นช้างม้า แย่งชิงกันแสดงเขี้ยวเล็บ แม้เพียงหายใจมีพลังดุจฟ้า ลุกนั่งเปล่งประกายรัศมี เพียงก้มมองก็มีมดมากมายมารายล้อม เพียงพลิกฝ่ามือสามารถทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีใครมาท้าทายพวกเขาเพราะมดตัวหนึ่งที่ถูกบี้ตายไปแล้ว ทั้งยังทำอย่างเปิดเผยจริงใจมากถึงเพียงนี้ โดยไม่เหลือทางถอย สีหน้าของหลี่หยวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เผยจี้ทั้งตกใจและดีใจปะปนกัน แต่ผู้เฒ่าโต้วกลับรู้สึกขยะแขยงเหลือทนเหมือนกินแมลงวันเข้าไป
“อวิ๋นเยี่ย เจ้าคิดจะทวงความยุติธรรมคืนให้ผู้หญิงที่น่าส่งสารคนนั้นอย่างไร” หลี่หยวนถามอวิ๋นเยี่ยอย่างมีความหมายแอบแฝง
“ขอไท่ซั่งหวงทรงวินิจฉัยด้วย ตั้งแต่รัชศกอู่เต๋อปีที่เจ็ด ท่านได้ออก” กฎอู่เต๋อลวี่” เพื่อกำหนดบรรทัดฐานทางศีลธรรมและพฤติกรรมเพื่อผู้คนในใต้หล้านี้ เหตุใดในวันนี้มีคนโฉดชั่วตั้งศาลเตี้ยทำการทารุณกรรมคนจนตาย จับคนทำเทียนไขทั้งเป็น ท่านกลับทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ผู้ที่ก่อการปฏิวัติในตอนนั้น ท่านที่เห็นความสุขของชาวประชาเป็นเสมือนหนึ่งหน้าที่ของตนได้หายไปไหนแล้ว นั่งฟังคำเล่าเรื่องเลวร้ายแต่ไม่สะทกสะท้าน เป็นเพราะเหตุใดกัน แม้ว่าพระองค์จะสละราชสมบัติแล้ว แต่ท่านไม่ได้รักในแผ่นดินราชวงศ์ถังที่ท่านทรงบุกเบิกมาด้วยองค์เองหรือ” หลี่หยวนในตอนนี้ถูกอวิ๋นเยี่ยดูหมิ่นดูแคลนเป็นที่สุด วีรบุรุษที่โดดเดี่ยวก็ยังเป็นวีรบุรุษเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่หยวนไม่ใช่ ความองอาจผึ่งผายและปณิธานอันแรงกล้าของเขาได้ถูกหญิงงามและเหล้าชั้นเลิศทำลายจนหมดสิ้นไปนานแล้ว
หลี่หยวนก้มศีรษะลงอย่างหมดหนทาง ราวกับหมดอาลัยตายอยาก โบกมือยกเลิกการเล่นพนัน กลับไปที่ห้องโถงด้านหลังเพียงลำพัง แผ่นหลังที่ดูเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก
“อวิ๋นโหว เห็นความสุขของชาวประชาเป็นเสมือนหนึ่งหน้าที่ของตน เผยจี้นับถือจากใจอย่างยิ่ง เรื่องเผยอิงก็ปล่อยไปเถอะ เป็นตายชะตาฟ้าลิขิต”
“ข้าเป็นคนอบรมสั่งสอนให้ความรู้กับผู้คน ในใจไม่กล้าที่จะมีความคิดสกปรกแม้แต่น้อยนิด ความทุกข์ของเผยกงอวิ๋นเยี่ยเข้าใจดี นอกจากกฎหมายแล้วไม่ว่าใครก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะพรากชีวิตคนคนหนึ่งไปตามอำเภอใจ ตระกูลโต้วจะละเว้นได้อย่างไร”
“ตระกูลโต้วลำบากตรากตรำสร้างผลงานให้ใต้หล้ามาทุกรุ่น จะไม่สามารถเอาชีวิตที่ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรสักชีวิตหนึ่งเลยหรือ อวิ๋นโหวต้องการเป็นศัตรูกับตระกูลโต้วของเราให้ได้ใช่ไหม ไม่กลัวร่างจะแหลกสลายหรือ” ผู้เฒ่าโต้วมองอวิ๋นเยี่ยราวกับว่ากำลังมองดูสุนัขที่กำลังใกล้จะตาย
“ตอนนี้ข้าจะไปที่เขตฉางอันเพื่อร้องทุกข์ให้กับนางรำคนนั้น จริงสิ ยังไม่ได้สอบถามจากโต้วกง นางรำคนนั้นชื่ออะไร”
“ผู้หญิงชั้นต่ำนั่นชื่อลวี่จู๋ อวิ๋นโหวจำให้ดีล่ะ อย่าได้ลืมเป็นอันขาด!” โต้วเยี่ยนซันพูดแดกดัน